Skip to content

Tales of Herding Gods 296


ตอนที่ 296 กระบี่เทวะ

“กุญแจใช้ไขเข้าคลังสมบัติบนภูเขานักบุญเยือนอยู่ในมือของท่านผู้หญิงแห่งตระกูลซี ซึ่งก็คือธิดาเทพแห่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์เรา” ซานโหย่วซิ่นกล่าว

“เรื่องเงินทองของลัทธิศักดิ์สิทธิ์เราอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของตระกูลซี และทรัพย์สินทั้งหมดต้องผ่านมือพวกนาง หากว่าท่านจ้าวลัทธิต้องการที่จะแตะต้องคลังสมบัติ ท่านจะต้องไปเอากุญแจจากธิดาเทพ ตราบเท่าที่พวกเรานําสมบัติและวัสดุลํ้าค่าในนั้นออกมา การหลอมสร้างกระบี่ลูก 8,000 เล่มนั้นจะไม่ยากจนเกินไป และหากเราใช้โรงงานนี้ก็จะค่อนข้างไวขึ้นอีก!”

ตระกูลซีนั้นเป็นตระกูลใหญ่อันมีศักดิ์ฐานะในลัทธิมารฟ้า และธิดาเทพส่วนใหญ่ก็มาจากที่นั่น ธิดาเทพรุ่นนี้คือซีอวิ๋นเซี่ยง อันหมายความว่ากุญแจคลังสมบัติก็จะอยู่กับนาง

ฉินมู่ไปตามตัวนาง และคําพูดของเขาก็ทําให้นางแตกตื่น “ไจกระบี่ที่หลอมสร้างขึ้นมาจากกระบี่ 8,000 เล่ม! จ้าวลัทธิจะยกกระบี่มากมายขนาดนี้ไหวหรือ”

ฉินมู่หน้าดําทะมึน เขานั้นก็ยังกังวลอยู่ว่าจะไม่สามารถแบกไจกระบี่อันสร้างขึ้นมาจากกระบี่บินมากมายขนาดนี้

ซีอวิ๋นเซี่ยงเห็นสีหน้าเขาก็หัวเราะคิกคัก “เจ้าเป็นจ้าวลัทธิครูบาศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นการใช้สอยสมบัติและวัสดุลํ้าค่าของลัทธิในการหลอมสร้างอาวุธวิญญาณนั้นก็ควรอยู่ แต่ทว่าสมบัติและวัสดุทั้งหมดนั้นได้ถูกสะสมรวบรวมโดยศิษย์ลัทธิเป็นระยะเวลานาน ด้วยการออกไปช่วยบรรเทาภัยพิบัติ พวกเราได้ใช้สอยเงินทองไปเกือบหมด ดังนั้นคลังสมบัติจึงไม่มีเงินทอง หากว่าเกิดอะไรขึ้นมาอีก ก็คงยากที่จะจัดการกับปัญหาโดยไม่มีเงิน”

ฉินมู่ยิ้มกล่าว “ข้ารู้ความยุ่งยากของเจ้า ข้ายังคงมีเหรียญสมบูรณ์พูนสุขหนึ่งล้านเหรียญที่นี่ ดังนั้นทําไมข้าจะไม่มอบพวกมันให้แก่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ล่ะ เจ้าสามารถใช้พวกมันในช่วงเวลาอันยากลําบากขัดสนได้”

ซีอวิ๋นเซี่ยงดีใจจนเนื้อเต้นและแย้มยิ้ม “แม้ว่าหนึ่งล้านเหรียญสมบูรณ์พูนสุขจะนับว่าเยอะ แต่ด้วยศิษย์ลัทธิเป็นล้านคน ทุกคนสามารถได้รีบเพียงหนึ่งเหรียญเป็นอย่างมาก ในเมื่อจ้าวลัทธิ

หลอมสร้างกระบี่ให้ตนเอง ดังนั้นท่านจ้าวลัทธิคงไม่ต้องการกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์แล้ว…”

ฉินมูสีหน้ามืดคลํ้า และเขาส่งกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ให้นาง

ซีอวิ๋นเซี่ยงเตือนให้เขาฉุกใจด้วยเจตนาดี “ยังมีสมบัติลํ้าค่าอื่นๆ อีกในถุงเต๋าตี้ของท่านจ้าวลัทธิ อย่างเช่น เจดีย์พันธง และของอื่นๆ ที่พอจะใช้ไปเติมคลังสมบัติได้สักหน่อย…”

ฉินมู่นําถุงเต๋าตี้ของเขาออกมา และดึงเจดีย์พันธง กับกู่ขิมไหม้ไฟ เขาพลันสะดุ้งและกล่าว “นี่ไม่ใช่แล้ว ข้าเพียงแต่จะหลอมสร้างอาวุธวิญญาณในขั้นหกทิศ ทําไมเจ้าต้องการสมบัติระดับสืบทอดสํานักจากข้าล่ะ มูลค่ามันไม่เหมือนกันนะ ธิดาเทพ นี่เจ้ากําลังจะหลอกข้าใช่ไหม”

ซีอวิ๋นเซี่ยงยิ้มหยันใส่เขา “ท่านจ้าวลัทธิ วัสดุลํ้าค่าในคลังสมบัติลัทธิเรานั้นเพียงพอที่จะหลอมสร้างสมบัติระดับสืบทอดลัทธิเป็น 10 ชิ้น! ท่านจ้าวลัทธิหมายจะใช้วัสดุและสมบัติลํ้าค่าเหล่านี้มาหลอมสร้างเป็นไจกระบี่ แต่เขาไม่ควรปล่อยให้คลังสมบัติลัทธิศักดิ์สิทธิ์เราว่างเปล่าไปแบบนั้นหรอก ใช่หรือไม่”

ฉินมู่ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง และมันก็ฟังดูมีเหตุผลจริง ดังนั้นเขาจึงได้แต่มอบสมบัติระดับสืบทอดสํานักทั้งหมดที่เขามีให้แก่นาง พวกมันทั้งหมดล้วนแต่ถูกขโมยมาจากวังทองโหรวหลัน ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยรวดร้าวใจนักที่ต้องสูญเสียพวกมันไป

“ท่านจ้าวลัทธิ ท่านยังคงมีไข่มุกดวงดาวที่ท่านงัดแงะออกมาจากวิหารในทะเลตะวันออกอยู่นี่ ใช่ไหม” ดวงตาของซีอวิ๋นเซี่ยงลุกวาววาม “และมันมีทั้งหมด 3,000 เม็ด!”

ฉินมู่หน้ามืดคลํ้าเข้าไปใหญ่ และกล่าว “ธิดาเทพ นั่นคือทั้งหมดที่ข้าเหลือนะ!”

ซีอวิ่นเซี่ยงแย้มยิ้ม “ท่านนั้นเป็นจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ และข้ามิได้นําสมบัติของท่านไปเป็นของตนเอง ข้าเพียงแต่ช่วยเก็บรักษาพวกมันไว้ให้ในคลังสมบัติของลัทธิศักดิ์สิทธิ์เรา ดังนั้นมันก็ยังเป็นของท่านมิใช่หรือ ตระกูลซีของเราบริหารจัดการด้านการเงินแต่มันก็คืองานอันเหนื่อยยากไม่ใช่หรือ พวกเราได้แต่มองเห็นเงินทอง แต่ไม่อาจใช้สอยพวกมันได้ ไม่ว่าพวกเราจะสะสมรวบรวมทรัพย์สมบัติมามากแค่ไหนแต่พวกมันก็ยังคงเป็นของแซ่ฉินมิใช่หรือ”

ฉินมู่คิดว่าที่นางพูดนั้นก็ฟังดูมีเหตุมีผล แต่เขาก็ยังคงตงิดใจว่ามีอะไรแปลกๆ ในท้ายที่สุด เขาก็นําไข่มุกเรืองแสงทั้ง 3,000 เม็ดออกมา

ซีอวิ๋นเซี่ยงลอบมองถุงเต๋าตี้ของเขาอย่างลับๆ ล่อๆ และกล่าว “และยังมีลูกตาหยกใหญ่ 2 ลูก…”

“ไม่มีทาง” สีหน้าฉินมู่ดําสนิท และเขาเริ่มคิดอยากฆ่าคน

ซีอวิ๋นเซี่ยงหยั่งถาม “แล้วกิเลนมังกรของท่านจ้าวลัทธิ…”

ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอกและแย้มยิ้ม

“หากว่าเจ้าเลี้ยงเขาไหวก็พาเขาไปได้เลย”

ซีอวิ๋นเซี่ยงหัวเราะออกมาทันที “ข้าเพียงแต่ล้อเล่นเท่านั้น เจ้าตะกละนั่นอยู่กับท่านจ้าวลัทธิก็ดีแล้ว ขนาดปรมาจารย์ยังไม่อยากได้มันเลย เบื่อที่มันกินเยอะเกินไป เดี๋ยวข้าไปหาผู้เฒ่าในตระกูลซีของข้าเพื่อไปนําสมบัติออกมาจากเขานักบุญเยือนมาหลอมสร้างกระบี่ให้แก่ท่านจ้าวลัทธิ”

ฉินมู่เก็บถุงเต๋าตี้อันโล่งว่างของเขากลับด้วยสีหน้ามืดครึ้ม เขารู้สึกราวกับถูกดรุณีผู้นี้ปล้นชิงจนเนื้อตัวเปล่าเปลือย

หญิงคนนี้หน้าเงินชะมัด ข้าเอาชนะนางไม่ได้ ข้าต้องให้หลิงเอ๋อมาช่วยดูแลการเงินให้โดยด่วน ไม่งั้นข้าคงถูกปอกลอกจนหมดเปลือก แม้แต่ไตคงต้องควักมาขายจ่ายเงินให้ธิดาเทพ! จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ฉินครุ่นคิดในใจ

ซีอวิ๋นเซี่ยงวิ่งหลบไปข้างๆ แล้วนํากระจกบานหนึ่งออกมา มันลอยขึ้นมาในอากาศและหมุนไป 2 รอบ กระจกอีกบานพลันปรากฏขึ้นมาในกระจกบานแรก และมีหญิงชราในนั้นที่เอ่ยถาม “ธิดาเทพเซี่ยงตามหาข้ามีธุระอะไร”

ซีอวิ๋นเซี่ยงบอกนางเรื่องที่ฉินมู่จะหลอมสร้างกระบี่ของเขา และกล่าว “อาวุธวิญญาณที่จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์จะหลอมสร้างขึ้นมานั้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย ท่านย่าทวดโปรดนําวัสดุลํ้าค่าคุณภาพดีที่สุดในคลังสมบัติออกมาและส่งพวกมันให้กับโรงงานผลิตในมณฑลกังหัน”

หญิงเฒ่าขมวดคิ้วและกล่าว “ตระกูลซีไม่เคยทําธุรกิจที่ขาดทุน จ้าวลัทธินั้นยังเยาว์อยู่มากและวรยุทธ์เขาก็ยังตํ่า ทําไมเขาถึงต้องการใช้สมบัติชั้นยอด…”

“ได้กําไร!” ซีอวิ๋นเซี่ยงรีบแสดงสมบัติที่นางต้มตุ๋นจากฉินมู่มาได้ และทําให้ย่าทวดแห่งตระกูลซีดวงตาลุกวาบ

“สมบัติวิเศษระดับจ้าวลัทธิตั้งมากมายขนาดนี้ ธิดาเทพนับว่ามีวิธีการจัดการบ้านเรือนจริงๆ! เยี่ยม เยี่ยม สมแล้วกับเป็นคนที่ข้าสอนมากับมือ เจ้าอย่าเอาอย่างป้าของเจ้า! ป้าของเจ้านั้นรู้จักแต่จะใช้เงินเหมือนตํานํ้าพริกละลายแม่นํ้า แต่ไม่รู้จักเก็บรักษา นับเป็นตัวสิ้นปลืองจริงๆ!”

คนที่นางพูดถึงคือท่านยายซี นางไม่เคยจะสนใจเรื่องเงินทอง และคอยแต่ซื้อของที่แพงเอาไว้ก่อนเสมอๆ

ย่าทวดแห่งตระกูลซีกล่าว “วัสดุชั้นเลิศสําหรับการหลอมสร้างกระบี่นั้นมักจะมีนํ้าหนักสูงยิ่ง เพียงก้อนเท่าหัวแม่มือก็มักจะหนักกว่า 10 ชั่ง ยิ่งไปกว่านั้น พวกเรายังไม่มีวัสดุแบบนี้ในคลังสมบัติมากพอที่จะหลอมสร้างกระบี่ 8,000 เล่ม หากต้องการจะหลอมสร้างกระบี่ระดับสมบัติจ้าวลัทธิ มันก็มีพอแค่หลอมสร้าง 27 เล่มเท่านั้นแต่ละเล่มก็จะหลักราวๆ หนึ่งหมื่นชั่ง”

“แล้ววัสดุที่ระดับคุณภาพตํ่าลงมาล่ะ?” ซีอวิ๋นเซี่ยงถาม

ย่าทวดแห่งตระกูลซีตอบ “วัสดุตํ่าลงมา 1 ขั้นก็ยังไม่พออยู่ดี อย่างมากก็ใช้หลอมสร้างกระบี่ได้ 100 เล่ม”

ซีอวิ๋นเซี่ยงขมวดคิ้วและถามอีก “แล้วตํ่าลงมาอีกขั้นล่ะ?”

“ถ้าตํ่าลงมาอีกขั้นก็จะเป็นแก่นเหล็กเหมันต์ แก่นทองทมิฬ และแก่นทองแดงทมิฬ พวกมันมีเกินพอที่จะหลอมสร้างกระบี่ 8,000 เล่ม”

ซีอวิ๋นเวี่ยงกล่าว “ถ้าอย่างนั้นท่านย่าทวดโปรดนําวัสดุชั้นหนึ่งกับระดับรองลงมามาที่นี่ และที่เหลือก็ใช้แก่นทองทมิฬมาปะให้ครบจํานวน วัสดุคุณภาพสูงสุดน่าจะเพียงพอที่จะใช้หลอมทําส่วนคมของกระบี่วิญญาณ”

ย่าทวดแห่งตระกูลซีถามอย่างสงสัย “แก่นเหล็กเหมันต์นั้นเบากว่าแก่นทองทมิฬถึง 3 เท่า ทําไมเจ้าถึงเรียกหาแก่นทองทมิฬแต่ไม่ใช่แก่นเหล็กเหมันต์”

ซีอวิ๋นเซี่ยงยิ้มหวานและย่าทวดแห่งตระกูลซีก็กลอกตาใส่นางผ่านกระจก “ยัยตัวร้าย จะเล่นซนอะไรอีกแล้ว ระวังเถอะจ้าวลัทธิจะฟาดก้นเจ้าจนบวมหากว่าเขายกกระบี่ไม่ขึ้น! ข้าจะส่งวัสดุไปยังมณฑลสมานฉันท์ ดังนั้นให้โจรสลัดแซ่ฝานขับเรือไปรับมันมา”

ซีอวิ๋นเซี่ยงรับคําและหมุนกระจกทองแดง 2 ครั้งในทิศทางตรงกันข้าม กระจกในกระจกก็หายวับไปโดยไร้ร่องรอย

ผ่านไป 2 วัน ฝานอวิ๋นเสี้ยวก็มาจากมณฑลสมานฉันท์ ขนส่งวัสดุทุกอย่างที่ฉินมู่ต้องการใช้สร้างกระบี่ ของเขา โรงงานผลิตในมณฑลกังหันก็เริ่มวุ่นวายกับการทํางานอีกครั้ง

การขึ้นรูปกระบี่ลูกนั้นไม่ยากในเมื่อมันเพียงแต่เทโลหะให้เป็นรูปลักษณ์เบื้องต้นของกระบี่ แต่กระนั้น กระบี่ลูกยังคงต้องถูกขัดเกลาอีกเป็นพันครั้งด้วยการทุบอัดและขึ้นรูปซํ้าแล้วซํ้าอีก

หลังจากที่ขัดเกลากระบี่ลูกเสร็จแล้ว เรือนกระบี่ก็จะมีลักษณะเหมือนแท่งแบนๆ การฝนมันให้เป็นรูปทรงกระบี่นั้นจําต้องให้ฉินมู่ลงมือทําด้วยตนเองอันเป็นงานเหนื่อยยากและต้องทําการตีเหล็กไปอย่างต่อเนื่อง

ฉินมู่หยิบกระบี่ลูกขึ้นมาเล่มหนึ่ง และสีหน้าของเขาก็บูดเบี้ยว ซีอวิ๋นเซี่ยงเดินเข้าไปทําทีเป็นห่วงใยกังวล “ท่านเจ้าลัทธิ มีอะไรผิดไปหรือ”

“มันค่อนข้างจะหนัก” ฉินมู่กล่าวอย่างเคืองแค้น “นี่มันหนักกว่าที่ข้ากะประมาณไว้สองสามเท่าเลย ตอนนี้กระบี่เล่มหนึ่งหนัก 300 ชั่ง หลังจากที่หลอมสร้างพวกมันทั้งหมดให้กลายเป็นไจกระบี่ กระบี่ 8,000 เล่มก็จะ…”

ซีอวิ๋นเซี่ยงระเบิดหัวเราะ “ก็ท่านจ้าวลัทธิต้องการวัสดุชั้นเลิศ ดังนั้นมันย่อมจะหนักขึ้นมาสักหน่อย วัสดุที่ใช้ทําส่วนคมของพวกมันนั้นดีกว่า หนักกว่า คมกว่า และยากที่จะหลอมตีมากกว่ากระบี่วิเศษที่จักรพรรดิมอบให้แก่ขุนนางชั้นหนึ่งของเขาด้วยซํ้า! อย่างที่ว่ากันว่า อาวุธชั้นเลิศ ไม่จําเป็นต้องใช้ทักษะ ท่านจ้าวลัทธิเพียงแต่โยนไจกระบี่ออกไป และท่านก็จะบดขยี้คนเป็นฝูงๆ จนตายไปโดยไม่ต้องใช้กระบวนท่ากระบี่เลยสักนิด”

ฉินมู่สีหน้ามืดคลํ้าพลางกล่าว “ก่อนนั้นข้าต้องยกมันโยนออกไปเสียก่อนเหอะ กระบี่ 8,000 เล่ม…”

ซีอวิ๋นเซี่ยงลิงโลดและกล่าว “ข้าเคยได้ยินมาว่าหากใครหลอมสร้างขัดเกลาศาสตราวุธจนถึงขีดสุด นํ้าหนักของมันก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตามใจคิด ท่านจ้าวลัทธินั้นเป็นยอดฝีมือด้านการหลอมสร้างสมบัติวิเศษ ดังนั้นท่านย่อมจะต้องสามารถหลอมสร้างไจกระบี่ไปถึงระดับนั้นได้เป็นแน่!”

ฉินมู่หันหนีพลางถือกระบี่ลูกจากนั้นพึมพําถ้อยคําที่ยากจะเข้าใจอะไรทํานองว่า ‘100 งานรังสรรค์ 100 วิชาหลอมเทวะเปลี่ยนแปร’ และ ‘พลังเคลื่อนย้ายภูเขา’

ซีอวิ๋นเซี่ยงกะพริบตาอย่างเริงร่าในจิตใจ

ในโรงงาน ซานโหย่วซิ่นหมายที่จะรั้งอยู่เพื่อชมดูการหลอมสร้างกระบี่ของฉินมู่ แต่รัชทายาทหลิงอวี้ชู้จะต้องไปจัดการงานบ้านเมืองต่อในมณฑลอื่น เขาจึงได้แต่สั่งให้ศิษย์จากโถงช่างฝีมือ และโถงวิศวกรรมมาช่วย ส่วนตัวเขาและขุนนางจากกระทรวงการงานนั้นจะต้องติดตามหลิงอวี้ชู้ไปยังมณฑลถัดไป

ด้วยมีศิษย์จากโถงวิศวกรรมมาช่วยเหลือ ความเร็วของการหลอมสร้างกระบี่จึงไม่ชักช้า แต่ทว่าการหลอมสร้างกระบี่ 8,000 เล่มเพื่อให้สอดคล้องตรงตามแบบอุดมคติอาวุธวิญญาณของฉินมู่นั้น ก็ยังคงเป็นงานใหญ่มหึมา

ปัจจัยสําคัญหนึ่งเลยก็เป็นเพราะว่าวัสดุลํ้าค่าที่ซีอวิ๋นเซี่ยงขนส่งมานั้นลํ้าเลิศเป็นอย่างยิ่ง มันจึงค่อนข้างใช้ความเพียรพยายามอย่างยิ่งยวดในการหลอมสร้างขัดเกลาจนพวกมันสามารถยืดหดเปลี่ยนแปลงขนาดได้ตามใจคิด ฉินมู่เองก็ต้องฝังรอยอาวุธวิญญาณและประทับรอยอักษรรูนทุกรูปแบบลงไปบนตัว กระบี่ หลังจากทํางานซํ้าๆ เช่นนี้มาหลายเดือนเขาก็ผอมซูบทรุดโทรมลงไปอย่างมากจากความเหนื่อยล้า

หลิงอวี้จิวและซีอวิ๋นเซี่ยงอยู่ด้วยเพื่อคอยช่วยและทั้ง 2 สาวก็ได้เรียนรู้เคล็ดวิธีในการหลอมสร้างจํานวนมากจากฉินมู่ พวกนางก็ยังเสริมวัสดุชั้นเลิศจํานวนหนึ่งเข้าไปในอาวุธเก้ามังกรและหนึ่งพันเส้นไหมของตน เพื่อเพิ่มพูนคุณภาพของพวกมัน

ฉินมู่หลอมสร้างขัดเกลากระบี่ 7,999 เล่ม อันเหลือเพียงเล่มเดียวคือกระบี่แม่ของไจกระบี่ มันจะต้องถูกสร้างขึ้นมาจากวัสดุที่ลํ้าเลิศที่สุด มิเช่นนั้นมันจะไม่สามารถรับรวมกระบี่ลูกทั้งหมดเข้ามาในตัวได้

เพื่อที่จะหลอมสร้างกระบี่แม่ ฉินมู่ได้เค้นสมองและความอุตสาหะไปมาก เขาจําเป็นจะต้องกันวัสดุชั้นเลิศไว้จํานวนหนึ่งเพื่อสร้างมันและนั่นก็เป็นโลหะที่เขาไม่เคยพบเห็น มันมีขนาดเพียงแค่กําปั้นแต่ก้อนแค่นี้ก็หนักถึงหนึ่งหมื่นชั่ง ซีอวิ๋นเซี่ยงกล่าวว่ามันคือวัตถุที่มาจากอวกาศ

แต่ทว่า ก้อนโลหะนี้นั่นเพียงพอแค่ได้หลอมใบกระบี่แต่ไม่พอที่จะหลอมกระบี่แม่ทั้งตัว

ฉินมู่นําเอากระบี่หักที่มาจากวังทองโหรวหลันออกมา ซีอวิ๋นเซี่ยงเห็นว่ามันเป็นเพียงเศษแตกหัก จึงไม่ได้ต้มตุ๋นมันไปจากเขา

ฉินมู่ถือก้อนโลหะปริศนาไว้ในมือข้างหนึ่ง และกระบี่หักในอีกมือ แกว่งมันไปมา ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงเคร้ง กระบี่หักและโลหะที่เขาไม่รู้จักพลันดึงดูดกันและปะทะเข้าหากันอย่างแรง!

นี่มันเหนือความคาดหมายของฉินมู่ และเขาเห็นกระบี่หักเปล่งแสงเจิดจ้า แสงทองก็สาดส่องออกมาก้อนโลหะขนาดเท่ากําปั้น มันดูราวกับกระบี่ที่ลอยอยู่ในอากาศ วนเวียนอ้อมรอบฉินมู่เป็นวงใหญ่ให้เขาเป็นจุดศูนย์กลาง รัศมีอันละลานตานั้นส่องให้ทุกซอกมุมของโรงงานผลิตสว่างไสว และแสงอันแจ่มจรัสนี้ก็ถึงกับยิงทะลุผ่านประตูและหน้าต่างออกไปข้างนอก!

เสียงเคร้งๆ ดังมาอย่างไม่หยุดหย่อนและฉินมู่ก็เห็นรังสีส่องจากโลหะที่มากระทบกันกับแสงเรืองรองของกระบี่หัก ทุกครั้งที่กระทบกันแขนของเขาก็จะชาหนึบจากแรงสั่นสะเทือน

หลังจากปะทะกันนับครั้งไม่ถ้วน ก้อนโลหะก็ร่วงลงกับพื้นและแตกกระจายกลายเป็นเถ้าถ่าน

แต่อีกฟาก กระบี่หักในมือของฉินมู่กับฉายแสงจํารัส แต่ตอนนี้มีที่ไหนล่ะกระบี่หัก

มันได้ดูดกลืนปราณทองจากโลหะก้อนนั้นและงอกเงยใบกระบี่ขึ้นมา กลายเป็นใหม่เอี่ยมอ่อง!

ตัวกระบี่นั้นมีรอยฝังอันแปลกพิสดารซึ่งยึกยือไปมาราวกับงูและมังกร รอยฝังเหล่านั้นเปล่งแสงวาบขึ้นมาแวบหนึ่งแล้วหรี่ดับไป แต่ฉินมู่ทันเห็นถ้อยคําที่ก่อรูปขึ้นมาจากรอยฝังเหล่านั้น

‘ไร้กังวล!’

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version