Skip to content

Tales of Herding Gods 220

ตอนที่ 220 เรื่องร้ายไม่รู้จบ

“เมฆนี้ใหญ่พอ และก็ไม่ได้ใหญ่มากพอ เมฆและหิมะในจักรวรรดิสันตินิรันดร์เหมือนกับคําเตือนเสียมากกว่า”

ในทิศตะวันตก บนเขาพระสุเมรุอันยิ่งใหญ่ บนยอดเขาทองคํา อันวัดใหญ่ฟ้าคํารามตั้งตระหง่าน มันตั้งอยู่สูงลิ่วเหนือชั้นเมฆ ยูไลเฒ่ามองไปทางเขตแดนจักรวรรดิสันตินิรันดร์ เขาสามารถเห็นดวงตะวันฉายส่องด้วยแสงทองเจิดจ้าของมัน ทําให้เมฆก้อนใหญ่เท่าผืนมหาสมุทรสะท้อนแสงบาดตาเป็นพิเศษ

“กาลครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์อันยาวนานของวัดใหญ่ฟ้าคําราม พวกเราเคยเป็นประจักษ์พยานต่อการโจมตีภูมิอากาศเช่นนี้มาก่อน”

ใต้อาสนะของยูไล มีโพธิสัตว์ เอตทัคคะ และอรหันต์ยืนเรียงรายอยู่มากมาย และกําลังรับฟังคําพูดของเขา

“การโจมตีภูมิอากาศนั้นยังกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่าครั้งนี้ มันมาพร้อมกับหิมะหนักและเมฆมืดทะมึนอันคล้ายคลึงกัน ผู้คนไม่มีหนทางเลี้ยงชีวิต เป็นผลให้เกิดภัยพิบัติซํ้าแล้วซํ้าเล่าต่อกันมาอีกหลายปี ไม่รู้ว่าผู้คนทั้งหลายต้องตกตายไปเท่าไรในครั้งนั้น เอตทัคคะกู่ ไปนําพระสูตรจักรพรรดิโหยไห้ต่อยุคอันว่างเปล่าในปิฎกพุทธมา และพลิกไปที่หน้า 1,367”

หลวงจีนที่มีรอยคิ้วขมวดกังวลประดับหน้าตลอดเวลาลุกขึ้นและเดินจากไป เพียงแวบหนึ่งเอตทัคคะกู่ผู้นี้ก็นําพระสูตรหนาหนักมาและพลิกไปที่หน้าอันยูไล่เฒ่าบอกเขา “ยุคอันว่างเปล่า ปีจักรพรรดิโหยไห้ที่ 6,420 เกิดการเปลี่ยนแปลงในภูมิอากาศ หิมะตกลงมาถึง 30 วัน เมฆคลี่คลุมแดนแปดแสนลี้ ไม่เห็นดวงตะวัน ผู้คนอดอยากมีอยู่ทั่วไป โจรร้ายผุดขึ้นทุกหย่อมหญ้า จักรพรรดิโหยไห้สั่งให้เหล่าเทพยดาและราชามังกรออกไปกําจัดพวกมัน ปีจักรพรรดิโหยไห้ที่ 6,430 อุกกาบาตร่วงลงมาจากฟากฟ้า ดาวตกถล่มพื้นพิภพราวกับนํ้าท่วม ภูเขาไฟระเบิดเป็นหมื่นลูก พื้นดินสะท้านเกิดรอยแยกลึกบนผืนพิภพเป็นพัน มหาสมุทรแห้งเหือด ปีถัดมาดวงตะวันหายวับไป ไร้แสงจากสุริยันจันทรา”

เบื้องหลังยูไลเฒ่า จิตใจของอาจารย์ยากจนและคนอื่นๆ สั่นสะท้านอย่างมิอาจควบคุมได้ พวกเขาร้องออกมา “ยูไล นี่คือ…”

“แดนโบราณวินาศ”

ยูไลเฒ่าหันศีรษะกลับไปและมองไปยังดินแดนกว้างใหญ่ไพศาลอันอารยธรรมล่มสลายเบื้องหลังเขาพระสุเมรุ “ม้วนคัมภีร์โบราณนี้บันทึกห้วงเวลาสุดท้ายของอาณาจักรเทพยดาแห่งแดนโบราณวินาศ หิมะหนักและเมฆดําทะมึนเป็นเพียงคําเตือนแรกเท่านั้น ทว่าคําเตือนครั้งนี้มาเร็วกว่าที่ข้าคาดคิดเอาไว้ ทั้งเร็วกว่าและเบากว่า ดูเหมือนว่าสิ่งที่จักรวรรดิสันตินิรันดร์กําลังทํา จะทําให้ใครข้างบนนั้นจับตามอง”

อาจารย์ยากจน ผู้เที่ยงแท้เถียนและคนอื่นๆ ผงะไป และพวกเขาก็พึมพํา “แดนโบราณวินาศ…”

“หากจักรพรรดิต้องการสยบภัยพิบัติครั้งนี้ หนทางเดียวคือหยุดยั้งการปฏิรูปโดยพลันและศิโรราบ วิงวอนขออภัยโทษจากสรวงสวรรค์และประชาราษฎรของเขา”

ยูไลเฒ่ามองออกไปด้วยสายตาอันลึกลํ้า “มิเช่นนั้น ภัยพิบัติหิมะนี้จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ยังจะมีภัยภูมิอากาศอันน่าหวาดสยองกว่านั้นตามมาอีก และจะมิใช่เพียงหิมะและเมฆครึ้ม มันจะมีทั้งพายุดาวตก ภูเขาไฟระเบิด แม่นํ้าและมหาสมุทรแห้งเหือด สุริยันจันทราสาบสูญ นี่คือสวรรค์พิโรธ ความเกรี้ยวกราดของสรวงสวรรค์ที่ผู้คนต้องแบกรับ นี่มันมากเกินไป…”

“ยูไล รัชทายาทสันตินิรันดร์ส่งคนมาขอเข้าพบท่าน” ยูไลเฒ่าอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็เผยยิ้ม “รัชทายาทผู้นั้นยังคงอุตส่าห์มาหาข้า เชิญเขาขึ้นมา”

“ดังท่านบัญชา”

ยูไลเฒ่าแย้มยิ้มแก่หลวงจีนทั้งหลายที่ห้อมล้อมเขาและกล่าว “รัชทายาทนี้ค่อนข้างเลิศลํ้าเหนือธรรมดา และเขาอาจจะเป็นผู้กอบกู้โลก จักรพรรดิอาจจะดื้อรั้นดันตะแบงกับวิถีทางของเขา แต่รัชทายาทนั้นไม่เหมือนกัน คนส่งสารของเขามีค่าพอที่จะพบปะ”

ภูเขาหยกว่างคุนหลุนแห่งสํานักเต๋า เรียกว่าสรวงสวรรค์หยกว่าง อันเหมือนกับโลกมิติอันเพียบพร้อมสมบูรณ์ในตนเอง 4 ฤดูบนภูเขานั้นประดุจฤดูใบไม้ผลิตลอดเวลา และไม่ต่างอะไรกับแดนศักดิ์สิทธิ์ของเซียนผู้วิเศษ ไม่ด้อยไปกว่าเขาพระสุเมรุเลย

“เมฆที่คลี่คลุมทั้งจักรวรรดิสันตินิรันดร์นั้นร้ายแรงอยู่แต่ไม่ถึงกับอันตรายจนเกินไป นับว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับภัยพิบัติที่ทําลายล้างแดนโบราณวินาศ” เจ้าสํานักเต๋าเฒ่ากล่าวแก่นักพรตทั้งหลายแห่งสํานักเต๋าด้วยนํ้าเสียงอันไม่ช้าไม่เร็ว “สํานักเต๋าเรานั้นต่อต้านการปฏิรูปของจักรวรรดิสันตินิรันดร์มิใช่เพื่อรักษา ผลประโยชน์ตนเอง แต่เพื่อเต๋า การปฏิรูปนั้นทําลายกฎเกณฑ์และหลักการจํานวนมาก ดังนั้นมันจึงถูกชะตากําหนดให้ล้มเหลว น่าเสียดายที่ความรู้ของราชครูสันตินิรันดร์นั้นตื้นเขินและเขาไม่เข้าใจความน่าหวาดสยองที่กําลังตามมา”

สายตาของเขาลึกซึ้ง แต่เขามีบรรยากาศแห่งความสงบนิ่งใจเย็น เมื่อเขากล่าวอย่างแช่มช้า “เมื่อครั้งนั้น สมัยที่ราชครูสันตินิรันดร์ยังเยาว์ เขามาที่สํานักเต๋าเพื่อเข้าพบข้า ข้าเห็นได้ว่าเขามีความโดดเด่นเหนือธรรมดาและข้าก็คาดหวังกับเขาไว้สูงยิ่ง ดังนั้นข้าจึงอนุญาตให้เขาอ่านคัมภีร์สืบทอดของสํานักเต๋าเรา หวังว่าเขาจะมีความสําเร็จสูงส่งให้อนาคต ส่วนอคติของสํานักนั้น ข้าโยนมันทิ้งไปไม่คิด สําหรับยอดอัจฉริยะระดับข้า ย่อมแน่อยู่แล้วที่ข้าจะไม่สนใจการแบ่งเขาแบ่งเราของแต่ละสํานัก และช่วยฝึกฝนเสริมสร้างเขาอย่างสุดฝีมือข้า เมื่อเขาได้กลายเป็นราชครูสันตินิรันดร์ ความคาดหวังของข้ากลับกลายเป็นผิดหวัง ทําไม? เพราะว่าเต๋านั้นก่อรูปขึ้นมาตามอย่างธรรมชาติ”

ยอดฝีมือทั้งหลายแห่งสํานักเต๋านั่งฟังอย่างเงียบเชียบ

“เต๋าก่อรูปขึ้นมาตามอย่างธรรมชาติ พวกเราผู้ฝึกเต๋าจึงเรียกลมเรียกฝนได้ แต่เรามิอาจเปลี่ยนลมเปลี่ยนฝนและมิอาจเปลี่ยนแปลงธรรมชาติและเต๋าอันยิ่งใหญ่ ข้านั้นมิได้มีอคติต่อลัทธิมารฟ้าหรอกนะ ในทางตรงข้าม ข้านับถือพฤติการณ์บางอย่างของพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง แต่ทว่าหนทางของพวกเราแตกต่างกัน ทําไมเช่นนั้น”

เจ้าสํานักเต๋าส่ายหัว “เต๋าก่อเกิดจากธรรมชาติ แต่ลัทธิมารฟ้ากลับหมายจะใช้เต๋าเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ นี่คือความแตกต่างที่หนักหนาสาหัสที่สุดระหว่างสํานักเต๋าเราและลัทธิมารฟ้า นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ลัทธิมารฟ้าถูกเรียกว่ามาร”

นักพรตทั้งหลายแห่งสํานักเต๋าสะท้านใจ ตันหยางจื่อกล่าว “ข้าได้สังเกตตอนที่ศิษย์ลัทธิมารฟ้าใช้เวทมนตร์ย้ายเมฆแผ่ฝน ในยามแล้งพวกเขาก็จะทําให้ฝนตกและเก็บเงินทองจากชาวนา มีบางคนที่ใช้เวทมนตร์ควงเกลียวในการเจาะบ่อนํ้าแก้ปัญหาผู้คนไม่มีนํ้าดื่ม บางคนก็ใช้ไฟแท้เพื่อหลอมสินแร่สกัดโลหะออกมา หลอมตีเป็นอุปกรณ์การเกษตรเพื่อค้าขาย มีแม้กระทั่งศิษย์ลัทธิมารบางคนที่เรียกเก็บเงินจากชาวนาเป็นค่าตอบแทนการล่าสังหารสัตว์ปีศาจ ลัทธิมารฟ้านับว่าสวนกระแสธรรมชาติอันเป็นแหล่งกําเนิดเต๋า เปลี่ยนแปลงธรรมชาติ”

เจ้าสํานักเต๋ากล่าว “ใช้วิถีวิชา และทักษะเทวะเพื่อคนธรรมดาสามัญ นั่นเป็นการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ ทําลายธรรมชาติ เปลี่ยนแปลงและทําลายธรรมชาติคือการเปลี่ยนแปลงเต๋าอันยิ่งใหญ่และทําลายเต๋าอันยิ่งใหญ่ คําสอนของลัทธิมารฟ้านั้นผิดพลาด พวกเขาจึงได้แต่เข้าสู่หนทางมาร อีกคําสอนของเขาคือการกระทําอย่างตรงตามจิตคิด และไหลตามกระแสธรรมชาติ นี่หมายความว่าปล่อยให้ความปรารถนาและกิเลสพลุ่งพล่านโดยไร้ควบคุม ทําสิ่งต่างๆ ตามอําเภอใจ หากนี่ยังไม่นับว่าเป็นคําสอนของมารร้าย ต้องเลวร้ายขนาดไหนถึงจะนับว่าเป็นมารร้ายล่ะ”

เขาถอนหายใจแล้วกล่าว “ราชครูสันตินิรันดร์นั้นพัวพันกับลัทธิมารฟ้าอย่างถลําลึกเกินไป นั่นเป็นเหตุให้เขาใช้อุดมการณ์ของลัทธิมารฟ้ามาจัดการประเทศ มหาภัยพิบัติอันแดนโบราณวินาศได้ประสบ กําลังจะมาถึงจักรวรรดิสันตินิรันดร์ นี่คือทัณฑ์สวรรค์ เภทภัยอันถูกประทานมาจากสรวงสวรรค์ แต่ไม่ว่าจะ อย่างไร ปวงชนทั้งหลายนั้นไม่ควรต้องรับเคราะห์ไปด้วย”

เจ้าสํานักเต๋าใช้นํ้าเสียงที่นุ่มนวลขึ้น “พวกเจ้าทั้งหมดจงลงไปจากภูเขา โทษทัณฑ์จากสวรรค์ที่จักรพรรดิและราชครูไปตอแยมา ไม่ควรจะถูกแบกรับโดยปวงชน จงไปและช่วยเหลือคนธรรมดา สามัญเหล่านั้นเท่าที่เจ้าทําได้ ระหว่างที่เจ้าเดินทางช่วยเหลือผู้คน หากพบผู้เยาว์ที่มีรากฐานดีก็จงนํามาและเพิ่มพูนทายาทแก่สํานักเต๋าเรา”

“ตามท่านบัญชา” ยอดฝีมือสํานักเต๋าทั้งหมดลงจากเขา

เจ้าสํานักเต๋ามองขึ้นไปยังก้อนเมฆเหนือจักรวรรดิสันตินิรันดร์และถอนหายใจ “เรื่องนี้ไม่ควรถูกแบกรับโดยผู้คนทั้งหลาย…หากราชครูและจักพรรดิยังคงดื้อดึงที่จะมุ่งหน้าชนกําแพง สํานักเต๋าเราก็คงไร้ทางเลือกนอกจากเข้าไปเกลือกกลั้วกับโลกปุถุชน”

ฉินมู่ติดต่อผู้พิทักษ์ซ้ายและขวาเพื่อถ่ายทอดคําสั่งของเขา “พวกเจ้าจงไปช่วยจักรพรรดิออกบรรเทาทุกข์และเก็บกักเมฆทะมึนบนท้องฟ้า เจ้าสามารถส่งศิษย์ลัทธิเราไปทางใต้เพื่อช่วยกําจัดธัญพืชที่แข็งตายและปลูกชุดใหม่ ภัยพิบัติหิมะครั้งนี้คงทําให้ผู้คนล้มตายเป็นจํานวนมาก ดังนั้นทําให้สุดความสามารถและช่วยเหลือผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้ อีกอย่างกําชับศิษย์ของเราให้ระแวดระวัง ในเมื่อจะต้องมีจลาจลเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ท่ามกลางภัยพิบัติเช่นนี้ โลกหล้าคงไม่อาจสุขสงบได้อีกต่อไป”

“ตามท่านบัญชา”

ผู้พิทักษ์ซ้ายหนิงเต๋าเชียะลังเลแล้วจึงกล่าว “จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ พวกเราจะเข้าไปช่วยจักรพรรดิในฐานะอะไร หากว่าจักรพรรดิแต่งตั้งตําแหน่งขุนนางแก่พวกเรา พวกเราควรรับไว้หรือไม่”

ฉินมู่คิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยเหลือจักรพรรดิด้วยตัวตนปกติของเจ้า และด้วยอิทธิพลอํานาจของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ หากจักรพรรดิแต่งตั้งตําแหน่งแก่พวกเจ้า ก็รับมันไว้ หากว่าจักรพรรดิสามารถรองรับราชครูได้ เขาก็รองรับพวกเราได้เช่นกัน ไม่มีความจําเป็นต้องหวาดระแวง”

เขายั้งไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวเสริม “แม้ว่าโลกหล้าจะตกอยู่ในความวุ่นวายสับสน ผู้ฝึกวิชาเทวะที่เคยสูงส่งลํ้าเลิศมาตลอดย่อมไม่เต็มใจที่จะมารับใช้ผู้คนสามัญธรรมดาแบบลัทธิมารฟ้าของเรา ราชครูเคยกล่าวว่าเขาสังหารผู้ต่อต้านได้กลุ่มใหญ่ แต่ก็มิอาจฆ่าฟันจนหมดสิ้น หลังจากฆ่าไปกลุ่มหนึ่งก็จะมีอีกกลุ่มโผล่ขึ้นมา ข้าเคยคิดว่าราชครูเพียงแค่ล้อเล่นแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริง”

ฉินมู่เงยหน้าและมองขึ้นไปยังเมฆมืดมัวบนท้องฟ้า และกล่าวด้วยรอยยิ้มอันไม่เชิงจะยิ้ม “หิมะและเมฆมืดได้สร้างภัยพิบัติอันอาจทําลายล้างประเทศชาติ แต่พวกเขาก็ยังคงนั่งคิดว่าอะไรคือ มารร้าย และอะไรไม่ใช่ ไม่มีสักชั่วขณะจิตที่พวกเขาจะคิดช่วยเหลือผู้คน พวกเขาคงเคยชินกับการยืนอยู่บนจุดสูงสุดและ รู้สึกว่าการลดตัวลงไปช่วยปวงชนนั้นคือการสบประมาทพวกเขาอย่างร้ายแรง ดังนั้นการทําเช่นนี้จึงกลายเป็นหนทางมาร”

เขาส่ายหัว “ผู้คนเช่นนี้มีไม่ใช่น้อย และคงมีพวกหัวสุดโต่งในบรรดาคนเหล่านี้ที่จะฉวยโอกาสก่อกบฏหรือแม้แต่มุ่งโจมตีลัทธินักบุญสวรรค์ของพวกเรา พวกเจ้าทั้ง 2 จะต้องระวังให้จงหนัก!”

“จ้าวลัทธิโปรดอย่ากังวล ชื่อเสียงอันเกรียงไกรของลัทธิเรา มิใช่ได้มาด้วยการจับสลาก สามารถยืนยงจนบัดนี้ไม่ถล่มราบต่อพวกที่เรียกตนเองว่าฝ่ายเที่ยงธรรม!”

2 ผู้พิทักษ์โค้งคํานับแล้วจากไป

ฉินมู่จัดแจงตนเองและเงยหน้าขึ้นมองดูเมฆทะมึนเหนือจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ก่อนจะส่ายหัวแล้วกลับไปยังมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ฮู่หลิงเอ๋อ กิเลนมังกร และราชามารตู้เถียนรออยู่บนเรือเหาะเรียบร้อยแล้ว

ฉินมู่กล่าว “พวกเราควรแวะซื้อข้าวของเทศกาลปีใหม่ระหว่างทางกลับหมู่บ้าน ข้าเกรงว่าข้าวของพวกนี้คงไม่มีเหลือแล้วในเมืองเขตมังกร ด้วยจักรวรรดิสันตินิรันดร์ตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ข้าคาดว่าพ่อค้าที่นั่นคงมีน้อยลงมาก”

ราชามารตู้เถียนเงยหัวขึ้นมองดูท้องฟ้าแล้วหัวเราะในคอ “โลกของเจ้าดูท่าจะเจอเรื่องร้าย หิมะหนักและเมฆมืดเหล่านี้คงคลี่คลุมไปทั่วเขตแดนของจักรวรรดิสันตินิรันดร์เจ้าใช่ไหมล่ะ”

ฉินมู่ใจวูบไหวเล็กน้อย และเขาถามอย่างสุภาพ “ใต้เท้าราชามาร ท่านมีความคิดเห็นส่งสูงส่งใด”

“คุกเข่าและเลียเท้าข้า แล้วข้าจะบอกเจ้า” ราชามารตู้เถียนกล่าว วางท่ายโสโอหัง

ฉินมู่ปรายตามองฮู่หลิงเอ๋อ และนางก็เปิดแผงควบคุมในช่องอกของเทวรูป 8 แขน นางเข้าไปนั่งข้างในและควบคุมราชามารตู้เถียนให้คุกเข่าลงและแลบลิ้นออกไปเลียรองเท้าของฉินมู่

ราชามารตู้เถียนพลันรํ่าร้อง “มารอย่างข้า ฆ่าได้หยามไม่ได้! หยุดนะ หยุดก่อน…ข้าจะพูดแล้ว ข้าจะพูด”

ฉินมู่ยกมือขึ้น

ฮู่หลิงเอ๋อปล่อยคันบังคับ และราชามารตู้เถียนก็รีบกระโดดขึ้นมา เขาถุยๆ 2 ทีและไม่กล้าโอหังอีกต่อไป

หลายวันมานี้ ฮู่หลิงเอ๋อมีกลมากมายและใช้มันปั่นป่วนราชามารตู้เถียนจนเขาเชื่อง เขาตระหนักว่ามารฉลาดย่อมต้องโอนอ่อนยามมิอาจสู้ได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ยอมทําตามปีศาจจิ้งจอกจะสั่ง

ราชามารตู้เถียนยกมือขึ้นเช็ดปากของตนแล้วยิ้มหยัน “นี่คือวิธีการของเหล่าเทพ และมิใช่เทพธรรมดา หากว่าร่างจริงของข้าจุติลงมา ข้าก็จะช่วงใช้การโจมตีภูมิอากาศเช่นนี้เพื่อรุกรานและล้างบางเผ่าพันธุ์มนุษย์ เปลี่ยนโลกนี้ให้เป็นตู้เถียนใหม่ แต่ทว่าเทพยดาที่ใช้การโจมตีภูมิอากาสนี้ดูจะค่อนข้างเบามือ เขามิได้ลงมืออย่างอํามหิต ข้าคะเนว่าหิมะและเมฆเหล่านี้เพียงแต่เป็นคําเตือนเบาๆ เท่านั้น”

“คําเตือน?”

ฉินมู่ตกตะลึง แค่คําเตือนเบาๆ?

คําเตือนเบาๆ อาจจะสังหารผู้คนเรือนล้าน เพราะพวกเขาจะไม่สามารถรอดพ้นฤดูหนาวนี้ไปได้!

เขาจมอยู่ในความคิด และจิตของเขาประหวัดนึกถึงแดนโบราณวินาศ ด้วยโองการของมารและเทพ ผู้คนแห่งแดนโบราณวินาศจึงถูกละทิ้ง และถูกหยามหยันจากสถานที่อื่นทุกหนแห่ง

“หากมารและเทพไม่ตกตายก็จะมีแต่เรื่องร้ายไม่จบสิ้น!” ฉินมู่กล่าวอย่างเย็นเยียบ

“ฮูหยิน หากมารและเทพไม่ตกตายก็จะมีแต่เรื่องร้ายไม่จบสิ้น” ราชครูสันตินิรันดร์ยืนอยู่บนก้อนเมฆสูงลิ่วบนฟากฟ้า ขณะที่มองไปยังเมฆแผ่นใหญ่ไพศาลเหนือจักรวรรดิสันตินิรันดร์ และถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน

หญิงสาวข้างกายเขาอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นโฉมงามที่พบเห็นได้ดาษดื่น นางมิได้งามหยาดฟ้ามาดินแต่ก็มิได้อัปลักษณ์ นางมีรูปโฉมที่มองสบายตาและเป็นหนึ่งในนางกํานัลที่ถูกปูนบําเหน็จให้แก่ราชครู ท่ามกลางนางกํานัลเหล่านั้น มีนางเพียงผู้เดียวที่กลายเป็นภริยาของเขา

ความคิดของหญิงผู้นี้ก็เฉียบคมเมื่อนางถาม “ฮูจุนมิได้กลับไปคราวนี้ หรือเพราะว่าท่านคิดว่าจักรพรรดิจะสามารถแก้ไขภัยธรรมชาตินี้ได้?”

“ต่อให้จักรพรรดิมิอาจแก้ไข แต่ก็จะต้องมีผู้คนที่แก้ไขให้เขาได้ ไม่มีความจําเป็นที่ข้าต้องกลับไป” ราชครูสันตินิรันดร์แย้มยิ้ม “พวกเราไปนครหยกน้อยกลางฟากฟ้ากันดีกว่า”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version