ตอนที่ 316 โอ วิญญาณจงหวนคืนมา
เรือสมบัติทิ้งสิ่งมีชีวิตแดนใต้พิภพให้กินฝุ่น ความเร็วของมัน เร็วยิ่งขึ้นไปทุกที นี่คือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!
บนดาดฟ้าเรือ ผานกงสั่วและพรรคพวกรีบเร่งจับราวกันตก เอาไว้เพื่อไม่ให้ตนกระเด็นปลิวไป หรือว่าเป็นไอ้เด็กผีฉินมู่นั่นที่ใช้ หมวกเกราะเงิน?
ผานกงสั่วมองไปรอบๆ เพื่อหาฉินมู่ และต้องประหลาดใจเมื่อ เห็นฉินมู่ก็กําลังเกาะราวกันตกอยู่เช่นกัน เขามิได้สวมใส่หมวก เกราะเงิน จึงเห็นได้ชัดว่าผู้ที่ควบคุมเรือเหาะอยู่มิใช่ฉินมู่
ผานกงสั่วอึ้งไปเล็กน้อย หากว่ามิใช่ฉินมู่ที่กําลังขับเรือ แล้ว ใครล่ะเป็นคนทํา
หรือว่ายังมีตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวอื่นๆ ซ่อนอยู่ในเรือลํานี้ หรือว่าเรือถูกวิญญาณเข้าสิง?
ตั้งแต่เมื่อพวกเขาขึ้นมาบนเรือประหลาด สิ่งพิลึกกึกกือก็เกิด ขึ้นมาต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน และจนถึงบัดนี้พวกเขาก็ยังสํารวจไม่ ตลอดทั่วทั้งลําเรือ เมื่อมาคิดๆ ดูแล้วมันน่าขนพองสยองเกล้าไม่ใช่ น้อยที่ประสบเรื่องราวแปลกพิกลติดๆ กันแบบนี้
เรือสมบัติเร่งความเร็วทะยานข้ามแดนใต้พิภพ อันคลี่คลุมไป ด้วยความมืดไร้ทิศสวรรค์และพิภพ เมื่อพวกเขาพุ่งผ่านความมืด อันไม่มีสิ้นสุดเช่นนี้ มันก็น่ากลัวไม่ใช่น้อย
พวกเขาแล่นไปอย่างนี้ได้นานพอดู จนกระทั่งเสียงปะทะกันดัง ออกมา และทุกๆ คนบนเรือแทบจะถูกโยนหลุดเรือไป ทหารและ หมอผีใหญ่บางคนที่ยืนไม่มั่นจับไม่ติด ก็กระเด็นข้ามราวกั้น ออกไปนอกเรือ เมื่อพวกเขาตกลงไปในความมืดข้างนอกนั่น เลือดเนื้อของพวกเขาก็ละลายหายไป กลายเป็นกองกระดูกที่ กระจัดกระจายร่วงกราว
“ข้างล่างมีแผ่นดิน” ใครบางคนร้องออกมาอย่างแตกตื่น ฉินมู่มองลงไปข้างล่างและเห็นว่าเรือสมบัติได้ชนเข้ากับยอด
เขาหนึ่ง ทําให้เกิดรูโบ๋ในยอดเขานั้น การปะทะชนกันนี้นี่เองที่ เหวี่ยงทหารและหมอผีใหญ่กลุ่มนั้นกระเด็นไป
ไม่นานนักยอดเขาก็ถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลังขณะที่ผู้โดยสารมอง ลงไปยังผืนดินข้างล่าง ที่น่าแปลกก็คือ ผืนดินเหล่านั้นมิได้เชื่อมต่อกัน มันเหมือนกับหมู่เกาะมากมายที่ล่องลอยเป็นกลุ่มอยู่ ท่ามกลางความมืด
ตูมมม!
ผืนดิน 2 แห่งเข้าไปปะทะชนกัน สถานการณ์กลายเป็น วิกฤต แผ่นดินทั้ง 2 ถูกผลักเข้าไปชนกัน และในพริบตานั้นภูเขา ไฟนับพันก็ระเบิดปะทุพร้อมๆ กันหมด ลาวาพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยควันดําโขมง ยืดยาวถึง 400-500 วา สร้างภาพอัน ตระการยิ่งใหญ่
สายฟ้าจํานวนนับไม่ถ้วนแล่นแปลบปลาบในควันหนาทึบเมื่อ มันขมวดตัวกลิ้งไปบนอากาศ ลาวาที่เย็นตัวลงก็ร่วงลงมาเป็นห่า ฝนก้อนหินอันน่าหวาดผวา มันมีพลังรุนแรงร้ายกาจ เมื่อก้อนหิน เหล่านั้นร่วงลงมาจากฟากฟ้าเป็นดาวตกอันมีหางไฟพวยพุ่ง
ผืนดินสะเทือนเลื่อนลั่นและภูเขาก็เอนไหวไปมา ด้วยห่าฝน ของลาวา ก้อนหิน และกรด มันก็ไม่ต่างอะไรกับวันสิ้นโลก
เมื่อเรือสมบัติแล่นผ่านห่าฝนร้ายนั้น ทุกคนบนเรือก็รีบแผ่พุ่ง ปราณชีวิตออกมาเป็นโล่ป้องกันฝนประหลาดนี้เพื่อมิให้ตนเองถูก ถล่มทับจนตาย
ทันใดนั้น ก็มีเสียงเคร้งคร้าง และฝนลาวาก็แปรเปลี่ยนเป็น เพชร เพชรลูกเท่ากําปั้นร่วงกราวลงมาจากฟากฟ้า พวกมันถูก สร้างขึ้นมาจากสายฟ้าฟาด และร่วงเกลื่อนไปหมดตลอดทั้งลําเรือ
เรือสมบัติเอียงไปข้างหนึ่ง ดังนั้นลาวาและเพชรทั้งหลายที่เกาะ อยู่ก็ถูกกวาดร่วงลงไป จากนั้นมันลอยอ้อมภูเขาไฟใหญ่มุ่งหน้า ต่อ
บนภูเขาไฟนั้น ลาวาไหลทะลักประดุจมังกรอัคคีจากปาก ปล่องภูเขาไฟถึงตีนเขาข้างล่าง ฉินมู่รีบมองไปและตื่นตระหนก ท่ามกลางแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดราวจะทําลายล้างโลกนั้น ก็มีผู้คนเรือนล้านที่เดินขึ้นไปบนภูเขา
พวกเขาเดินก้มหน้าอย่างเงียบงันผ่านการทําลายล้างทั้งหลาย ทั้งปวง ราวกับผีดิบ แต่ละก้าวที่พวกเขาย่างไปดูยากเย็นเป็นอย่าง ยิ่ง แต่พวกเขาก็ยังคงก้าวเดินต่อไปข้างหน้าราวกับมีแรงดึงดูดอัน รุนแรงอยู่ตรงหน้าพวกเขา
ที่ปากปล่องภูเขาไฟ ก็มีผู้คนค่อนข้างมากที่ไปถึงที่นั่นแล้ว กระโดดลงไปในปล่องโดยไร้ความรู้สึกใด จากนั้นพวกเขาก็ถูก ลาวาที่ทะลักออกมาซัดขึ้นไปบนท้องฟ้า!
นอกจากภูเขาไฟลูกนี้ ยังมีภูเขาไฟอีกนับพันบนผืนแผ่นดินนี้ จะนับว่ามีกี่คนกันแน่ที่ดั้นด้นผ่านภัยพิบัติโลกาวินาศเพื่อไป
โยนตัวเองลงในปากปล่องภูเขาไฟนั้น ก็นับไม่ถูก!
“พวกเขาไม่ใช่ผู้คน พวกเขาคือดวงวิญญาณ!” ฉินมู่สะท้านใจอย่างแรง เขาเห็นได้ว่าพวกนี้คือวิญญาณคน
ตาย ไร้กายหยาบ ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่มีแต่ดวงวิญญาณมนุษย์ แต่ บางพวกก็ยังเป็นสัตว์พิสดาร ปีศาจ มังกร หงส์เพลิง มีแม้กระทั่ง มารฟ้า
เรือสมบัติลอยผ่านภูเขาไฟมากมายอันมีดวงวิญญาณจํานวน มากมายเหลือคณานับเดินไปมา
เมื่อภูไฟระเบิดปะทุ ลาวาสีแดงเพลิงก็จะพวยพุ่งขึ้นไปบน ท้องฟ้า ผสานกับเสียงกัมปนาทบาดหู
ผานกงสั่วพึมพําด้วยสีหน้าซีดเผือด “นะ..นํ้าพุเหลือง นํ้าพุเหลือง…”
ฉินมู่จ้องด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่กําลังพูดเรื่อง อะไร
“นํ้าพุเหลืองอะไร”
“พวกเขาลงไปในนํ้าพุเหลือง!” ผานกงสั่นพลันร้องแทบคอ แตกด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดของเขา “นี่คือโลกหลังความตายของ พวกเรา! พวกเราอยู่บนเขาของภูติบดี!”
ฉินมู่ตัวสั่นเทิ้มเมื่อเขาเข้าใจคําพูดของผานกงสั่วในที่สุด เรือ ของพวกเขากําลังแล่นอยู่ระหว่างเขาของภูติบดี แผ่นดินเหล่านั้น ไม่ใช่แผ่นดินจริงๆ แต่เป็นส่วนหนึ่งของเขาของภูติบดี
ความลับเบื้องหลังเก้าสัตยาบันภูติบดีนั้นก็มาจากการโค้งบิด งอของเขาบนเศียรภูติบดี 9 ครั้ง ราวกับแม่นํ้าอันคดเคี้ยว
เพราะอย่างนั้น เขาทั้ง 2 แท่งของภูติบดีบางครั้งก็ถูกเรียกว่า นํ้าพุเหลือง 9 บิด อันดูเหมือน 2 กระแสธารนํ้าพุเหลือง
ฉินมู่รู้สึกขนหัวลุกอย่างกลั้นไม่อยู่ สถานที่นี้ดูเหมือนคําที่เรียกว่านํ้าพุเหลืองจริงๆ นั่นแหละ เพราะว่าภูเขาไฟนับพันนับหมื่น ระเบิดปะทุอย่างต่อเนื่อง หินหลอมเหลวกระเซ็นซ่านทั่วน่านฟ้าและ ส่องสว่างแก่ผืนดิน เมื่อมองไปจากที่ไกลๆ มันก็ดูเหมือนแม่นํ้าสีเหลืองอมแดง
แต่ทว่า เขาคู่นี้ไม่ดูใหญ่มโหฬารเกินไปหรอกหรือ! นี่ยังนับว่าเป็นเพียงเทพเจ้าอีกหรือ
“ฮี่ๆ ฮี่ๆ…” ผานกงสั่วดูราวกับจะประสบความตื่นตระหนกจน วิกลจริต เขาพึมพํา “นี่คือความจริงที่ข้าได้เคยเห็นครั้งหนึ่งในชีวิต
…ข้าตายไม่ได้ ข้าไม่ยอมตายเด็ดขาด ใครอยากตายก็ไปตายเอง ข้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป…”
ในที่สุดเรือสมบัติก็แล่นผ่านตลอดผืนแผ่นดินเหล่านั้นและลอยห่างจากไป ฉินมู่เหลียวกลับไปดูและในที่สุดก็เห็นรูปร่างเต็มๆ ของเขาทั้ง 2 แท่ง ลาวาพวยพุ่งจากดินแดนและเชื่อมต่อพวกมัน เข้าด้วยกัน แผ่นดินที่เหนือกว่าอีกขั้นก็เป็นท้องฟ้าของแผ่นดินอีก ผืน
ด้วยการเชื่อมต่อกันเช่นนี้ ชิ้นส่วนจํานวนไร้ประมาณก็ก่อเป็น รูปของการบิดงอของเขา 9 ครั้งอันดูเหมือนนํ้าพุเหลือง 9 บิดเมื่อ มองจากที่ไกลๆ
ดวงวิญญาณมากมายนับไม่ถ้วนถูกนําทางมาจากที่ไหนก็ไม่ ทราบได้เข้าไปในแผ่นดินเหล่านั้น เพื่อกระโดดลงไปในนํ้าพุเหลือง
แต่กระนั่นที่เห็นนี้ก็ยังเป็นเพียงเขาบนหัวของภูติบดีซึ่งใหญ่โต มโหฬาร!
มองไปข้างล่าง ฉินมู่ไม่รู้ว่าเขาคู่นี้ยาวลึกลงไปเท่าไร พวกมัน ซ่อนอยู่ในความมืด โคนของมันไม่ปรากฏต่อสายตา ข้างล่างเขาคู่ นี้น่าจะเป็นเศียรของภูติบดี ตํานานกล่าวไว้ว่าเขามีเศียรของ พยัคฆ์ ส่วนเขานั้นเป็นของวัวกระทิง แต่ถึงอย่างไรฉินมู่ก็มิอาจ
มองเห็นเศียรนั้น
เขาถอยกลับจากที่ชะโงกดูและตกลงใจมั่นเหมาะ สัตยาบันภูติ บดีนั้นมิอาจลงนามโดยไม่ระวัง หากว่าเขาทําเช่นนั้นและสัตยาบัน เกิดผลขึ้นมา เขาคงไม่อาจดิ้นรนได้เลย!
เขารู้สึกเศร้าใจ เพราะว่าบิดาของเขาได้ลงนามในสัตยาบัน ภูติบดี
เมื่อลงนามไปแล้ว ก็ยากที่จะทําให้เป็นโมฆะ เรือสมบัติแล่นไปเร็วขึ้นและเร็วขึ้น ไปยังท้องฟ้าเหนือแผ่นดิน
อีกผืน ที่นี่เป็นโลกมิติที่กําลังแหลกสลายอันถูกซ่อนเร้นอยู่ใน
ความมืด เรือกระดาษบรรทุกวิญญาณคนตายลอยล่องมาจาก ความมืดดํา
เรือกระดาษมากมายแล่นผ่านเรือสมบัติและล่องลอยตรงไปยัง แดน 9 สัตยาบัน เสื้อผ้าของดวงวิญญาณเหล่านี้ขาดรุ่งริ่ง และ พวกเขาล้วนแต่เป็นฝูงมารฟ้าแห่งเผ่ามารฟ้า แต่ทว่าไม่มีใครเลย
สักคนท่ามกลางพวกเขาที่ดูดุร้ายเหี้ยมโหดอย่างที่เขาเคยเห็นใน แดนโบราณวินาศ ในทางกลับกัน ดวงวิญญาณเหล่านี้มีแต่ชรา พิการ และอ่อนแอ
เรือกระดาษนับไม่ถ้วนไหลผ่านไป อันทําให้เห็นได้ชัดว่าผู้คน จากฝูงมารฟ้าได้ล้มตายกันเป็นเบือ ภายใต้สภาวการณ์ปกติ ธรรมดา ไม่น่าจะมีคนล้มตายมากขนาดนี้ แม้แต่สงครามขนาด ใหญ่ก็ยังไม่อาจปลิดชีวิตผู้คนจํานวนนี้ได้ในเวลาเดียวกัน
“โอ วิญญาณจงหวนคืนมา…”
ในกาลและอวกาศแห่งความมืด แรงสั่นสะเทือนบางๆ ส่งมาพอ รู้สึกได้ มันคือเสียงกู่ร้องหวนไห้ของมารเทวะในโลกมิติอื่น เมื่อเขา ร่ายลํานําด้วยภาษามาร ฉินมู่มองไปยังแหล่งที่มาของเสียงและเห็น มารเทวะ 4 เศียร 8 กรยืนอยู่ท่ามกลางความมืดอันดําสนิทกําลังกู่ ตะโกนอยู่ ด้วยมีโลกมิติกั้นกลางระหว่างพวกเขา เขาจึงมองเห็น
และได้ยินมารเทวะตนนั้นไม่ถนัดนัก
“โอ วิญญาณจงย้อนคืนมา อย่าร้างลาสู่ดินแดนอันมืดมิด บนเขาร้ายภูติบดีมี 9 บิด แลอีก 9 สัตยาบันพันธนาการ ร่างของเขาโค้งค่อมนิ้วชุ่มเลือด ไล่เฉือนเชือดวิญญาณเจ้าด้วยเท้าสอง สามเนตรกลางหัวพยัคฆ์คอยจ้องมอง และร่างครองวัวกระทิงอันดุดัน
โอ ดวงวิญญาณจงหวนคืน อย่าถูกกลืนด้วยพิบัติฉกาจมหันต์ ข้าเรียกเจ้าคืนมาในปัจจุบัน ย่างก้าวนําพวกเจ้ากลับสู่แดนดิน…”
เรือสมบัติแล่นต่อไปข้างหน้า และเสียงของราชามารตู้เถียนก็ เบาลงๆ ทุกที จนกระทั่งฉินมู่มิได้ยินเสียงรํ่าร้องของเขาอีกต่อไป เรือสมบัติแล่นไปจากโลกตู้เถียนอันกําลังย่อยยับดับสูญ เพราะ อย่างนั้นจึงมีดวงวิญญาณของผู้คนจากฝูงมารฟ้าล้มตายออกมา มากมาย
ฉินมู่หันกลับไปมองและเห็นเรือกระดาษจํานวนมากที่ลอยเข้า ไปในแดนใต้พิภพจากโลกตู้เถียน และหัวใจของเขาก็พลอยเศร้า สร้อยไปด้วย บางทีนี่อาจจะเป็นชะตากรรมในอนาคตของโลกที่ พวกเขาอาศัยอยู่เช่นกัน
เวลาผ่านไปสักพัก พวกเขาก็มาถึงอีกแผ่นดินหนึ่งในความ มืด ประกายแสงเทวะระยิบระยับเป็นจุดๆ กระจายอยู่ในความมืดอัน ขมุกขมัวนั้น เผยให้เห็นสิ่งมีชีวิตจากแดนใต้พิภพแหวกว่ายไปมา
ความเร็วของเรือสมบัติค่อยๆ ลดลง และผู้คนบนเรือก็สามารถ มองเห็นได้ถนัดตาในที่สุดว่าแสงเทวะเหล่านั้นคืออะไร พวกมันคือ รัศมีที่แผ่ออกมาจากเทวรูปในทุกๆ หมู่บ้าน บางที่นั้นก็แผ่ออกมา จากซากโบราณสถาน
เรือนี้ได้เดินทางมาถึงแดนโบราณวินาศ ฉินมู่จิตใจปั่นป่วนเล็กน้อย เมื่อยามราตรีมาเยือนแดนโบราณ
วินาศ แดนโบราณวินาศก็ได้เชื่อมต่อเข้ากับแดนใต้พิภพ!
บางส่วนของแดนโบราณวินาศซ้อนทับกับแดนใต้พิภพ เมื่อ ยามกลางคืนมาถึง ก็จะมีสิ่งมีชีวิตจากแดนใต้พิภพออกมาร่อนเร่
พเนจร ในตอนนั้นโลกแดนใต้พิภพก็จะยึดครองสะกดข่มโลกจริง แต่ทว่าเมื่อยามกลางวันมาถึง โลกจริงก็จะบดบังแดนใต้พิภพ
ในความมืด ที่ใดก็ตามที่มีแสงเทวะส่องออกมา นั่นก็คือโลก จริง และแต่ละแสงรัศมีนั้นก็คือประตูเข้าสู่โลกจริง
นี่หมายความว่า หากพวกเขาเข้าไปในหมู่บ้านหรือซาก โบราณใดๆ ที่ได้รับการปกปักษ์พิทักษ์จากรูปสลักหิน พวกเขาก็ จะสามารถออกจากแดนใต้พิภพแล้วกลับคืนสู่โลกจริงได้!
จุดมุ่งหมายที่เรือสมบัติแล่นมาที่นี่นั้นก็คงจะเป็นเพราะว่า ต้องการส่งพวกเขากลับสู่โลกจริงนั่นเอง
ความเร็วของเรือสมบัติเชื่องช้าลงไปทุกที ดังนั้นผู้โดยสารจึง สามารถมองเห็นจุดหมายปลายทางของพวกเขาได้ในที่สุด ตรงหน้าพวกเขาคือซากโบราณอันสาดส่องแสงรัศมีน่าตื่นตะลึง ที่ใจกลางซากโบราณนั้นยังมีราชวังยิ่งใหญ่อลังการตั้งอยู่ แต่มันพังเก่าครํ่าคร่าไปแล้ว กระนั้นเทวรูปอันสลักเสลาด้วยท่วงทีอันยิ่งยงก็ ยังคงสาดส่องแสงรัศมีขับไล่ความมืด
เรือสมบัติค่อยๆ จอดอย่างนิ่มนวล และลอยเข้าไปในท้องฟ้า เหนือซากโบราณ ข้างล่างนั้นมีสัตว์พิสดารจํานวนมากนอนอยู่ เช่นเดียวกับคนผ่านทางที่อยู่ร่วมกันกับสัตว์พิสดารอย่างสงบเพื่อ หลบหลีกการรุกรานของมวลมืด
พวกเขาล้วนแต่โงหัวขึ้นมามองด้วยความสนอกสนใจต่อเรือ เหาะที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาข้างบนฟ้า
ฉินมู่เรียกค้างคาวขาวทั้ง 2 และกิเลนมังกรให้กระโดดลงจาก เรือ ผานกงสั่วก็ให้ผู้ติดตามของเขากระโจนลงจากเรือด้วยเช่นกัน
หนึ่งในบรรดาราชาหมอผีมองไปยังฉินมู่และกล่าวด้วยประกายตาอันวูบไหว “ท่านผู้สูงศักดิ์…”
ผานกงสั่วส่ายหัว “ตอนนี้พวกเราอยู่ในแดนโบราณวินาศ ดังนั้นจงทําตามกฎกติกาของแดนโบราณวินาศ อย่าก่อเรื่องเพิ่ม เลย”
ฉินมู่เงยหน้าขึ้นมองเรือเหาะด้วยความรู้สึกอันซับซ้อน เรือ สมบัตินั้นค่อยๆ หมุนกลับทิศทาง ก่อนที่จะแล่นออกไปจากซากโบราณเข้าไปในความมืดมิด
บุรุษในต้นไม้คงจะขับเรือนี้กลับเข้าไปในแดนใต้พิภพ เพื่อ เสาะหาครอบครัวของเขา
