ตอนที่ 350 เทพเจ้าและเทพเจ้า
นอกโถงสามกําเนิด ผู้ใหญ่บ้านลอยอย่างเยือกเย็นอยู่บน อากาศ ผู้สันโดษชิงโยวเหลือบแลเขาแล้วกล่าว “พี่ทางเต๋าดูใจเย็น จริงๆ เจ้าดูไม่กังวลเลยแม้แต่น้อยว่าศิษย์ของเจ้าจะสามารถผ่าน การทดสอบของสามกําเนิดได้หรือไม่ เจ้าค่อนข้างจะมั่นใจในตัว เขามากทีเดียว”
ผู้ใหญ่บ้านกําลังหวนนึกถึงเก้าอี้โยกที่ฉินมู่ต่อให้เขา เขายิ้ม ออกมา “ข้าเชื่อมั่นในความสามารถของมู่เอ๋อ แม้ว่าการทดสอบ ของโถงแห่งสามกําเนิดจะยากนัก แต่มันก็เคยมีผู้คนเข้าไปในนั้น หลายคน และมีไม่น้อยเลยที่ผ่านมาได้ มู่เอ๋อนั้นไม่ได้อ่อนด้อยไป กว่าพวกเขา”
ผู้สันโดษชิงโยวสายตาวูบไหว “โถงแห่งสามกําเนิดทดสอบ สามกําเนิดของเทพเจ้า และพี่ทางเต๋าพึงรู้ข้อดีและข้อเสียของเรื่อง นั้น เพราะถึงอย่างไร เจ้าก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เข้าไปในโถงเมื่อครั้ง อดีต”
“เจ้าก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ” ผู้ใหญ่บ้านหวนรําลึกถึงอดีตและ ถอนหายใจ “ข้าได้เลือกกําเนิดฟ้า แล้วเจ้าล่ะเลือกอะไร”
“กําเนิดนํ้า” ผู้สันโดษชิงโยวกล่าว “ข้าได้พ่ายแพ้ ขณะที่เจ้า ชนะไปได้ นั่นคือเหตุผลที่เจ้ารุดหน้าเหนือกว่าข้า”
“สาเหตุที่ข้ารุดหน้าข้ามเจ้าไปนั้นมิใช่เพราะว่าข้าทลายด่าน กําเนิดฟ้าสําเร็จ แต่เพียงความสามารถในการดิ้นรนต่อสู้ของข้า นั้นเหนือกว่าเจ้า”
ผู้ใหญ่บ้านมองไปที่เขาและกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “จิตฮึดสู้ ของข้าเหนือกว่าเจ้า และความสามารถในการต้านรับความ ล้มเหลวของเจ้านั้นด้อยกว่าข้า เพียงแค่ความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ
ในด้านนิสัยใจคอนี่แหละที่ทําให้ช่องว่างระหว่างเจ้าและข้าถ่างกว้างขึ้นทุกที อันที่จริงแล้วมรดกยุทธ์ของนครหยกน้อยนั้นไม่ด้อย
ไปกว่าโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์ หากว่าจิตฮึดสู้ของเจ้าแข็งแกร่งกว่า นี้ ความสําเร็จของเจ้าคงไม่ด้อยไปกว่าข้า”
ผู้สันโดษชิงโยวแค่นเสียงเฮอะ ด้วยความขัดเคืองเล็กน้อย เขากล่าว “ทลายด่านกําเนิดฟ้า ทลายด่านกําเนิดดิน ทลายด่าน กําเนิดนํ้า เจ้าคิดว่ากษัตริย์มนุษย์จะเลือกอย่างไหน”
ผู้ใหญ่บ้านไม่เสียเวลาคิด “เขาจะเลือกด่านที่แข็งแกร่งที่สุด” ผู้สันโดษชิงโยวร่างสั่นเทิ้ม และเผยสีหน้าไม่เชื่อหู “ทลายด่าน
สามกําเนิด?”
ผู้ใหญ่บ้านผงกหัวแล้วตอบอย่างเนิบนาบ “ศรัทธาความเชื่อ ของเขาเหนือลํ้ากว่าข้าในครั้งนั้น และจิตฮึดสู้ของเขาก็เหนือกว่า มาก เขามีความเชื่ออันไร้เทียมทานในตนเอง และจิตฮึดสู้อันไม่มี ผู้ใดในโลกหล้าทัดเทียมได้ ดังนั้นเขาย่อมจะต้องเลือกทลายด่าน สามกําเนิด!”
“อย่างนั้นเจ้าก็ยังไม่กังวลเลยสักนิดรึ” ผู้สันโดษชิงโยวร้อง ออกมา “เจ้าก็เคยผ่านด่านทดสอบชนิดนี้มาก่อน และเจ้าก็น่าจะรู้ ว่าทลายด่านสามกําเนิดนั้นน่าสะพรึงกลัวมากแค่ไหน! เขาไม่มีโอกาสชนะ!”
“จริงๆแล้ว…” ผู้ใหญ่บ้านแย้มยิ้ม และใบหน้าเขายู่ย่นเหมือน เปลือกส้มแห้งๆ รอยยิ้มเขาน่าเกลียดแต่เต็มไปด้วยความสุขใจ “มู่เอ๋อนั้นแข็งแกร่งกว่าข้าในสมัยนั้นไปเรียบร้อยแล้ว เขาเพียงแค่ไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง และไม่ได้แข็งแกร่งกว่าแค่นิดเดียวด้วย! เขาน่าจะ ผ่านการทลายด่านสามกําเนิดได้”
สีหน้าผู้สันโดษชิงโยวพลันเย็นเยือกและเขาก็ยิ้มหยัน “พี่ทาง เต๋า ข้าไม่คิดว่าความมั่นใจของเขาไร้เทียมทาน แต่เป็นความ มั่นใจของเจ้าที่มีต่อเขาต่างหากที่ไร้เทียมทาน! ถึงอย่างไร เจ้าก็ไม่ ได้มาจากนครหยกน้อยของพวกเรา ดังนั้นเจ้าย่อมไม่รู้ว่าทลาย ด่านสามกําเนิดนั้นน่าสะพรึงกลัวมากแค่ไหน เขาจะต้องเผชิญกับ เทพเจ้าในวัยเยาว์ที่อยู่ในวรยุทธ์ขั้นเดียวกับเขา!”
“กายาจ้าวแดนดินไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับผู้ฝึกวิชาเทวะในวรยุทธ์ขั้นเดียวกัน!” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวอย่างเคร่งขรึม
ผู้สันโดษชิงโยวโกรธจนแทบโลดเต้น กายาจ้าวแดนดินอีก แล้ว !
“ในประวัติศาสตร์มีเพียงบุคคลเดียวที่ทลายด่านสามกําเนิดสําเร็จ! เขาคืออัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ 500 ปี และถูกลัทธินักบุญสวรรค์คว้าตัวไปเป็นจ้าวลัทธิ มีแต่เขาเท่านั้นที่ผ่านด่านสามกําเนิด”
ผู้สันโดษชิงโยวยิ้มหยันแล้วกล่าวเสริม “แล้วจากนั้นเขาก็ตาย เขาถูกรุมสกรัมจนตายจากสํานักเต๋าและวังทองโหรวหลัน พร้อมๆ กับสํานักฝ่ายเที่ยงธรรมทั้งหมดในโลกหล้า! หลังจากนั้นก็มีอีก หลายคนที่ได้รับการขนานนามว่าอัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์เข้าไปรับการ ทดสอบในโถงแห่งสามกําเนิด ลองทายดูไหมว่าพวกเขาผ่านด่าน หรือไม่ ไม่เลย! พวกเขาถูกอัดจนน่วมเหมือนหมูตายและถูกโยน ออกมาจากโถงแห่งสามกําเนิดโดยไม่มีโอกาสได้เข้าไปในโถงแห่ง ห้าปราณทางด้านหลังต่อ”
ผู้ใหญ่บ้านตะลึงลาน “มีอัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้ประโยชน์แบบ นั้นด้วยรึ”
ผู้สันโดษชิงโยวเคืองใจและเหลือกตาใส่เขา เขากล่าว “เทพ เจ้าตนนี้มิใช่เทพเจ้าจอมปลอมในเหนือฟ้า นี่คือเทพเจ้าที่แท้จริง ไม่เช่นนั้นซวีเซิงฮวาคงไม่มาเยือนพํานักที่นครหยกน้อยของพวก ข้าเสียตั้งนานสองนานหรอก มีพวกที่เรียกกันว่าเทพเจ้ามากมาย ในเหนือฟ้าแต่ล้วนก็ปลอมๆ ทั้งนั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าเทพเจ้าปลอม และเทพเจ้าแท้ต่างกันอย่างไร เทพเจ้าแท้นั้นบรรลุถึงเขตขั้นเทวะ ในทุกๆ แง่มุม ขณะที่เจ้าบรรลุเพียงแค่ด้านกระบี่เทวะ!”
ผู้ใหญ่บ้านเงียบไป จากนั้นเขาก็แย้มยิ้มและกล่าว “มู่เอ๋อไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน ดังนั้นแพ้สักทีก็คงจะดีกับเขาเหมือนกัน หากว่าเขาไม่ชนะ ก็แปลว่าเขายังไม่พากเพียรมากพอในการที่จะรีด เร้นเอาศักยภาพในกายาจ้าวแดนดินออกมา”
ผู้สันโดษเดือดดาลจนเสียสติ มีอาจารย์แบบนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ
“ข้าอยากรู้ที่มาของเทพเจ้าตนนี้จริงๆ” ผู้ใหญ่บ้านตาเป็น ประกาย และถาม “ไม่ทราบว่าสหายเต๋าจะบอกข้าได้หรือไม่ถึงเรื่อง นี้”
….
ในโถงแห่งสามกําเนิด สีหน้าของฉินมู่เคร่งเครียด เทพเจ้าเยาว์ทั้ง 3 นี้หากว่าเอาไปไว้ในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ พวกเขาก็สามารถกลายเป็นสุดยอดแข็งแกร่งแห่งขั้นหกทิศ พวกเขาอาจจะแข็งแกร่งกว่าผู้คนอย่างเต๋าจื่อและโฝจื่อเสียด้วยซํ้า
ที่สําคัญที่สุดคือไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์หรือวิสัยทัศน์ขอบฟ้า เทพเจ้าเยาว์ก็จะเหนือลํ้ากว่าพวกเขา อันเป็นเรื่องน่าสะพรึงกลัวที่สุด
เทพเจ้าเยาว์แต่ละตนนั้นแทนหนึ่งกําเนิด และเมื่อทั้ง 3 ตน หลอมรวมเข้าด้วยกัน กําลังฝีมือของพวกเขาก็จะเกือบเทียบเท่า กับเทพเจ้าเยาว์ตัวจริงที่ขั้นหกทิศ กําลังฝีมือของเขาจะสูงลิ่ว ขึ้นมาแทบจะเป็นเส้นตรง!
มิใช่ว่า 3 เซียนเฒ่าไม่เคยพบเจอผู้คนที่หาญกล้าท้าทาย 3 กําเนิด เพราะถึงอย่างไรอัจฉริยะทั้งหลายก็ย่อมเปี่ยมไปด้วย ความมั่นใจในตนเอง
แต่ความมั่นใจก็คือความมั่นใจ มีไม่กี่คนที่สามารถสําเร็จการ ทลายด่านสามกําเนิดได้
แต่ทว่าในเมื่อฉินมู่เลือกไปแล้ว ผลลัพธ์ของเขาก็แล้วแต่โชควาสนา
เทพเจ้าเยาว์เบื้องหน้าเขามีสีหน้าอันไร้อารมณ์ เหมือนเครื่องจักรอันไร้ความยินดียินร้าย ทันใดนั้นพละกําลังเขาก็พวยพุ่งออกมา และเขาเข้าประชิดตัวฉินมู่ในก้าวเดียว
เร็วไม่แพ้ข้าเลย!
ฉินมู่ตะลึงลานเมื่อเสียงครืนครันของสายฟ้าฟาดดังมาจาก ข้างหูเขา เสียงนี้เพิ่งมาถึงเขาหลังจากที่ร่างของเทพเจ้าเยาว์เข้า มาประชิด เสียงเปรี้ยงปร้างของสายฟ้าถูกทิ้งไว้จากเส้นทางที่เขา พุ่งทะลวงมา!
ตูมมม!
เทพเจ้าเยาว์ซัดหมัดออกไป และเสียงฟ้าคํารามก็ระเบิดออก จากการสั่นสะเทือนของมิติอวกาศ นั่นไม่ใช่พลานุภาพของทักษะ เทวะ แต่เป็นปรากฏการณ์ผิดธรรมดาที่เกิดขึ้นจากการปลดปล่อย พละกําลังของร่างเนื้อล้วนๆ อย่างสุดขีดขั้ว
ทักษะเทวะร่างเนื้อ มิได้ขึ้นกับทักษะเทวะ แต่ขึ้นกับความทรง พลังของกายหยาบ
ฉินมู่ไม่หลบหลีก แต่สวนหมัดของตนเองไปข้างหน้า จังหวะที่ หมัดของทั้งคู่จะปะทะกันกลางอากาศ พวกเขาก็เคลื่อนไหววูบวาบ จนเกิดเป็นเงาลวงตาระหว่างที่พยายามหลบเลี่ยงหมัดของฝ่าย ตรงกันข้า ม
ฉินมู่ม่านตาหรี่แคบ ขาเทวะขโมยสวรรค์ของเฒ่าเป๋ได้พบกับ วิชาตัวเบาที่สูสีกันเป็นครั้งแรก
ในเมื่อเฒ่าเป๋เป็นโจรเทวะอันดับหนึ่งของโลกหล้า ความเร็ว การหลบหนีของเขาย่อมต้องรวดเร็วสุดๆ เร็วขนาดที่ว่าศัตรูและผู้ ไล่ล่าไม่อาจตามเขาทันได้ ดังนั้นเฒ่าเป๋จึงได้ฝึกปรือขาเขาจนถึง สุดขีดขั้ว
หากจะมีใครชี้ว่าส่วนไหนของเขาได้บรรลุขั้นเทวะ นั่นก็คง เป็นขาของเขา
ตั้งแต่เมื่อยังเล็ก ฉินมู่ฝึกปรืออยู่เคียงข้างเฒ่าเป๋ และได้ฝึกขา ของเขาจนสุดขีดขั้วในขั้นหกทิศ เมื่อพูดถึงเรื่องความเร็วล้วนๆ แม้แต่ผานกงสั่วก็ยังด้อยกว่าเขา
กระนั้น ความเร็วของเทพเจ้าเยาว์นี้ก็ยังไม่ช้าไปกว่าเขา! ทันใดนั้น เสียงดังสนั่นก้องมาจากหมัดของพวกเขาปะทะกัน
ในเสี้ยววินาที ฉินมู่ใช้กระบวนท่าที่แปดของฟ้าคํารามแปดจู่โจม พุทธองค์พันกร เพื่อซัดหมัดจํานวนนับไม่ถ้วนใส่ศัตรู หมัดของ เขารวดเร็วว่องไวจนละลานตาไปหมดและไม่อาจมองทันได้ด้วยตา เปล่า!
หมัดของเฒ่าหม่าได้รับการขนานนามว่าหมัดแห่งพุทธเจ้า! เขตขั้นแห่งพุทธเจ้านั้นเป็นเขตขั้นแห่งเทวะ การฝึกปรือของ
เฒ่าหม่านั้นมุ่งเน้นไปที่หมัดของเขาให้มันกร้าวแกร่งและมั่นคง แต่ ทว่าก็ยังมีความพลิกแพลงเปลี่ยนแปรอยู่ในนั้น ดังนั้นถึงเขาจะ เหลือเพียงแขนเดียว มันก็ยังสามารถกลายเป็นพันกรได้!
ต่อให้เขาไม่ใช้พลังวัตร พละกําลังของกายเนื้อของเขาก็ทําให้ กระบวนท่าทรงพลังเสียยิ่งกว่าทักษะเทวะ!
ช่วงเวลาที่ฉินมู่ติดตามเฒ่าหม่าฝึกวิทยายุทธ์นั้นเป็นช่วงที่เขาโดนหนักที่สุด และฟ้าคํารามแปดจู่โจมก็เป็นเพลงหมัดที่เขา ขะมักเขม้นพากเพียรกับมันมากที่สุด กระนั้นเทพเจ้าเยาว์นี้ก็ยังคง
ป้องกันหมัดของเขาได้ ไม่เพียงแค่นั้น ยังสวนกลับมาได้อีก!
ฉินมู่กู่ร้องออกมา และรัศมีเขาก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นดิบเถื่อน และโอหัง เด็กหนุ่มจากแดนโบราณวินาศย่อมรับสืบทอดความดิบ เถื่อนและโอหังจากแดนโบราณวินาศมา ด้วยความดุร้ายและป่า เถื่อน เพลงมีดก็ปรากฏขึ้นมาท่ามกลางเพลงหมัดของฉินมู่ ใช้มือ ต่างมีด ฟาดฟันและเฉือนสับใส่ทุกสิ่งที่ขวางหน้า ผ่าทําลายทุก ความอยุติธรรมที่กั้นทางเอาไว้!
ดาบสวรรค์นั้นเป็นคนบ้าที่กล้ายกมีดท้าทายสวรรค์ เพลงมีด ของเขาเป็นเพลงมีดของคนบ้า ด้วยจิตสังหารอันท่วมท้นและ 2 มีดใน 2 มือ เขาถึงกับกล้าล้างสังหารราชวงศ์ทั้งหมดรวมไปถึง จักรพรรดิ เพื่อชี้มีดไปสู่สวรรค์ เพื่อสังหารเทพยดา!
เงาร่างอันเคลื่อนที่ด้วยความเร็วปานสายฟ้าพุ่งไปมาบนนภา กาศ เสียงเคร้งคร้างดังมาถี่ยิบราวเม็ดฝนถล่มใส่ป่ากล้วย ฉินมู่ปลดปล่อยทักษะของเขาออกมาอย่างดุเดือด ดูราวกับจะย้อนฉาย ภาพตอนที่คนแล่เนื้อเสียสติด่าทอสรวงสวรรค์และฟาดฟันมีดใส่ ทวยเทพ!
ดาบสวรรค์ มีดราวเทพเจ้าของเขาถูกปัดป้องไป ฉินมู่ใจตกวูบ รอยพยุหะหมุนวนในดวงตาของเขา และสวรรค์
สี่ชั้นพลันปรากฏ วิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้า!
ในขั้นหกทิศนี้ พลังวัตรของเขาใช้ได้แค่เนตรสวรรค์ชาด แต่ นั่นก็เพียงพอแล้ว เนตรสวรรค์ชาด เนตรสวรรค์เขียวคราม เนตร สวรรค์เขียว และเนตรสวรรค์ ด้วยอานุภาพของเนตรสวรรค์ทั้ง 4 ซ้อนทับกัน แก้วตาดําของเขาก็ยิ่งดูลึกดํา และแต่ละกระเบียดการ เคลื่อนไหวของศัตรูก็ถูกสายตาของเขาจับเอาไว้ได้ทั้งหมด
เนตรของเฒ่าบอด คือเนตรเทวะ! พวกมันสามารถมองทะลุการปกปิดปลอมแปลง กระบวนท่า
และทักษะเทวะทั้งหมด พวกมันสามารถจับเอาแต่ละกระเบียดการ
เคลื่อนไหวของศัตรูและทํานายกระบวนท่าถัดไป ด้วยการนี้ เนตร เทวะจึงสามารถมองทะลุแง่อัศจรรย์ในทักษะเทวะของศัตรู คลี่คลาย มันและมุ่งมองไปยังจุดอ่อนของคู่ต่อสู้
ในวินาทีนั้น ฉินมู่เห็นดวงตาของอีกฝ่าย อันกําลังใช้วิชาปลุก เนตรอีกแบบที่แตกต่างจากวิชาเนตรสวรรค์เก้า ก็เพราะว่าที่กลาง หน้าผากของเทพเจ้าเยาว์ผู้นี้แหวกออกมาและเผยให้เห็นดวงตาที่ สาม ในดวงตานั้นมีดวงดาราอยู่ 5 ดวง
“ไม่มีทาง…” ฉินมู่เห็นประกายแสงเริ่มจรัสขึ้นมาในเนตรเทวะของอีกฝ่าย
มันเปล่งออกมาเพราะว่าเนตรเทวะนี้กําลังกระตุ้นพลังอํานาจของมัน!
ศัตรูของเขาก็คล่องแคล่วเชี่ยวชาญในเนตรเทวะ แต่เนตรเท วะของเทพเจ้าเยาว์มีทักษะเทวะที่สอดคล้องกันอยู่ด้วย ขณะที่เฒ่า บอดมิได้ถ่ายทอดทักษะเทวะเนตรให้แก่ฉินมู่เลยสักวิชาเดียว!
ปราณชีวิตพลันหลั่งไหลมารวมกันในดวงตาของฉินมู่ และรอยพยุหะของเนตรสวรรค์ได้กลายเป็นวงแหวนสวรรค์ วงแหวนสวรรค์เขียว วงแหวนสวรรค์เขียวคราม และวงแหวนสวรรค์ชาด
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาใช้ดวงตาของตนต่างปืนใหญ่แก่นกําเนิด เมื่อตอนที่เขาอยู่ด่านชิงเหมิน เขาก็ได้ทดลองฤทธิ์เดชของมัน แล้ว !
“เจ้าก็เป็นกายาจ้าวแดนดินเหมือนกันหรือ” ฉินมู่มีดวงตาอัน สาดเพลิงเจิดจ้า “ถ้าอย่างนั้น มาวัดกันดูว่าเนตรเทวะของใครจะ ทรงพลังมากกว่ากัน!”
เนตรเทวะของพวกเขาสาดประกายเจิดจ้า และแสง 5 แสงพลัน ยิงออกมาใส่กันและกัน ความเร็วของลําแสงพวกนั้นยิ่งยวดขนาด ที่ว่าไม่สามารถหลบเลี่ยงได้
ก่อนที่เนตรเทวะของเทพเจ้าเยาว์จะทํางาน ฉินมู่ได้ตัดสิน คุณสมบัติของมันเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ยิงพุ่งมานั้นคือแสง 5 สีอัน แตกต่างจากเนตรกระบี่ของหลงอวี๋ มันเหมือนกับกระบี่เทวะ 5 สี เล่มหนึ่งที่พุ่งเข้ามาใส่เขา
เทพเจ้าเยาว์มีสามตา และลําดับการจัดเรียงแสงสีนั้นแตกต่าง กันไป ลําแสง 5 สี 3 ลําแสงนั้นย่อมมีฤทธิ์เดชที่ไม่ธรรมดา!
ตูมม!
2 เงาร่างร่วงลงจากท้องฟ้า ทั้งคู่ถูกแสงเทวะจากฝ่ายตรงกัน ข้ามโจมตีอย่างจังและหล่นลงสู่พื้น
เมฆรูปดอกเห็ดพวยพุ่งขึ้น 2 ดอก
ฉินมู่กระโดดขึ้นมาและสูดลมหายใจหนาวเหน็บลึกลํ้า เขาได้ ใช้วิชาบ่มเพาะร่างกายและบ่มเพาะปราณในคัมภีร์มารฟ้ามหา ศึกษิต วิชาปริศนา 3 สภาวะ 9 เปลี่ยนแปลง เพื่อมาต้านรับการ โจมตี วิชานี้อันตรายอย่างร้ายกาจและเมื่อฉินมู่ฝึกปรือมัน พลังงานทั้งหมดของเขาถูกสูบเอาไป จนไม่นานเขาก็กลายเป็น แท่งไม้ขีดและเกือบตายไปในครั้งนั้น
การฝึกปรือวิชาปริศนานี้จําต้องมียาวิญญาณที่มากเพียงพอ ในการหล่อเลี้ยงระดับพลังงานในกายของตน ตั้งแต่อุบัติเหตุในครั้ง นั้น เขาก็ได้ใช้วิชานี้อย่างระมัดระวังในการบ่มเพาะกายเนื้อและขัด เกลาปราณชีวิตของตนมาตลอด 2 ปี เขาได้ฝึกปรือถึงขั้นการ เปลี่ยนแปลงที่ 4 และสภาวะที่ 2
สภาวะแรกนั้นคือกระดูกแกร่งไร้ช่องโหว่ และสภาวะที่ 2 คือ ร่างแกร่งดุจเหล็กกล้า
ปราณชีวิตของเขาอยู่ในระดับการเปลี่ยนแปลงที่ 4 การเปลี่ยนแปลงแรกคือปราณประดุจสายรุ้ง การเปลี่ยนแปลงที่ 2 คือปราณประดุจปรอท การเปลี่ยนแปลงที่ 3 คือประดุจมังกรอัคคี และการเปลี่ยนแปลงที่ 4 คือการเปิดเตาหลอมใหญ่
ราวกับว่าเขาได้ซ่อนเตาหลอมยากลมๆ เตามหึมาเอาไว้ใน ร่างกาย ปราณชีวิตของเขาในเตานั้นก็ราวกับเพลิงเผาผลาญที่ ป้องกันร่างกาย และเมื่อมันผสานเข้ากับร่างเนื้อแกร่งดุจเหล็กกล้า เขาก็สามารถป้องกันการโจมตีนี้ไว้ได้
“ข้ามีคัมภีร์ม์ารฟ้ามหาศึกษิตจากบรรพบุรุษ!”
ฉินมู่กระโจนขึ้นมาจากหลุม การเคลื่อนไหวของเขาว่องไว ด้วยไม่กี่ย่างก้าว เขาก็ปีนขึ้นไปบนภูเขาและมองไปยังจุดที่เทพเจ้า เยาว์ถูกซัดตกลงไป เขากล่าวด้วยเสียงตํ่า “ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะ รับ มือเนตรเทวะข้า ได้! ”
ทันใดนั้น ม่านตาของเขาก็หรี่แคบ เมื่อเขาเห็นเงาร่างเดิน ออกมาจากฝุ่นควันที่โขมงคลุ้มอยู่ในหลุม เงาร่างนั้นค่อยมอง เห็นชัดขึ้นทุกที
“ยังไม่ตายอีก?” ฉินมู่เปล่งเสียงลอดไรฟันและขับเคลื่อนกระบี่ ไร้กังวล แต่แล้วก็พบว่าเขาไม่อาจใช้มันที่นี่ได้ ปราณชีวิตของเขา จึงแผ่พุ่งออกไประหว่างที่เขาตะลุยเข้าใส่เทพเจ้าเยาว์ “หากว่าใช้ อาวุธวิญญาณของข้าไม่ได้ ข้าก็จะหลอมสร้างอันใหม่ขึ้นมา!”
นอกโถงแห่งสามกําเนิด ผู้สันโดษชิงโยวเผยยิ้มและกล่าว อย่างไม่อนาทรร้อนใจ “เทพเจ้าตนนี้มีนามว่าฉงหมิง และมาคิดๆ ดู แล้ว นี่ก็เป็นเรื่องบังเอิญ เขานั้นมาจากหมู่บ้านไร้กังวลเช่นกัน ลองเดาดูสิว่าเขามีแซ่อะไร”
