ตอนที่ 261 หลี่เทียนซิ่งและจักรพรรดิ
ฉินมู่ตรวจตราดูจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงและพบว่าเขาไม่ต่างอะไรกับกระสอบรั่วๆ ที่เต็มไปด้วยข้าวเปลือก ข้าวเปลือกจะไหลออกมาจากกระสอบรั่วเหมือนกับที่โลหิตหลั่งไหลออกมาจากจักรพรรดิ สถานการณ์ของเขานั้นยํ่าแย่
ปราณและโลหิตของเขากําลังล้มเหลวอย่างรวดเร็ว ด้วยปราณและโลหิตเหือดหายไป เสียงตูมๆก็ดังมาจากสมบัติเทวะ อันดังกึกก้องราวกับฟ้าถล่มดินทลาย สมบัติเทวะของเขานั้นกําลังพังทลายลงมา ดังนั้นหากเขาไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เขาก็คงมีลมหายใจต่อไปได้ไม่เกินหนึ่งชั่วยาม
“ที่แท้ก็เป็นเสนาวัง” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงลืมตาขึ้นมาอย่างยากลําบากและถามด้วยเสียงอ่อนล้า “ข้ายังรอดได้ไหม”
ฉินมู่ตรวจตราอาการบาดเจ็บของเขาอย่างละเอียด และนิ้วทั้ง 10 ของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเมื่อเขาใช้วิชามารฟ้าเสกสรร ผนึกวิญญาณและจิตของเขามิให้หลุดลอยออกไปจากร่าง และในตอนนั้นจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็ไม่อาจเอ่ยวาจาหรือแม้แต่จะกะพริบตา
ฉินมู่นํานํ้าลายมังกรออกมาจํานวนหนึ่งและทาลงไปยังบาดแผลของเขา เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าเฒ่าบอดและเฒ่าหม่าจากไปแล้ว
“หรือว่าพวกเขาออกไปล่อศัตรูให้ตามไปไกลๆ?”
ฉินมู่ไม่แน่ใจ ดังนั้นเขาจึงกล่าวกับกิเลนมังกร “กลับไปที่บ้านท่านยาย”
กิเลนมังกรหันหลังกลับ ฉินมู่ในเวลานั้นก็นั่งบนหลังกิเลนมังกรและป้อนนํ้าลายมังกรให้แก่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิง ก่อนที่จะนวดเฟ้นร่างกายของเขาเพื่อรีดเลือดคั่งออกมา คิดคํานวณในใจสักพักเขาก็นํายาวิญญาณจํานวนหนึ่งออกมา
เมื่อครั้งก่อนนั้นตอนที่เขาตรึกตรองทําความเข้าใจวิชาร้อยรัด ปราณและโลหิตของเขาเหือดแห้งจากช่องโหว่ใหญ่ในวิชาอันทําให้พลังชีวิตของเขาเหือดหายไป ในตอนนั้น เขาหลอมปรุงยาวิญญาณ 2 ประเภทเพื่อช่วยชีวิตตนเอง ประเภทหนึ่งนั้นคือยาวิญญาณพุทธเพื่อฟื้นฟูพลังชีวิต และอีกประเภทคือยาเม็ดฟื้น โลหิตเพื่อฟื้นฟูปราณและโลหิต ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ใช้วิชายาวิญญาณหล่อเลี้ยงร่างเพื่อกินราชาปลาหลีฮื้อมังกรแดงอันเสริมสร้างสิ่งต่างๆ ที่ยังขาดพร่องไปในร่างกาย
ยาวิญญาณในมือเขาคือยาเม็ดฟื้นโลหิต
ฉินมู่ลังเล จักรพรรดิเอี้ยนเฟิงยังช่วยให้รอดได้ แม้ว่าปราณและโลหิตของเขากําลังล้มเหลว แต่หากเขากลืนกินยาเม็ดฟื้นโลหิตเข้าไปและทําให้ปราณกับโลหิตของเขากลับมามีชีวิตชีวิตา สมบัติเทวะที่กําลังถล่มลงมาก็คงจะทลายลงในรวดเดียว!
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงนั้นเป็นยอดอัจริยะที่หาได้ยาก ดังนั้นหากว่าพลังงานในสมบัติเทวะของเขาระเบิดขึ้นมาโดยพลัน มันก็จะปลดปล่อยกระแสพลังอันร้ายกาจ จักรพรรดิก็จะระเบิดดังปัง และแม้แต่ฉินมู่กับกิเลนมังกรก็คงแหลกเป็นชิ้นๆ จากพลังงานอันไร้ขื่อแปนั้น
แต่ทว่าหากเขาไม่เติมปราณและโลหิตกลับไปให้จักรพรรดิ อาการของจักรพรรดิก็จะอันตรายอย่างยิ่ง
ข้าจะต้องโน้มนําพลงังานในสมบัติเทวะออกไปเสียก่อนที่จะฟื้นฟูปราณกับโลหิตให้เขา
ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง วิธีที่ดีที่สุดคือการใช้เข็มเงินโน้มนําพลังงานออกมา แต่ทว่าเมื่อเข็มเงินปักเข้าไปในสมบัติเทวะ มันอาจจะละลายไปในพริบตาและไม่อาจเคลื่อนย้ายพลังงานออกมาได้ทันเวลา
อีกวิธีหนึ่งคือการปิดผนึก ปิดผนึกพลังงานในสมบัติเทวะของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงไว้ในร่างกายของเขา แต่ทว่าฉินมู่มิได้มีพลังวัตรสูงเพียงพอที่จะปิดผนึกพลังวัตรของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงได้
วิธีถัดไปคือการใช้ ‘ยาวิญญาณ’ หรือพิษเพื่อสลายพลังงานของเขาละลายมันเสีย แต่ทว่ายาวิญญาณชนิดนี้จะต้องหลอมปรุงด้วยสมุนไพรอันมีพิษร้ายแรง และหากเขาไม่ระวัง ร่างกายของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็คงจะละลายตามไปด้วย!
ฉินมู่ตัดสินใจที่จะใช้วิธีที่ 2 เขาไม่มีกําลังฝีมือพอที่จะปิดผนึกพลังวัตรของจักรพรรดิ แต่ท่านยายซีน่าจะมี
“แต่แม้ว่าข้าจะช่วยชีวิตเขา วรยุทธ์ของเขาก็คงถูกทําลายไปหมด กลายเป็นคนไร้ประโยชน์”
ฉินมู่รู้สึกเศร้าใจ จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงอยู่ในวัยฉกรรจ์ และร่างกายของเขาก็ยังแข็งแรงดี เขาสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกสองสามร้อยปี แต่หลังจากเคราะห์กรรมนี้ เขาก็คงเหมือนกับคนธรรมดา ด้วยอายุขัยที่เหลือเพียงไม่กี่สิบปี
จ้าวผู้ปกครองแดนดินอันยิ่งยงทรงอํานาจแห่งยุคสมัย กลายเป็นคนธรรมดา แม้แต่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็คงไม่อาจทานทนรับเรื่องนี้ไหว ฉินมู่ไม่รู้ว่าเขาจะหดหู่มากเพียงใดเมื่อฟื้นขึ้นมา
วิธีที่ 2 อาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ด้วยการปิดผนึกพลงังานของเขาไว้ในร่าง บางทีเขาอาจจะซ่อมแซมสมบัติเทวะของตนเองได้
ฉินมู่ส่ายหน้า ความเป็นไปได้นี้น้อยนิดเหลือเกิน
กิเลนมังกรกลับไปยังบ้านของท่านยายซีในป่า ปราณชีวิตของฉินมู่แผ่พุ่งและเขายกร่างจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงขึ้นด้วยปราณชีวิตเพื่อมิให้กระทบกระเทือน
ท่านยายซีออกมาเมื่อได้ยินเสียงดัง และตกตะลึง “มู่เอ๋อ เจ้าทําอะไรน่ะ…จักรพรรดิ? เจ้ากะจะถลกหนังจักรพรรดิและขึ้นเป็นจักรพรรดิเองงั้นหรือ เด็กดื้อ เจ้านี่นับวันยิ่งรู้ความจริงๆ!”
นางลิงโลดจนแทบกระโดดข้ามดวงจันทร์ และพลันวิตกขึ้นมา “แต่ว่าในวังหลังของจักรพรรดิมีสาวงามถึง 3,000 คน สนมแต่ละนางล้วนแต่เป็นนังจิ้งจอกระวังเจ้าจะลุ่มหลงจนตายคาอก”
ฉินมู่กล่าวอย่างจนปัญญา “ข้าไม่ได้จะถลกหนังเขาขึ้นเป็นจักรพรรดิ ท่านยาย ช่วยข้าปิดผนึกพลังงานในสมบัติเทวะของเขาหน่อยเพื่อมิให้เขาระเบิดออกมา ข้าจะออกไปซื้อสมุนไพร อย่าเปลี่ยนจักรพรรดิให้กลายเป็นเสื้อผ้านะ!”
ท่านยายซีมีสีหน้ากังวล “เจ้าต้องรีบกลับมาก่อนฟ้าจะมืดนะ มิเช่นนั้นนังกะหรี่หลี่เทียนซิ่งจะเริงร่าอย่างยิ่งที่ได้สวมคลุมผืนหนังจักรพรรดิและกลายเป็นจักรพรรดิ!”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงตื่นขึ้นมาในตอนนั้นและได้ยินบทสนทนาของพวกเขา เขาครุ่นคิดในใจ ใครคือท่านยายของเสนาวังกันนะ ร้ายกาจน่ากลัวอะไรอย่างนี้ แล้วอีกอย่าง หลี่เทียนซิ่งตายไปแล้วไม่ใช่หรือ เขาจะอยู่ที่นี่ด้วยได้อย่างไร…
อาการบาดเจ็บของเขาสาหัส สักพักเขาก็หมดสติไปอีกครั้ง ฉินมู่วิ่งออกไปจากประตูอย่างรวดเร็วและกะหมายตําแหน่งสถานที่ของตนก่อนจะวิ่งตรงไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุด
มันเป็นเมืองที่เงียบสงบและไม่ใหญ่โต เพราะภัยพิบัติ สมุนไพรหลายอย่างจึงไม่มีขาย ฉินมู่แวะเข้าไปในร้านยาหลายต่อหลายร้านถึงสามารถรวบรวมสมุนไพรที่ใช้ฟื้นฟูปราณและโลหิตได้เพียงพอ จากนั้นก็รีบวิ่งกลับไป
เมื่อเขากลับถึงบ้าน ท้องฟ้าก็ยังไม่ทันจะมืด เขาระบายลมหายใจโล่งอกและสํารวจดูคนไข้ของตน เขาเห็นท่านยายซีได้ปิดผนึกพลังงานในสมบัติเทวะของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเรียบร้อยแล้ว และซ่อนพวกมันเอาไว้ในร่างเนื้อของเขา จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงยังคงมีชีวิตอยู่ แม้ว่าร่างกายของเขาจะเริ่มแหลกสลาย และดวงวิญญาณและจิตก็ยังคงอยู่ดี
“เมื่อเจ้าถอดถอนวิชามารฟ้าเสกสรรออก ร่างเนื้อของเขาก็จะไม่อาจผูกรั้งวิญญาณและจิตของเขาเอาไว้ได้ เขาจะต้องตายแน่นอน!”
ท่านยายซีกล่าว
“เขาไม่ตายหรอก!” ฉินมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าสามารถผูกมัดวิญญาณและจิตของเขาให้ยังคงอยู่ในโลกมนุษย์ ตราบเท่าที่ร่างของเขายังมีลมหายใจ ข้ายังคงช่วยเขาได้!”
ท่านยายซีส่ายหน้า “ข้าจะไปเตรียมอาหารเย็น เจ้าจะต้องระวังมากๆ หลังจากนั้นเพราะเป็นเวลาที่ไอ้มารเฒ่าจะโผล่หัวออกมา”
ฉินมู่ตัวสั่นเทิ้มและรีบป้อนยาเม็ดฟื้นโลหิตกับยาวิญญาณพุทธให้เขาจํานวนหนึ่งก่อนจะใช้ปราณชีวิตของตนช่วยจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงย่อยฤทธิ์พลังยา จากนั้นเขาก็เอาเข็มเงินมาปักเข้าไปตามร่างของจักรพรรดิเพื่อเหนี่ยวนําฤทธิ์พลังยาก่อนที่จะไปหลอมปรุงยาวิญญาณเพิ่มอีก
ท่านยายซีทําอาหารเย็นเสร็จและเรียกฉินมู่มาทาน เมื่อทั้งคู่ทานอาหารเสร็จ ท่านยายซีก็หันกลับไปเข้าห้องส่วนตัว
ฉินมู่ยังคงเยียวยาจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงต่อ สักพักหนึ่งก็มีเสียงอันนุ่มเบาดังมา “มู่เอ๋อ จักรพรรดิเป็นอย่างไรบ้าง”
วิญญาณของฉินมู่สั่นเทิ้มจากเสียงนั้นและเขากล่าวโดยไม่ขยับจากที่ “จ้าวลัทธิหลี่ เจ้าก็เป็นจ้าวลัทธิมารฟ้าเหมือนกัน จะทําอย่างนี้ไปเพื่ออะไร”
เสียงนั้นพลันเปลี่ยนเป็นแก่ชรา และเขาหัวเราะในคอ “ข้าตายไปแล้ว ดังนั้นข้ามิได้เป็นส่วนหนึ่งของลัทธิมารฟ้าอีกต่อไป คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตก็ถ่ายทอดให้เจ้าแล้ว ทําไมเจ้ายังต้องมายุ่มย่ามกับเรื่องที่ข้าอยากจะทําอีกล่ะ ส่งจักรพรรดิมาให้ข้า ข้าจะใช้เขาให้ยกบัลลังก์แก่ข้า ข้าอยากจะเป็นจักรพรรดินี!”
ฉินมู่ไม่ตอบ
ทันใดนั้นประตูก็ถูกกระแทกเปิดออกกว้าง และยายเฒ่าซีก็บุกเข้ามาด้วยรอยยิ้มหยัน “ถ้าเจ้าไม่ส่งเขามาให้ข้า ข้าก็จะเข้ามาเอาเขาไปเอง!”
นางเพ่งมองสิ่งที่เกิดขึ้นและอึ้งไป นางเห็นฉินมู่ปักจักรพรรดิฝังไว้ในดินให้ยืนตรงงอกขึ้นมาเหมือนต้นสน
ฉินมู่กําลังเดินไปรอบๆ จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงพลางขับเคลื่อนวิชาต่างๆ และซัดฝ่ามือไปแล้วไปอีก ยังร่างที่ปักตรงอยู่นั้น
“วิชาดินอสงไขยเสกสรร? วิชาวิญญาณเสกสรร? หรือ ยังมีวิชาภูตผีเสกสรรอีก!”
ยายเฒ่าซีมองไปแค่ปราดเดียวก็เห็นวิชามือของฉินมู่อันมีการเปลี่ยนแปลงนับหมื่นนับพันแต่ละกระบวนท่าแต่ละฝ่ามือนั้นกระจ่างชัดเป็นอย่างยิ่งเมื่อเขาช่วงใช้นิพนธ์เสกสรรต่างๆ ในคัมภีร์
มารฟ้ามหาศึกษิตเพื่อเยียวยาอาการบาดเจ็บของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง
นี่เป็นเพราะว่าฉินมู่ไม่มีทางเลือกอื่น เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่มียาวิญญาณและยาวิเศษที่มากเพียงพอ ดังนั้นฉินมู่จึงได้แต่ใช้วิชาเสกสรรมาย้อนคืนการเสกสรรและใช้ทฤษฎีลึกซึ้งในนั้นมารักษาจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง
“จ้าวลัทธิฉิน วิชาดินอสงไขยเสกสรรของเจ้านั้นผิดพลาด!” เสียงแหบพร่าของหลี่เทียนซิ่งออกมาจากปากท่านยายซี และเย้ยหยัน “มันไม่ได้ใช้อย่างนั้น! วิชามารดีๆ ถูกเจ้าเอาไปใช้เละเทะไปหมด ทําให้มันดูเหมือนวิชาของฝ่ายเที่ยงธรรม เจ้าเอาหน้าลัทธิมารฟ้าพวกเราไปทิ้งหมดแล้ว!”
ผ่านไปสักพักเขาก็อดไม่ไหวกล่าวขึ้นมา “วิชาวิญญาณเสกสรรก็ผิด มันจะเอาไปใช้ช่วยชีวิตคนได้อย่างไร เจ้าเอาไปใช้เปลี่ยนจัดเรียงร่างเนื้อนี่มัน…น่าขายหน้าสุดๆ ใครเขาใช้วิชาภูตผีเสกสรรแบบที่เจ้าใช้กันหา ใช้วิชามารดีๆ มาสร้างความมั่นคงให้วิญญาณและจิต… หืม เดี๋ยวก่อน! น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ…”
ยิ่งเขามองดูมากเท่าไรก็ยิ่งหมกมุ่นมากขึ้นเท่านั้น วิชาเสกสรรของฉินมู่นั้นไปในทิศทางที่แตกต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง และวิชาอันชั่วร้ายเหล่านั้นกลับกลายเป็นวิชาอันยิ่งใหญ่น่าประทับใจ มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทําร้ายคนชัดๆ แต่ฉินมู่กลับใช้มันเพื่อช่วยชีวิตคน
ฉินมู่ใช้วิชาดินอสงไขยเสกสรรเพื่อรวบรวมปราณของพระแม่ธรณี พลังวิญญาณของฟ้าและดิน มาหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณดั้งเดิมของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง เขาใช้วิชาวิญญาณเสกสรรเพื่อป่นทําลายอาการบาดเจ็บที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างกาย และใช้วิชาภูตผีเสกสรรเพื่อเสริมความมั่นคงแก่ดวงวิญญาณและจิตของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง
ในฐานะจ้าวลัทธิรุ่นก่อน หลี่เทียนซิ่งเองก็ฝึกปรือวิชาเหล่านี้ แต่ทิศทางการฝึกของเขาเป็นไปในทางมารอันรวมเอาการปล้นชิงสิ่งเสกสรรของฟ้าและดินและสิ่งเสกสรรของผู้อื่น วิชามารของท่านยายซีก็ได้รับถ่ายทอดจากเขา
สายตาของเขาเฉียบแหลมและคมกริบ เขาสามารถเห็นได้ว่ามรรคาที่ฉินมู่มุ่งหน้าไปในวิชาเสกสรรนั้นตรงกันข้ามกับเขา เขานั้นช่วงชิงจากภายนอก แต่ฉินมู่ขุดค้นจากภายใน หากว่าใครฝึกปรือโดยใช้วิธีของฉินมู่ ความเร็วในการสั่งสมวรยุทธ์อาจจะช้ากว่าแต่วิญญาณ จิต จิตวิญญาณดั้งเดิม และร่างเนื้อจะกลายเป็นมั่นคงแข็งแกร่งอย่างอัศจรรย์ ทั้งร่างเนื้อและจิตใจจะเข้มแข็งทรงอํานาจ!
ที่มหัศจรรย์ที่สุดคือคําว่าเสกสรรในเจ็ดนิพนธ์เสกสรร นี่จะทําให้วิญญาณ จิต จิตวิญญาณดั้งเดิม ร่างเนื้อและสมบัติเทวะพัฒนาเชิงคุณภาพขึ้นไปอีกระดับขั้น ยกตัวอย่างเช่น พรสวรรค์ พรสวรรค์ของคนผู้หนึ่งกําหนดตายตัวมาแต่กําเนิดและยากที่จะเปลี่ยนแปลง แต่ทว่า การฝึกปรือของฉินมู่จะทําให้ผู้คนสามารถใช้วิชาเสกสรรเพื่อเปลี่ยนแปลงพรสวรรค์ของตนเองให้ดีขึ้นและดีขึ้นไปอีกได้
หลี่เทียนซิ่งเป็นยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ มิเช่นนั้นเขาคงมิได้มาเป็นจ้าวลัทธิมารฟ้า เมื่อเขาเห็นวิชาเดียวกันพัฒนาไปในอีกทิศทางที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง จึงช่วยไม่ได้ที่เขาจะจมจ่อมหมกมุ่นกับมัน
ทุกการเปลี่ยนแปลงในกระบวนท่าของฉินมู่มีแรงดึงดูดต่อเขาอย่างมหันต์ และแม้ว่าเขาอยากยิ่งกว่าสิ่งใดที่จะสังหารจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงและห่มคลุมผืนหนังของเขาขึ้นไปเป็นจักรพรรดิ แต่เขาก็ยังอยากที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในวิชาเสกสรร
โดยไม่ทันรู้ตัว ก็มีเสียงไก่ขันดังมา และมีแสงทองสาดส่องผ่านกระจก หลี่เทียนซิ่งถอนหายใจ “เจ้ารอดไปได้แค่คืนเดียว แต่ว่าข้าจะฆ่าพวกเจ้าในคืนหน้า…”
ร่างพลันสั่นเทิ้ม และท่านยายซีก็ตื่นขึ้นมา นางรีบถามทันที “มู่เอ๋อ ไอ้มารเฒ่านั้นทําอะไรเจ้าหรือเปล่า”
ฉินมู่เองก็ระบายลมหายใจโล่งอก ร่างของเขาโซมไปด้วยเหงื่อเหนอะหนะ เขาส่ายหน้าและกล่าว “เขาเพียงแต่หมกมุ่นในการชมดูวิชาเสกสรรของข้า และถูกเบี่ยงความสนใจไปตลอดทั้งคืน ท่านยาย ข้าจะพักสักหน่อย คืนหน้าข้าจะใช้วิชาอื่นๆ ในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตล่อหลอกให้เขาหมกมุ่นอีก”
เมื่อกลางคืนมาถึง อาการบาดเจ็บของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็ดีขึ้นมาก และเขาตื่นขึ้นมาด้วยสติรู้ตัวดี ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอกและกล่าว “ฝ่าบาท ข้าจะถอนวิชามารฟ้าเสกสรรออกจากร่างของท่านและดูว่าร่างเนื้อของท่านสามารถรั้งดวงวิญญาณไว้ได้ไหม”
เมื่อเขาถอนวิชามารฟ้าเสกสรรออก ร่างของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็พลันอ่อนยวบและล้มลงไปกับพื้น 2 วิญญาณและ 2 จิต จาก 3 วิญญาณ 7 จิตของเขาลอยออกมาพร้อมที่จะจากไปยังแดนใต้พิภพ
ฉินมู่รีบช่วงใช้นําทางวิญญาณเพื่อนําทางมันกลับเข้ามาในร่างกายเขาก่อนที่จะขมวดคิ้ว
ร่างกายของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงยังอ่อนแอเกินกว่าที่จะรั้งดวงวิญญาณและจิตของตนเอาไว้ได้
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะระริกรื่นก็ดังมาจากข้างนอก “จ้าวลัทธิ ข้ามาอีกแล้ว! หากว่าเจ้ายังไม่มีเล่ห์กลอะไรใหม่ๆ ข้าจะสังหารจักรพรรดิเสีย”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกล่าวอย่างอ่อนแรง “ปีศาจสาวจากที่ไหน เสียงพูดของนางช่างน่าหลงใหล…”
ฉินมู่รีบปิดผนึกประสาทสัมผัสทั้งห้าของจักรพรรดิทันที และร่างเขาก็สั่นเทิ้มเผยให้เห็นร่างเทวาจําแลงของเทพครองดาวเสาร์และประตูน้อมสวรรค์ที่ปรากฏเบื้องหลัง
ยายเฒ่าซีบุกเข้ามาในห้องตอนนี้และร้องออกมาอย่างตะลึงใจ “วิชาแท้จ้าวครองแดนดินเทพครองดาวเสาร์? แล้วอะไรเขียนอยู่บนประตูนั่น ทําไมถึงมีหนังสือในมือเจ้า วิชาแท้จ้าวครองแดนดินของเจ้าแตกต่างจากข้า”