Skip to content

Tales of Herding Gods 378


ตอนที่ 378 ผดุงความยุติธรรมแทนสวรรค์

ฝนโลหิตนั้นไม่หนาหนัก และพื้นที่ที่มันหยาดหยดลงมาก็มิได้ กว้างใหญ่ มันร่วงลงมาเพียงแค่ตีนเขาที่พวกเขายืนอยู่เท่านั้น

ฉินมู่เห็นต้นไม้และดอกไม้จํานวนมากงอกขึ้นมาด้วยความเร็ว อันน่าแตกตื่น ลําต้นสูงลิ่วเขียวขจี และปราณวิญญาณในบริเวณ รอบๆ นั้นหนาแน่นจนแทบจะกลายเป็นสสารให้จับต้องได้ ลอยไป มาท่ามกลางพฤกษชาติราวกับแถบแพร

ท่ามกลางมวลบุปผชาติ มันมีหมอกขาวราวนํ้านมที่ขับให้ดง ดอกไม้แจ่มชัดอ่อนหวานเป็นพิเศษ

หลังจากฝนที่โปรยปรายอย่างยาวนาน ทั้งทะเลสาบ ร่องคู และ แม่นํ้าล้วนแต่เต็มปริ่ม มัจฉามากมายขยายขนาดอย่างบ้าคลั่ง กลายมาเป็นสัตว์ประหลาดปลาเหมือนกับที่ในแดนโบราณวินาศ บางพวกก็มีขางอกเงยมาและกระโดดขึ้นบนฝั่ง เมื่อพวกมันอ้าปาก รับหยาดฝน ฟันคมกริบราวมีดโกนของพวกมันก็เผยแพลม ออกมา

สัตว์มงคลทั้งหลายในภูเขาก็ร่างกายขยายใหญ่ขึ้น มีหนามกระดูกโผล่ออกมามากมาย ทําให้พวกมันดูน่ากลัว

นางเงือกในทะเลสาบก็กลายเป็นมหึมาอย่างผิดปกติ ใบหน้า อันงดงามของพวกนางกลายเป็นพิลึกประหลาด

พลังงานในโลหิตเทพนั้นมากมายเกินไป และแปรเปลี่ยนให้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดกลายเป็นสัตว์ประหลาดพิลึกกึกกือ พวกมันเติบโตอย่างควบคุมไม่ได้ และสถานที่อันถูกฝนโลหิตแตะต้องเป็น ที่แรกก็ยิ่งเติบโตงอกงามอย่างน่ากลัวกว่าที่อื่น!

ผืนแผ่นดินและแมลงก็เป็นสิ่งมีชีวิต ดังนั้นเมื่อมันถูกอาบโชก ไปด้วยฝนเลือด เนินเขาก็กลายเป็นสถานที่อันเหมือนกับแดน โบราณวินาศ

ในสายตาของฉินมู่ มันมีปราณอันเข้มข้นของหยินและหยาง  4 สัญลักษณ์ 5 เปลี่ยนผ่าน อันได้เปลี่ยนสมดุลในร่างกายของ สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ทําให้เกิดการเปลี่ยนรูปแปลงลักษณ์อันพิลึก กึกกือ แต่ว่ามันก็แตกต่างจากที่บ้านของเขา

สัตว์พิสดารส่วนใหญ่ในแดนโบราณวินาศมีสายเลือดของเทพ และมาร อันเป็นสิ่งที่สืบทอดกันมา แต่สัตว์พิสดารที่เนินเขาแห่งนี้ ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปจากพลังงานอันแข็งแกร่งในโลหิตเทวะ

“เทพตนไหนนะที่ตาย ใช่เทพครองแดนเลี้ยงมังกรหรือเปล่า” มู่ชิงไต้ถามด้วยเสียงแผ่ว

ข้างนอกโถงใหญ่ ทั้งภูเขาถูกอาบไล้ด้วยแสงมงคลหลากสี และหมอกขาว ประดับประดาสถานที่แห่งนี้ราวกับเป็นแดน ศักดิ์สิทธิ์ แต่ทว่า หากพวกเขาเดินเข้าไปในฝนโลหิต พวกเขาก็ คงจะร่างกายเปลี่ยนแปลงไปเหมือนกับสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในภูเขา

หากพวกเขาไม่ออกไปตากฝนจนโชกชุ่มตรงๆ พวกเขาก็ สามารถฝึกบําเพ็ญอยู่ใต้หลังคาเพื่อดูดซับเอาพลังงานเทวะอันแข็งแกร่งข้างนอก และนั่นสําหรับผู้ฝึกวิชาเทวะแล้ว ย่อมนับว่าเป็น แดนศักดิ์สิทธิ์สําหรับการฝึกวิทยายุทธ์!

ถ้านับจากความเข้มข้นของพลังงานวิญญาณและพลังงานเท วะแล้ว แดนศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 2 แห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ด้อยกว่าที่นี่ มาก เพราะไม่ว่าอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นลัทธิมารฟ้า สํานักเต๋า หรือ วัดใหญ่ฟ้าคําราม ก็ไม่มีที่ไหนที่สามารถสังหารเทพเพื่อมาหล่อ เลี้ยงพลังงานในแดนศักดิ์สิทธิ์ของตนได้

ท่านยายปลีกตัวมาอยู่ในแดนรกร้างนี้เพื่อกักลี่เทียนซิ่ง เอาไว้ ต่ท่านยายคงไม่คาดคิดว่าสถานที่ห่งนี้จะกลายเป็นแดน ศักดิ์สิทธิ์สำรับการฝึกปรือสินะเนี่ย

ฉินมู่มีสีหน้าแปลกประหลาด เขาใช้กระบี่ไร้กังวลยื่นออกไป รองรับโลหิตเทพเจ้ามาหยดหนึ่งอย่างระมัดระวัง และพิจารณามันดู ก่อนที่จะส่ายหัวไปมา “นี่ไม่ใช่โลหิตของเทพครองแดนเลี้ยงมังกร โลหิตของเขานั้นเป็นโลหิตมังกร แต่พลังงานเทวะในโลหิตนี้มิใช่

แบบนั้น…” สีหน้าเขายิ่งแปลกพิกลเมื่อเขากล่าวต่อ “ข้าเคยเห็น โลหิตเช่นนี้มาก่อน”

ฉินมู่เทกระบี่ลง และหยดเลือดหยดนี้ก็กลิ้งไปยังปลายแหลม ของกระบี่

เขาใช้ข้อมือยกกระบี่ขึ้นลง หยดของเหลวนั้นไหลไปมาอย่าง ต่อเนื่องบนกระบี่ไม่ร่วงหลุดไป

ฉินมู่พยักหน้าและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าเคยเห็นโลหิตเทพ เจ้านี้มาก่อน เมื่อ 1 ปีที่แล้วตอนที่ภัยพิบัติหิมะหยุดลงอย่างฉับพลัน ราชครูสันตินิรันดร์เป็นผู้ไปพบเจอเทพเจ้าผู้ส่งภัยพิบัติ เขาต่อสู้อย่างดุเดือดกับเทพเจ้าตนนั้น และได้รับบาดเจ็บสาหัสใน ที่สุด แต่ทว่าเทพเจ้าตนนั้นก็บาดเจ็บและหลั่งเลือดลงมาเช่นกัน เมื่อข้าไปเยียวยาอาการบาดเจ็บให้ราชครู ข้าได้เห็นโลหิตของ

เทพเจ้านั้น และพลังงานในโลหิตก็คล้ายคลึงกับที่นี่เป็นอย่างมาก”

ในครั้งโน้น ฉินมู่ได้ใช้ไจกระบี่ที่เฒ่าใบ้มอบให้เขาเพื่อใช้เป็น สะพานเชื่อมต่อระหว่างเศษซากทักษะเทวะของเทพนั้นกับโลหิต ของเทพตนเดียวกัน กระตุ้นพลังงานของพวกมันเพื่อให้หักล้าง ขจัดกันไปเองและบรรเทาอาการบาดเจ็บ นั่นแหละเขาถึงสามารถ เยียวยาราชครูสันตินิรันดร์ได้

แต่ทว่าการหักล้างของพลังงานได้กลืนกินไจกระบี่ของเขาไป มาก และไจกระบี่นั้นเฒ่าใบ้มอบให้เขาเพื่อใช้จัดการกั บ ผู้ใหญ่บ้านและใช้ในการตรึกตรองทําความเข้าใจวิชาหลอมสร้างตี เหล็กชั้นสูงยิ่งขึ้นไป ดังนั้นฉินมู่จึงย้อนนึกเสียใจกับความเสียหาย ที่เกิดขึ้นอยู่นาน

ฉินมู่จดจําคืนวันเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี นั่นก็เพราะว่าในเวลา นั้นจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงถูกล้อมสังหารโดยเจ้าสํานักเต๋าเฒ่าและยูไล เฒ่าจนเกือบตาย และเป็นฉินมู่ที่ช่วยชีวิตเขา

ในตอนนั้น ราชครูสันตินิรันดร์และจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกลาย เป็นคนทุพพลภาพและตกในสภาวะอันยํ่าแย่ทั้งคู่ ราชครูสันตินิ รันดร์ได้พาฮูหยินของเขามาปลีกตัวเร้นกายในหุบเขาไร้ชื่อขณะที่ ภรรยาของเขานั้นกําลังตั้งครรภ์

“เทพเจ้าที่ถูกปืนใหญ่เทวะยิงตะวันสังหารนั้น คือเทพเจ้าที่มา ส่งภัยพิบัติหิมะ!” สายตาของฉินมู่วูบไหว เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างเมื่อ เขากล่าวอย่างแผ่วเบา “นี่คือกรรมสนอง เขาสมควรตาย ใน ระหว่างภัยพิบัติหิมะ ประชากรของของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ลดลง

ไป 2 ถึง 3 ส่วน จํานวนผู้คนที่ตกตายมากเสียยิ่งกว่าสงคราม ครั้งไหนๆ”

ทั้ง 3 จากนครหยกน้อยไม่กล่าววาจา เมื่อภัยพิบัติหิมะปะทุขึ้นมา ราชครูสันตินิรันดร์ได้ไปยังนคร

หยกน้อย ผู้สันโดษชิงโยวพยายามหยุดยั้งเขาเอาไว้ หมายที่จะรั้ง

ตัวเขาในนครหยกน้อยเพื่อยับยั้งการปฏิรูป เซียนทั้งหลายแห่งนคร หยกน้อยคิดว่าเป็นเพราะการปฏิรูปของราชครูและจักรพรรดิเอี้ยน เฝิงที่เป็นรากเหง้าของภัยพิบัติหิมะ ดังนั้นการปฏิรูปจะต้องถูก ยับยั้งเพื่อให้ภัยพิบัติสิ้นสุดลง

หวางมู่หรันและพวกก็ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากอารมณ์เสียอยู่หลายวัน ราชครูสันตินิรันดร์ก็ยังคง

ออกไปจากนครหยกน้อย และไม่นานนัก ภัยพิบัติหิมะก็สิ้นสุด แต่ ทว่าผู้สันโดษชิงโยวหน้านิ่วคิ้วขมวดกับเรื่องนี้และบอกกับพวกเขา ว่าจักรวรรดิสันตินิรันดร์ยังคงมีเจตจํานงแรงกล้าที่จะเดินหน้าการ ปฏิรูปต่อ

ในตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นราชครูสันตินิรันดร์หรือเหล่าผู้อมตะ แห่งนครหยกน้อย ไม่มีใครเลยที่จะคาดคิดว่าเหตุการณ์จะดําเนิน มาถึงขั้นนี้ ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าจะมีเทพร่วงหล่นตกตาย และเป็น เทพตนที่มาส่งภัยพิบัติเสียด้วย

ยากที่จะบอกได้ว่าความตายของเทพตนนี้จะนําอะไรมาสู่ จักรวรรดิสันตินิรันดร์ ไม่มีใครคาดเดาหรือทํานายได้

ฉินมู่ใช้นํ้าสะอาดล้างห่วงหยกจักรพรรดิหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็ยังคงไม่กล้าสัมผัสมัน เขาผสมสมุนไพรจํานวนหนึ่งและให้ ห่วงหยกแช่อยู่ในนํ้าสมุนไพรเหล่านั้น แล้วถึงหยิบมันขึ้นมาใน

ที่สุด จากนั้นเขาก็แขวนห้อยมันไว้ที่คอ

ข้างนอก ฝนโลหิตค่อยๆ ซาลง และเมฆดําบนท้องฟ้าก็กระจัด กระจายไป ท้องฟ้าสว่างสดใสอีกครั้ง ฉินมู่และพรรคพวกเดิน ออกมาจากโถงใหญ่โตและเหินขึ้นไปบนอากาศเพื่อหลีกเลี่ยง โลหิตเจิ่งนองบนพื้น

ท้องฟ้าใสกระจ่าง ไม่มีเมฆหมอกในระยะหมื่นลี้ การต่อสู้บน นภากาศเหนือจักรวรรดิสันตินิรันดร์ เหมือนกับความฝันที่ไม่เคย เกิดขึ้น

แสงตะวันสาดส่องมาจากทิศตะวันตก และฟ้าสีไพลินก็ดู กระจ่างกว่าที่เคยราวกับถูกชําระล้างจนสะอาดพิสุทธิ์ อากาศก็ดู สดชื่นขึ้นมากกว่าที่เคยเช่นกัน

พวกเขายืนอยู่บนอากาศและมองดูไปรอบๆ ทันใดนั้น ฉินมู่มองไปทางทิศเหนือและเห็นวัตถุใหญ่มหึมาลอยมา

มันคือปืนใหญ่เทวะยิงตะวัน และมันถึงกับลอยลิ่วตรงมาทาง พวกเขาบนท้องฟ้า!

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงและราชครูสันตินิรันดร์ยืนอยู่บนแท่นปืน ใหญ่ เสื้อผ้าของพวกเขาสะบัดพลิ้วไปตามลม ข้างๆ พวกเขายังมีขุนนางเจ้าหน้าที่อยู่ด้วยมากมายเช่นกัน ฉินมู่ได้สอนจักรพรรดิ เอี้ยนเฝิงถึงวิธีการควบคุมปืนใหญ่เทวะยิงตะวัน ดังนั้นจักรพรรดิ น่าจะเป็นคนยิงปืนใหญ่เมื่อครู่

บนแท่นปืน เปลวไฟของเตาหลอมพลังงานแลบเลียออกมา เป็นเพลิงสีขาว ขณะที่เนตรเทวะตรงใจกลางนั้นกําลังหมุนไปรอบๆ อย่างเนิ่นช้าและแผ่พลานุภาพอันน่าสะพรึงกลัวออกมา

ใบหน้าของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเบ่งบานไปด้วยความสุขสันต์ และเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น

“ปืนใหญ่เทวะที่ท่านหลอมสร้างขึ้นมาได้ยิงเทพเจ้าจนตกตาย” หลงอวี๋ถอนหายใจ “ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว แม้แต่ปุถุชนก็สามารถสังหารเทพเจ้าผู้สูงส่งเหนือผู้คน กษัตริย์มนุษย์ นี่เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกัน?”

“ข้าก็ไม่รู้ ข้ารู้แต่ว่า ต่อจากนี้ไป เทพเจ้าไม่สามารถทําอะไร ได้ต ามอําเภอใจได้อี กแล้ว !”

จิตของฉินมู่สั่นสะท้าน ปืนใหญ่เทวะยิงตะวันที่เขาหลอมสร้าง ขึ้นมา ได้ยิงสังหารเทพเจ้าผู้สูงส่ง นั่นนับว่าเป็นเกียรติยศขั้น สูงสุด!

หลงอวี๋มองไปที่เขาและพลันถอนหายใจอย่างเปี่ยมไปด้วยนัย “กษัตริย์มนุษย์ มีบันทึกมากมายในนครหยกน้อยของข้า หากว่า ท่านมีเวลา ข้าคิดว่าท่านควรจะลองอ่านเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของยุคสมัยก่อนๆ หน้า”

ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อย เขาเหาะขึ้นไปบนแท่นปืนใหญ่และแย้ม ยิ้ม “ข้ายังคงต้องกลับไปที่เมืองหลวง และร่วมศึกษาค้นคว้ากับ น้องสาวอวี้จิวถึงวิธีการฝึกปรือบ่มเพาะจิตวิญญาณดั้งเดิมในขั้น หกทิศ เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปให้ก้าวไปข้างหน้า เมื่อมีเวลา ข้า จะไปที่นครหยกน้อย เซียนเฒ่าทั้งหลายรับปากว่าจะให้โอกาสข้า เข้าทดสอบในโถงแห่ง 5 ปราณ”

หลงอวี๋ถอนหายใจและไม่กล่าวอะไรอีก หวางมู่หรันนั้นลุ่มหลงกับการฝึกปรือ ส่วนมู่ชิงไต้อยู่นิ่งไม่ได้

ท่ามกลางบรรดาศิษย์แห่งนครหยกน้อย หลงอวี๋นั้นเป็นเพียงคน

เดียวที่เยือกเย็นพอที่จะอ่านตําราและบันทึกมากมายที่แดนศักดิ์สิทธิ์มีไว้ในครอบครอง

ปืนใหญ่เทวะยิงตะวันสังหารเทพเจ้านั้นนับว่าน่าแตกตื่น แต่ผลพวงที่มันจะนํามานั้นทําให้เขากังวล

หวางมู่หรันและมู่ชิงไต้ก็ไปยังแท่นปืนใหญ่ด้วยเช่นกัน ดังนั้น หลงอวี๋จึงได้แต่ตามพวกเขาไปด้วย

“ฝ่าบาท ราชครู!”

ฉินมู่และพวกพ้องขึ้นไปเหยียบบนแท่นปืนใหญ่และทักทาย ผู้คนที่นั่น จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงแทบจะควบคุมความตื่นเต้นของเขา ไม่ได้พลางโบกไม้โบกมือไปมา เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องมาก พิธี ขุนนางฉินที่รัก! ปืนใหญ่นี้…”

ฉินมู่แย้มยิ้มและกล่าว “ฝ่าบาทรู้สึกมีชีวิตชีวาหรือไม่”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกระตือรือร้นและหัวเราะด้วยเสียงอันดัง “ยอดเยี่ยม! ปืนใหญ่นี้ที่ข้าใช้เพิ่งสังหารเทพเจ้าที่ส่งภัยพิบัติมา นี่คือการผดุงความยุติธรรมแทนสวรรค์! น่าเสียดายที่เทพเจ้าตนอื่นๆ วิ่งหนีเร็วเกินไป ไม่อย่างนั้น ข้าคงจะแบ่งปันให้ราชครูได้สดชื่นบ้าง และเผื่อแผ่ความมันไปถึงขุนนางฉิน!”

อาลักษณ์ข้างหลังเขากระแอมไอและกล่าวด้วยเสียงเบา “ฝ่า บาท โปรดระวังคําพูด…”

จักรพรรดิโบกมือไปมาและแย้มยิ้ม “เจ้าก็อย่าไปบันทึกมันสิ แค่นี้ก็เรียบร้อย ข้าคันในหัวใจมานานแล้วอยากจะยิงปืนใหญ่แม่ มันสักที แต่ข้าจะทําอะไรได้ในเมื่อมันจะต้องเผาผลาญหินยา มากมายขนาดนั้น หากว่าข้าไม่ได้ทราบข่าวว่าขุนนางฉินตกอยู่ ในอันตราย ถูกเทพเจ้าหน้าตาประหลาดลักพาตัวไป และยังมีเทพ เจ้าต่อสู้กันที่นี่ ข้าคงไม่มีโอกาสได้ใช้ปืนใหญ่มหึมานี้!”

“จริงสิ ขุนนางฉินที่รัก มานี่และมาพบผู้เสียหายหน่อย เจ้าสํานักแห่งสํานักกระบี่มหาเศวต เขามาเพื่อถวายฎีกา กล่าวว่าเจ้า ได้นําตัวตนหน้าตาประหลาดและฝูงมังกรไร้เขาไปบุกชิงสํานักกระบี่มหาเศวตของเขา”

ฉินมู่มองไปยังข้างหลังจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงและเห็นผู้เฒ่าผม ขาวก้าวออกมาด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าสํานักท่านนี้กล่าวว่าเจ้าและชายประหลาดคนนั้นได้ไปชิง สมบัติลํ้าค่าของสํานักกระบี่มหาเศวตของเขา” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิง แย้มยิ้มและกล่าว “ข้าคิดว่ามีอะไรผิดปกติ จึงเชิญราชครูมา เขากล่าวว่าลัทธินักบุญสวรรค์ของเจ้าไม่มีมังกรไร้เขามากมายขนาด นั้น ดังนั้นเจ้าน่าจะตกอยู่ในอันตราย”

ฉินมู่กล่าวขอบคุณราชครู

ราชครูสันตินิรันดร์ส่ายหัว “ไม่มีความจําเป็นต้องขอบคุณข้า ขอบคุณเจ้าสํานักมหาเศวตดีกว่า หากว่าเขาไม่ได้มาถวายฏีกาที่ เมืองหลวง คงไม่มีใครรู้ว่าเจ้าตกอยู่ในอันตราย”

เจ้าสํานักมหาเศวตกล่าวทันที “ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ข้าคิดว่าจ้าว ลัทธิฉินหมายจะบุกสํานักกระบี่มหาเศวตของพวกข้าและฮุบเอา สมบัติวิเศษ ดังนั้นข้าจึงรีบรุดไปยังเมืองหลวง ไม่คาดคิดเลยว่าจะ กลายเป็นการทําความดีความชอบ จ้าวลัทธิฉิน ในขุนเขามหา เศวตมีสมบัติวิเศษอยู่ไหม หากจ้าวลัทธิฉินได้สมบัตินั้นมา จะคืน ให้กับสํานักกระบี่มหาเศวตของพวกข้าได้หรือไม่”

“นี่…”

ฉินมู่เผยสีหน้าลําบากใจ ไม่รู้ว่าควรจะบอกความจริงแก่เจ้า สํานักมหาเศวตหรือไม่

ทันใดนั้น ทหารนายหนึ่งก็เหาะมาและกล่าวรายงาน “ฝ่าบาท ค้นพบศพของเทพเจ้าแล้ว!”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงจิตวิญญาณฟ่องฟูขึ้นมา เขาโบกมือแล้วกล่าว “นํามันมา!”

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version