Skip to content

Tales of Herding Gods 219

ตอนที่ 219 การจู่โจมภูมิอากาศ

เมื่อเขากล่าวออกไป ทั้งท้องพระโรงก็ตกอยู่ในการสนทนาอย่างระเบ็งเซ็งแซ่ เมฆก้อนเดียวจะคลี่คลุมทั้งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ได้อย่างไร ไม่น่าเป็นไปได้ แต่มันเกิดขึ้นแล้วบัดนี้!

จักรวรรดิสันตินิรันดร์มีเขตแดนอันกว้างใหญ่ วัดจากเหนือลงใต้ได้เก้าหมื่นลี้ จากตะวันออกไปตะวันตกได้แปดหมื่นลี้ กระนั้นทั้งอาณาเขตก็ยังถูกปกคลุมไปด้วยหิมะตกที่โปรยปรายลงมาตลอดหกเจ็ดวันติดต่อกัน นี่เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้!

ผู้ฝึกวิชาเทวะมีความสามารถเรียกลมเรียกฝนแต่พวกเขาทําได้เพียงเรียกลมและฝนให้โปรยปรายลงมาในพื้นที่เล็กๆ พวกเขาไม่มีทางควบคุมเวทมนตร์ที่สามารถคลี่คลุมทั้งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ได้

แต่ทว่านี่มิใช่ภัยพิบัติธรรมชาติ ทางใต้ของแม่นํ้าทองคํานั้นน้อยครั้งจะมีหิมะตก และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมีห่าฝนหรืออากาศหนาวทางตอนใต้ของแม่นํ้าหย่ง 4 ฤดูของที่นี่มีแต่ความร้อนอบอ้าวไม่ต่างกัน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีหิมะ

หากว่านั่นยังไม่พอ หิมะนี้ถึงกับถล่มใส่ทั้งจักรวรรดิในเวลาเดียวกัน!

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกระแอมไอเพื่อสยบเสียงของเหล่าขุนนาง “เสนาบดีเกษตร อาจจะมีขุนนางหลายคนที่ไม่เข้าใจความร้ายแรงของสถานการณ์นี้ เจ้าจงอธิบายให้พวกเขาฟัง”

เสนาบดีเฒ่าผู้หนึ่งก้าวออกมาจากแถว เขานั้นเป็นเสนาบดีเกษตรของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ และบริหารจัดการการเกษตรทั้งภาคพื้นจักรวรรดิ เขาโค้งคํานับแล้วกล่าว “ฝ่าบาทและขุนนางทั้งหลาย ภัยพิบัติหิมะนี้มิได้ส่งผลกระทบต่อการเก็บเกี่ยวผลผลิตในหมู่บ้านทางเหนือ ในเมื่อพวกเขาล้วนแต่คุ้นชินกับการฝ่าฟันผ่านฤดูหนาวและได้เตรียมตัวอย่างพรักพร้อมแล้ว ประเด็นสําคัญคือทางใต้ หลังจากหิมะใหญ่ครั้งนี้ หมู่บ้านทั้งหลายทางทิศใต้ก็คงจะถูกแช่แข็งกันหมดสิ้น เมื่อปีถัดไปมาถึง ทางใต้คงไร้สิ้นผลผลิต ให้เก็บเกี่ยว”

เสนาบดีงบประมาณรีบถามทันที “เสนาบดีเกษตร ทางใต้นั้นเจ้าหมายถึงส่วนไหน”

“ทุกๆ พื้นที่ทางใต้ถัดจากแม่นํ้าทองคําเป็นต้นไป”

ขุนนางทุกๆ คนสูดลมหายใจหนาวเหน็บ แม้แต่ฉินมู่ก็ตระหนกตกใจ

เขามีแผนที่ภูมิประเทศของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ แม่นํ้าทองคํามีแหล่งกําเนิดจากแดนโบราณวินาศ และไหลทอดยาวมาจากทิศตะวันตกยันทะเลตะวันออกของจักรวรรดิ ยาวหลายหมื่นลี้

เขตแดนทางตอนใต้ของแม่นํ้าทองคํานั้นกินพื้นที่ถึง 2 ใน 3 ของแดนดินจักรวรรดิสันตินิรันดร์!

นี่หมายความว่าอาณาเขต 2/3 ของจักรวรรดิจะไม่มีผลผลิตให้เก็บเกี่ยว!

“นี่มัน… ฝ่าบาท ข้าคิดว่าพวกเราคงต้องขนส่งอาหารคนและปศุสัตว์จากทั่วแว่นแคว้นไปยังแดนใต้ เพื่อเตรียมการบรรเทาทุกข์!” เสนาบดีฝ่ายในก้าวออกมาจากแถวและโค้งคํานับ “แดนใต้เพิ่งผ่านศึกสงคราม ดังนั้นจึงมีหลายเมืองชนบทที่ต้องการสิ่งบรรเทาทุกข์ ข้าเกรงว่าธัญพืชและอาหารที่นั่นคงหมดสิ้นไม่เหลือแล้ว ดังนั้นข้าจึงขอทูลให้องค์จักรพรรดิโปรดส่งธัญพืชและอาหารจากแดนเหนือลงไปช่วยเหลือผู้คนจากภัยพิบัติ!”

เสนาบดีเกษตรถอนหายใจ “สําหรับตอนนี้เราคงขนส่งอะไรไปไม่ได้ ใต้เท้าอาจจะยังไม่ทราบว่าสงครามได้ทําให้ธัญพืชและอาหารของเราหมดสิ้นไป และถูกส่งกระจายไปทุกที่แล้ว หากว่าเราส่งธัญพืชและอาหารไปยังแดนใต้ในตอนนี้ ก็มีแต่จะถูกผู้คนที่อดอยากหิวโหยกินเข้าไปหมด ถ้าอาหารเหล่านี้หมดสิ้น ก็จะไม่เหลือเมล็ดพันธุ์ที่จะใช้เพาะปลูกอีกต่อไป เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง พวกเราก็จะไม่หลงเหลือสิ่งใด ใต้เท้าเสนาบดีฝ่ายใน หากว่าผู้คนที่หิวโหยไม่เหลืออะไรให้กิน พวกเขาก็จะเริ่มกินเนื้อคน”

“หรือว่าพวกเราจะต้องปล่อยให้ผู้คนในแดนใต้อดอยากไปอย่างนั้นหรือ”

เสนาบดีเกษตรกล่าว “อาหารบรรเทาทุกข์จะถูกส่งไปทางใต้ แต่เราจะต้องจํากัดปริมาณ พวกเราเพียงส่งไปให้พวกเขาพอประทังชีวิต จริงๆ แล้วมียุ้งฉางขนาดใหญ่หลายแห่งในแดนใต้ แต่พวกมันล้วนเป็นของตระกูลใหญ่มากอิทธิพล หากว่าเราจะไปแตะธัญญาหารที่พวกเขาเก็บกักไว้ ข้าเกรงว่าอาจจะยิ่งกระตุ้นให้ผู้ประสบภัยพิบัติทั้งหลายลุกฮือขึ้นมาก่อกบฏ ฝ่าบาท…”

สีหน้าจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมืดครึ้ม และกล่าว “ข้าจะลองคิดหาวิธีเกี่ยวกับธัญญาหารที่ตระกูลใหญ่มากอิทธิพลมีอยู่ในมือ พวกเจ้ากล่าวต่อเถอะ”

“นอกจากแดนใต้ ก็ยังมีภัยพิบัติใหญ่อีกลูกที่แขวนอยู่เหนือหัวพวกเรา” เสนาบดีเกษตรกล่าว “แดนเหนือนั้นปกติก็หนาวอยู่แล้วในช่วงฤดูหนาว แต่ปีนี้มันหนาวเหน็บยิ่งกว่าเดิม ข้าพบว่ามีชาวไร่ชาวนาจํานวนมากที่ออกไปตัดไม้มาทําฟืนให้ความอบอุ่น เป็นเหตุให้ป่ามากมายถูกโค่นจนเหี้ยนเตียนขนาดแดนเหนือซึ่งทนทานต่อความหนาวถึงกับต้องโค่นต้นไม้มากมาย ท่านคงนึกภาพสถานการณ์ของแดนใต้ออก หากว่าต้นไม้ในแดนใต้ถูกตัดโค่นจนหมด นํ้าป่าไหลหลาก แผ่นดินถล่ม และอุทกภัยก็จะ เกิดขึ้นตามมาอย่างไม่สิ้นสุด”

“ภัยธรรมชาติสามารถเป็นเหตุของภัยจากนํ้ามือมนุษย์ และภัยจากนํ้ามือมนุษย์ก็สามารถเป็นเหตุของภัยธรรมชาติ แต่ทว่าหากเราไม่ปล่อยให้ผู้ประสบภัยตัดโค่นต้นไม้มาทําฟืนไฟ ข้าเกรงว่าผู้คนจํานวนนับไม่ถ้วนจะหนาวจนถึงตาย เมื่อเวลานั้นมาถึงครอบครัวหลายครอบครัวคงตายกันยกบ้าน…”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงปล่อยลมหายใจลึกยาว และขุนนางแห่งสภาราชสํานักก็เงียบกริบ เงียบเสียจนได้ยินเสียงเข็มหล่น หากว่าพวกเขาไม่ตัดโค่นต้นไม้มาทําฟืน ชาวไร่ชาวนาก็จะถูกแช่แข็งจนตาย และหากว่าพวกเขาตัดโค่นต้นไม้ ก็จะเกิดภัยธรรมชาติอย่างอื่นตามมา

ภัยหิมะได้ทําให้จักรวรรดิมหึมาอย่าจักรวรรดิสันตินิรันดร์ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากจะตัดสินใจ

เสนาบดีเกษตรกล่าวต่อ “ประเด็นสําคัญก็คือ พวกเราไม่รู้ว่าเมฆบนฟ้านี้จะยังก่อตัวอยู่อีกนานแค่ไหน หากเมฆทะมึนสลายไปภายในไม่กี่วันข้างหน้า พวกเราก็จะสามารถบรรเทาความเสียหายให้ตํ่าที่สุดได้ แต่หากว่าไม่ ทั้งจักรวรรดิก็จะตกอยู่ในอันตราย!”

“ข้า…เข้าใจ” จักรพรรดิเอี้ยนเฟิงทิ้งตัวลงไป ดูไร้เรี่ยวแรง “บัดนี้ขุนนางที่รักของข้าทั้งหลายคงเข้าใจความร้ายแรงของสถานการณ์แล้วใช่ไหม เร็วๆ นี้ มีคนบางกลุ่มทรยศและก่อกบฏ ข้ายังคงไม่กังวลและไม่ได้ใส่ใจเท่าไร ข้ารู้ว่าพวกเขากระเสือกกระสนไปก็เท่านั้นและสุดท้ายก็จะถูกราชครูและขุนนางที่รักทั้งหลายกําจัดปราบปราม แต่ทว่าภัยหิมะคราวนี้และเมฆก้อนนี้ กําลังจะทําลายชะตาของสันตินิรันดร์! ขุนนางที่รักทั้งหลาย พวกเจ้ามีวิธีแก้ปัญหาหรือไม่”

ขุนนางบุ๋นและบู๊ทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบงันแม้แต่ความสามารถอันสูงลํ้าอย่างพวกเขา ก็มิอาจเป่าเมฆและละลายหิมะทั้งหมดได้

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมองไปยังขุนนางของเขาและรู้สึกทั้งโกรธแค้นและกระวนกระวายในใจ เมฆแค่ก้อนเดียว มันจะฉีกกระชากจักรวรรดิให้เป็นชิ้นๆ ทําลายความเพียรพยายามกว่า 100 ปีของพวกเขาเชียวหรือ

ขุนนางบุ๋นคนหนึ่งกล่าว “ข้าคิดว่านี่เป็นเพราะการปฏิรูปของราชครูได้ทําให้สวรรค์พิโรธ…”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเดือดดาลขึ้นมาทันที “ลากเขาออกไปตัดหัว!”

ขุนนางบุ๋นผู้นั้นรีบคุกเข่าลงแล้วร้องด้วยเสียงทั้งหมดที่ตนมี “ฝ่าบาท สวรรค์มีกฎของสวรรค์ และการปฏิรูปของราชครูหมายเปลี่ยนแปลงกฎสวรรค์ ดังนั้นสวรรค์จึงพิโรธ ผู้คนมากมายจะต้องรับเคราะห์ความพิโรธของสวรรค์โดยมิอาจทําอะไรได้ ฝ่าบาท!”

“พวกเจ้า!” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกริ้วเป็นเจ้าเข้า “ภัยพิบัติปกคลุมจักรวรรดิของเราอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว แต่พวกเจ้ายังชมชอบใส่ไคล้ผู้อื่นด้วยความเท็จอีก หากว่าเขาไม่ถูกประหารเดี๋ยวนี้ หรือจะต้องให้ข้าลงมือด้วยตนเอง?”

องครักษ์ในท้องพระโรงลากขุนนางบุ๋นผู้นั้นออกไป เสียงร้องของชายผู้นั้นห่างไปทุกที

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเดินไปมาด้วยความกระวนกระวาย ข่มระงับโทสะตน “ข้าต้องการข้าราชบริพารที่รู้จักทํางาน ไม่ใช่วันๆ เอาแต่ใส่ไคล้ผู้อื่น! การปฏิรูปนี้เป็นความประสงค์ของข้า มิใช่ความประสงค์ของราชครู! หากว่าสวรรค์พิโรธ ก็คงพิโรธต่อข้าและหมายจะทําให้ข้าทนทุกข์! ราชครูนั้นเป็นขุนนางผู้เปี่ยม ความสามารถ อย่าว่าแต่ 500 ปี แม้แต่ 2,000 ปีก็ยากจะเสาะหาคนเยี่ยงเขาสักหนึ่งคน! พวกเจ้าจงคิดอ่านวิธีแก้ไขให้แก่ข้า หากว่าพวกเจ้านึกอะไรไม่ออกเลยสักสิ่ง ก็ไม่ต้องกลับบ้านและลืมไปได้เลยเรื่องฉลองปีใหม่!”

“ฝ่าบาท ทําไมไม่เอาเมฆไปเก็บไว้ที่อื่นล่ะ” เสียงหนึ่งเอ่ยถามจากในท้องพระโรง “ในเมื่อท่านไม่อาจขับไล่ไปได้ ทําไมไม่แค่เก็บกักมันเอาไว้”

สายตาของขุนนางทุกคนหันไปมองดูผู้ออกความคิดเห็น สายตาของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็จับจ้องลงไปที่เขา

“ที่แท้ก็คือเสนาวัง เสนาวังมีความเห็นอันสูงส่งจะเสนอแนะ ทําไมไม่แบ่งปันให้พวกเราได้รู้เสียหน่อยล่ะ”

ฉินมู่กล่าว “ข้าเคยเห็นสมบัติวิเศษอย่างขวดนํ้าเต้าไฟในกองทัพ อันทหารทั้งหลายใช้เก็บกักไฟแท้สมาธิ เมื่อถึงเวลาศึกสงคราม พวกเขาก็จะปลดปล่อยไฟที่เก็บกักอยู่ในนั้นและเมื่อโถงบรมเยียวยาพลั้งพลาดในการหลอมปรุงยาทําให้ทั้งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเป็นอัมพาต อธิการบดีคนก่อนก็ได้ใช้ขวดนํ้าเต้าเพื่อเก็บกักยาสลบเหล่านั้นออกไป ช่วยเหลือมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเอาไว้ได้ ข้ากําลังคิดว่าหากเราสามารถใช้สมบัติอย่างขวดนํ้าเต้าเก็บกักเมฆดําพวกนี้จะได้หรือไม่”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมองไปยังแม่ทัพแผนสวรรค์และถาม “แม่ทัพฉิน เจ้าคิดว่านี่จะได้ผลไหม”

แม่ทัพแผนสวรรค์มีแซ่ฉินนามเจี่ยน เขาเป็นผู้นําของแม่ทัพทั้งหลายและยังเป็นผู้นําตระกูลของตระกูลฉินแห่งเมืองหลวงอันยิ่งยง เขาก้าวออกมาจากตําแหน่งและกล่าว “ฝ่าบาท ทว่าเราไม่มีขวดนํ้าเต้าไฟในกองทัพมากพอ ที่พวกเราใช้คือนํ้าเต้าต้นจื่อเถิง[1] ที่จะส่งให้กับกองกําลังหงส์แดงอันกระจายไปทั่วแดนดิน มีขวดเช่นนั้นอยู่หนึ่งล้านขวดทั่วทั้งจักรวรรดิ และจํานวนเพียงเท่านี้คงเก็บกักเมฆดําได้เพียงพื้นที่มณฑลเดียว ด้วยมณฑลอันมากมายในจักรวรรดิ จึงไม่อาจพึ่งพิงเพียงนํ้าเต้าไฟของกองทัพ”

ฉินมู่กล่าวขึ้นมา “แม้ว่าไม่มีขวดนํ้าเต้าในกองทัพมากพอ แต่จักรวรรดิก็มีขุนนางเจ้าหน้าที่มากมายที่ฝึกเวทมนตร์ และมีตระกูลทรงอํานาจเต็มไปด้วยยอดฝีมือ ในสภาราชสํานักก็มียอดฝีมือเกลื่อนกลาด ด้วยพระราชโองการจากองค์จักพรรดิ ท่านสามารถสั่งให้ทุกคนหลอมสร้างสมบัติที่ใช้สําหรับเก็บกักเมฆดําบนท้องฟ้า กําลังคนมากมายขนาดนี้ ผู้ว่าการชนบท ผู้ว่าการเยาว์ และผู้ว่าการใหญ่ทั้งหลายที่มีวรยุทธ์สูงก็จะสามารถรับผิดชอบพื้นที่ในปกครองของตนได้ ทั้งยังมีผู้เยี่ยมยุทธจากกองทัพไปเสริมกําลังในทุกๆ พื้นที่ เราก็น่าจะสามารถกําจัดเมฆทะมึนได้เกือบหมด”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “คงจะยากเสียหน่อยที่จะขับเคลื่อนผู้ฝึกวิชาเทวะทั่วทั้งจักรวรรดิเพื่อกําจัดเมฆร้ายนี้ มีผู้ฝึกวิชาเทวะพเนจรมากมายในยุทธจักรที่ไม่รับคําสั่งจากสภาราชสํานัก…”

“ดังนั้นพวกเราจึงต้องให้ฝ่าบาทลงมือทําด้วยพระองค์เอง แสดงตัวอย่างแก่โลกหล้า” ฉินมู่กล่าว “หากฝ่าบาทออกไปจากเมืองหลวง ท่องไปยังทุกจังหวัดและมณฑลเพื่อกักเก็บเมฆมืด ปวงชนทั้งหลายก็ย่อมจะทําตามท่าน”

ขุนนางบุ๋นบู๊เกือบทั้งหมดมองตากันไปมา หากว่าจักรพรรดิออกจากเมืองหลวงไปเก็บเมฆดําตามท้องที่ ซากทัพของสํานักต่างๆ ก็อาจจะฉวยโอกาสนี้ลอบสังหารเขา ในเมื่อการก่อกบฏของพวกเขาเพิ่งถูกปราบปรามไป

ราชครูสันตินิรันดร์ไปต่อสู้ที่แดนโบราณวินาศและถูกซุ่มโจมตี เป็นผลให้เขากลับมาด้วยความล้มเหลว หากว่าจักรพรรดิจะออกจากเมืองหลวง เขาคงต้องผจญกับการลอบสังหารทุกรูปแบบ

ขณะที่คนอื่นๆ กําลังจะกล่าวอย่างใดอย่างหนึ่ง จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็ตาเป็นประกายแล้วแย้มยิ้ม “จริงสิ ขุนนางฉิน เจ้ามีความคิดอื่นใดอีกไหมในการจัดการภัยพิบัติหิมะครั้งนี้”

“ภัยพิบัติหิมะเกิดขึ้นแล้ว และข้านั้นจนปัญญาที่จะทําสิ่งใด” ฉินมู่กล่าว “ข้าเคยได้ยินประโยคว่า หนทางของนักบุญคือการยังประโยชน์แก่วิถีชีวิตคนทั่วไป ด้วยผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายในโลกหล้า หากว่าดวงตะวันโผล่ออกมาและสลายหิมะตก ท่านจะต้องใช้ผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหลายออกไปช่วยละลายนํ้าแข็งในหมู่บ้านที่ถูกแช่แข็ง พวกเขาต้องช่วยปลูกพืชพันธุ์และธัญพืชอีกครั้ง หากวัชพืชงอกเงยขึ้นมา ก็ต้องเชิญผู้ฝึกวิชาเทวะให้ช่วยถอนวัชพืชออก หากว่ามีแมลงศัตรูพืชระบาด ก็เชิญผู้ฝึกวิชาเทวะมากําจัดแมลง หากว่าเกิดความเสียหายจากนํ้าแข็งกัด เชิญผู้ฝึกวิชาเทวะใช้เพลิงไฟขจัดนํ้าแข็ง”

“ฝ่าบาท นี่คือคําพูดของมารร้าย!” ขุนนางบุ๋นคนหนึ่งก้าวออกมาจากแถวด้วยร่างสั่นเทิ้มจากความโกรธจัด “ฝ่าบาท สิ่งที่เสนาวังกล่าวเป็นถ้อยคําของมารร้าย นี่จะบ่อนทําลายประเทศชาติ และทําร้ายปวงชน เขาต้องถูกประหารเลยเดี๋ยวนี้!”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงแย้มยิ้ม “ประโยคที่เขากล่าวถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง ทําไมมันถึงกลายเป็นถ้อยคําของมารร้ายไปได้ นั่นมิใช่ถ้อยคําที่บ่อนทําลายประเทศชาติและทําร้ายปวงชนเสียหน่อย แต่กลับเป็นถ้อยคําอันเป็นคุณ ซึ่งจะเยียวยาชาติบ้านเมืองและช่วยชีวิตปวงชน ตําแหน่งของเจ้าถูกเพิกถอน จงกลับบ้านไปและ ไตร่ตรองตนเอง ขุนนางฉิน เจ้ายังมีแผนการดีๆ อื่นๆ อีกไหม”

ฉินมู่ครุ่นคิดแล้วกล่าว “ฝ่าบาทสามารถให้เสนาบดีปกครองน่านฟ้าเฝ้าสังเกตการณ์ภูมิอากาศในทุกพื้นที่ ช่วงปีไหนที่มีนํ้าท่วม พวกเราสามารถเก็บกักนํ้าฝนลงในสมบัติวิญญาณอย่างขวดนํ้าเต้าได้ ช่วงปีไหนที่มีพายุ พวกเราสามารถเก็บกักลมไว้ในสมบัติวิญญาณ พวกเรายังสามารถเก็บกักไต้ฝุ่น สายฟ้า ทุกๆ อย่างในภูมิอากาศเพื่อใช้สอยเองได้ หากว่าเราประสบเดือนปีอันแห้งแล้ง เราสามารถปลดปล่อยนํ้าฝนและหากว่าเราสู้รบกับประเทศอื่นๆ พวกเราสามารถปลดปล่อยลูกเห็บ หิมะ สายฟ้า และ ทอร์นาโด ด้วยวิธีนี้เราสามารถควบคุมภูมิอากาศของเรา และโจมตีประเทศอื่นไปพร้อมๆ กันได้ ภัยพิบัติหิมะที่เกิดขึ้น ณ บัดนี้ แทบจะทําลายจักรวรรดิอันเกรียงไกรอย่างสันตินิรันดร์ แล้วหากทักษะเทวะโจมตีภูมิอากาศถูกช่วงใช้ใส่ประเทศศัตรู อาณาจักรใดจะต้านทานรับไหว”

“ฝ่าบาท การควบคุมภูมิอากาศเป็นการท้าทายกฎสวรรค์ นั่นคือถ้อยคําของมารร้าย!” ขุนนางบุ๋นอีกคนก้าวออกมา แล้วโขกหัวคํานับซํ้าแล้วซํ้าอีกจนเลือดไหลออกหน้าผาก “นี่คือถ้อยคําของมารร้ายอย่างแท้จริง และจะทําลายล้างจักรวรรดิของเรา! ฝ่าบาท รีบสั่งประหารมารร้ายแห่งฝ่ายมารตนนี้ด้วยเถิด!”

“เจ้าถูกถอนออกจากตําแหน่ง” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงโบกมือแล้วแย้มยิ้ม “หากว่าเจ้าไม่มีความคิดอ่าน ก็อย่าพูดเหลวไหลใส่ไคล้เสนาวัง จะมีประโยชน์อะไรที่ข้าจะจ่ายเงินเดือนให้เจ้าทุกๆ เดือน เมฆหิมะนี้ต่างหากที่กําลังทําลายล้างจักรวรรดิของข้า! ทหาร ลากเขาออกไป เสนาวังพูดนั้นง่ายกว่าทํา เจ้าจงติดตามข้าไปช่วยบรรเทาทุกข์”

ฉินมู่ลังเลแล้วกล่าวด้วยละอายนิดๆ “ข้ายังต้องกลับบ้านไปฉลองปีใหม่… ข้าสามารถแนะนําผู้คนที่สามารถช่วยเหลือฝ่าบาทได้”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงหัวเราะร่าด้วยเสียงอันดัง และรู้สึกราวกับเมฆมืดในหัวใจของเขาถูกปัดเป่าไปจนสิ้น เขาโบกมือ “ตกลง นั่นก็ใช้ได้เหมือนกัน ข้าต้องการคนใช้สอยจํานวนมากในตอนนี้ และหากผู้คนที่เจ้า แนะนํานั้นมีประโยชน์จริงๆ ข้าก็จะตบรางวัลให้เจ้าสมกับความชอบ”

เจ้านครเว่ยสะท้านใจ ลัทธิมารฟ้ากำลงัจะแทรกซึมเข้ามาในสภาราชสำนัก…แต่จะว่าไป ตอนนี้ข้าก็เป็นเทวราชลัทธิมารฟ้า และก็ได้แทรกซึมเข้าสภาราชสำนักตั้งนานแล้ว จ้าวลัทธิหนุ่มคนนี้รู้จักประจบสร้างความชอบ ราชครูไม่อยู่ในราชสำนักแค่ไม่กี่วันเขาก็ฉวยโอกาสฝังคนของเขาเข้าไป หากว่าราชครูไม่อยู่ไปอีกสองสามปี ข้าเกรงว่าแม้แต่จักรพรรดิก็คงกลายเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิมารฟ้า! แต่ราชครูหายไปไหนกันแน่นะ เขาออกไปท่องเที่ยวกับฮูหยินตั้งนานนม ไม่มีใจแวะกลับมาเลยสักนิดในเวลาที่เรื่อง ใหญ่ป่านนี้ปะทุขึ้น…

………………………………….

[1] ต้นจื่อเถิง ต้นวิสทีเรีย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version