Skip to content

Tales of Herding Gods 45


45. วังมังกรแม่น้ำหย่ง

ฉินมู่ก้าวไปข้างหน้าและเห็นจิ้งจอกขาวถือปล้องไม้ไผ่ เป่าลมจนแก้มพอง ให้ลมผ่านท่อไม้ไผ่เข้าไปเร่งไฟในเตา

ฉินมู่กระแอมไออย่างนุ่มนวลแล้วกล่าว “มีใครอยู่บ้านไหม”

จิ้งจอกขาวในกระท่อมหญ้ากระโดดโหยงด้วยความตกใจ นางรีบซ่อนปล้องไม้ไผ่ไว้ข้างหลัง แล้วทำเสียงแก่ “ใครมาเอะอะโวยวายข้างนอก รบกวนความสงบของข้า ข้าปีศาจดึกดำบรรพ์มากฤทธิ์จะป่นเจ้าให้เป็นฝุ่นธุลี…”

ฉินมู่ระเบิดหัวเราะ และเมื่อจิ้งจอกขาวโผล่หัวชะโงกดูจากหน้าต่างและเห็นเด็กชาย มันก็ระบายลมหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นเสียงของมันก็กลับเป็นไพเราะรื่นหูเหมือนเดิม “ที่แท้ก็คือเด็กคนที่ยืมลมข้าในวันนั้นน่ะเอง วันนั้นข้าเมานิดๆ เพราะดื่มมาจากงานเลี้ยง จึงไม่ค่อยสุภาพกับเจ้าต้องขออภัยด้วย เจ้าอย่ามัวแต่ยืนข้างนอกสิ เข้ามาเร็วเข้า”

ฉินมู่เดินเข้าไปในกระท่อมหญ้า และหันมองไปรอบๆ เขาประหลาดใจที่เห็นว่ากระท่อมนี้ถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีแม้กระทั่งเตียง ถังข้าว เครื่องเรือน ม่าน และแม้แต่โต๊ะเครื่องแป้ง

จิ้งจอกขาวยืนสองขาเหมือนมนุษย์แล้วพูดจาประสาผู้ดีกับฉินมู่ “บ้านอันต่ำต้อยของข้าค่อนข้างซ่อมซ่อ คงทำให้คุณชายหัวร่อแล้ว”

ฉินมู่คารวะตอบแล้วเอ่ยปากถาม “เจ้ากำลังทำอาหารอยู่หรือ”

จิ้งจอกขาวตอบ “เมื่อวานนี้พวกพี่สาวของข้ารินสุราให้ข้ามากมาย ข้าเลยดื่มมากไปหน่อย เช้านี้ข้าปวดศีรษะ เลยลุกขึ้นมาต้มซุปแก้เมาค้าง คุณชายเชิญนั่งก่อน”

ฉินมู่อัศจรรย์ใจ จิ้งจอกขาวนี้ชาญฉลาดกว่าลิงยักษ์อสูรหลายเท่า รู้แม้กระทั่งการทำซุปแก้เมาค้างตนเอง ดูท่าจิ้งจอกนี้คงเป็นนักดื่มตัวยง ดื่มจนเมาทุกวี่วัน

เขามองไปรอบๆ ก็เห็นชั้นวางหนังสือ จึงสาวเท้าเดินเข้าไปดู บนหนังสือเล่มหนึ่งเขียนวิธีการโคจรลมหายใจเข้าออก และยังมีวิชาวรยุทธอื่นๆ แต่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นัก

“คุณชายอ่านหนังสือออกใช่ไหม”

จิ้งจอกที่ยืนคนซุปแก้เมาค้างเห็นฉินมู่ยืนอ่านหนังสือ ก็พูดอย่างดีใจ “ข้าไม่รู้จักตัวหนังสือ ได้แต่ดูภาพเดาความเอา แล้วฝึกตามภาพ หากว่าคุณชายรู้หนังสือที่เขียนไว้บนนั้น ไม่ทราบว่าจะช่วยอ่านให้ข้าฟังได้หรือไม่”

“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

ฉินมู่นั่งลง จิ้งจอกขาวส่ายหางทีหนึ่ง ก็มีลมหอบเอาถ้วยซุปลอยมาวางบนโต๊ะ จิ้งจอกขาวตามนั่งตรงหน้าเขา สองตามันสดใสและเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น

ฉินมู่พลิกหน้าแรกและเริ่มอ่าน “โคจรปราณของเจ้าเข้าไปในภูเขาจัตุรัสหนึ่งนิ้ว กระตุ้นแกนปราณชีพของเจ้า ย้ายพยัคฆ์เข้าไปในก้นบึ้งหัวใจ สั่นไหวทะเลเหมันต์ของปราณ…”

จิ้งจอกขาวจิบซุปไปฟังไปอย่างตั้งอกตั้งใจ มันถามขึ้นทันที “ภูเขาจัตุรัสหนึ่งนิ้วอยู่ที่ไหน”

“ภูเขาจัตุรัสหนึ่งนิ้วอยู่ที่ใจกลางระหว่างคิ้วของเจ้า” ฉินมู่อธิบาย “และใจกลางระหว่างคิ้วของเจ้าที่ที่ซึ่งสมบัติเทวะทารกวิญญาณของเจ้าผนึกอยู่ การโคจรปราณไปยังภูเขาจัตุรัสหนึ่งนิ้วนั้นหมายถึงการโคจรปราณไปยังจุดกึ่งกลางระหว่างคิ้ว แต่เมื่อปราณของเจ้าแล่นไปถึงจุดนั้นมันจะมีเสียงเทพยดาจากสวรรค์เก้า ก้องลงมาสกัดกั้นปราณชีวิตของเจ้า”

จิ้งจอกขาวทดลองโคจรปราณตามที่เขาบอก แล้วส่ายหน้า “ข้าไม่ได้ยินเสียงเทพที่ไหนเลย”

ฉินมู่ขมวดคิ้ว ในตอนโน้นทุกครั้งที่เขาโคจรปราณเข้าไปที่จุดกึ่งกลางระหว่างคิ้ว จะมีเสียงเทพล่องลอยมาสกัดกั้นปราณเขาตลอด เขาเลยคิดว่าจิ้งจอกขาวน่าจะเจอสถานการณ์เดียวกัน แต่ไม่นึกว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น

หรือว่าโครงสร้างรูปแบบของสมบัติเทวะทารกวิญญาณของมนุษย์กับจิ้งจอกนั้นแตกต่างกัน

เขาเลิกคิดไปก่อน แล้วอ่านพร้อมอธิบายหนังสือโบราณนั้นให้จิ้งจอกขาวฟัง ไม่นานนัก เขาก็อ่านจนจบเล่ม ในหนังสือโบราณเล่มนี้บันทึกวิธีการฝึกพลังวัตรที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ทว่ามันเข้ากับกายาจ้าวแดนดินของฉินมู่ไม่ได้ เขาจึงไม่อาจใช้มัน

จิ้งจอกขาวมีสติปัญญาเฉียบแหลม เข้าใจเนื้อหาในหนังสือนั้น มันยิ้มแล้วกล่าวว่า “ก่อนนี้ข้าฝึกปรือโดยดูแต่จากรูปถ่ายเดียว ไม่คิดเลยว่าวิธีการฝึกปรือของข้าจะมีข้อผิดพลาดยุบยับขนาดนี้ ขอบคุณคุณชายที่ช่วยชี้ทางกระจ่างให้ ข้ามีนามว่าฮู่หลิงเอ๋อ ขอเรียนถามนามของท่าน?”

“ข้าชื่อว่าฉินมู่ มู่ที่แปลว่าเด็กเลี้ยงวัว และแซ่ฉิน และข้าไม่ใช่คุณชายที่ไหน” ฉินมู่เผยรอยยิ้ม “ข้าอาศัยอยู่ใกล้ๆ ไม่ไกลจากที่นี่ แล้วเจ้าได้หนังสือโบราณพวกนี้มาจากไหน”

ฮู่หลิงเอ๋อดื่มซุปจนรู้สึกหายปวดหัว “ทิศตะวันตกห่างจากที่นี่ไปหกสิบลี้ มีซากโบราณสถานอยู่ ครั้งหนึ่งข้าเคยกลับบ้านไม่ทันเลยต้องหลบจากความมืดในซากโบราณแห่งนั้น ตอนที่ข้าอยู่ที่นั่น ข้าเปิดห้องหินลับได้โดยบังเอิญและพบหนังสือจำนวนหนึ่งที่นั่น และยังมียาวิเศษหนึ่งขวด เมื่อข้าดื่มมันเข้าไป ข้าก็มีสติปัญญาตระหนักรู้ตัวตนทันที ข้ารู้สึกว่าหนังสือนั่นน่าจะเป็นของดีเลยเอามันกลับมาด้วย แต่เพราะว่าข้าอ่านหนังสือไม่ออก ข้าเลยได้แต่ดูรูปภาพ แล้วเรียนคาถาอาคมจากในหนังสือนั้น”

“หกสิบลี้ทางทิศตะวันตก?”

ฉินมู่อุทาน และครุ่นคิด “หรือว่านั่นจะเป็นวังมังกรของราชามังกรแม่น้ำหย่ง”

ฮู่หลิงเอ๋อตาเป็นประกายแล้วกล่าว “ที่นั่นมีรูปสลักมังกรเยอะแยะจริงๆ ด้วย แต่ว่าในนั้นเต็มไปด้วยอันตราย มีสิ่งร้ายน่ากลัวอยู่ข้างใน ข้าไม่กล้าเข้าไปลึก ทำได้แค่หอบหนังสือสองสามเล่มกลับมา”

ฉินมู่ถามทันที “เจ้าพาข้าไปที่นั่นได้ไหม”

จิ้งจอกขาวตอบ “มันร้ายกาจน่ากลัวมากนะที่นั่นน่ะ เจ้าเดินสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้หรอก เมื่อข้าไปถึงประตู ข้าก็กลัว…”

นางพลันกระดากปากที่จะพูดต่อ ดูท่าจะหมายถึง กลัวจนเยี่ยวราด

ฉินมู่ตื่นเต้นขึ้นมา “เจ้าไม่อยากลองเข้าไปส่องข้างในวังมังกรหรอกหรือ ข้างในอาจจะได้เจอราชามังกรนะ!”

“ไม่เอาล่ะ”

ฮู่หลิงเอ๋อขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกะพริบตาอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม “หากว่าคุณชายมาที่นี่บ่อยๆ เพื่ออ่านหนังสือโบราณพวกนี้ให้ข้าฟัง ข้าสามารถพาท่านไปที่นั่น แต่ข้าคงไม่เข้าไปข้างในด้วย”

“ตกลง!”

ฉินมู่เผยอยิ้มแล้วยกมือขึ้นตั้งท่ารอ ฮู่หลิงเอ่อลังเลเล็กน้อยก่อนจะยกอุ้งเท้าขนปุยของนางมาตบกับมือของเขาเป็นสัญญา หลังจากนั้น นางก็ดื่มซุปจนหมด

หนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอก ออกจากกระท่อมหญ้าฟางแล้วมุ่งหน้าไปทิศตะวันตก

“งานเลี้ยงที่เจ้าไปร่วมเมื่อวันก่อน ใครเป็นคนจัดน่ะ” ฉินมู่นึกได้ เอ่ยปากถาม

“มันเป็นงานเลี้ยงที่จัดโดยจอมราชาปีศาจ โดยเชิญปีศาจชั้นสูงจากทั่วสารทิศไปร่วมงาน หลังจากที่ข้าได้หนังสือโบราณจากวังมังกรแม่น้ำหย่ง ความรู้ปัญญาของข้าก็ก้าวหน้าจนถูกนับว่าเป็นปีศาจชั้นสูงในพื้นที่นี้ แต่ถึงอย่างไร ข้าก็เอาชนะปีศาจตนอื่นๆ ด้วยกำลังไม่ได้ ดังนั้นข้านับว่าเป็นชนชั้นปลายแถวในหมู่ปีศาจชั้นสูง”

ฮู่หลิงเอ๋อกระโดดขึ้นไปบนใบกล้วยของนาง แล้วร่ายคาถาเพื่อสร้างลมปีศาจ ลมปีศาจช่วยยกให้ใบกล้วยลอยขึ้นจากพื้น และนางแย้มยิ้มกล่าว “จอมราชาปีศาจฝึกปรือถึงขั้นที่แปลงเป็นร่างมนุษย์ได้ และมีพลังฝีมือกล้าแข็ง ในระยะพันลี้รอบๆ ปีศาจชั้นสูงต้องฟังคำบัญชาของเขา ไม่เว้นแม้แต่สัตว์พิสดารระดับผู้ครองแคว้น”

ลมปีศาจโหมพัดใบกล้วยให้ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ฉินมู่กระโดดขึ้นและเหยียบยอดลมวิ่งข้ามฟ้าไปทางทิศตะวันตก

ในตอนนี้เอง ไม่กี่ลี้ห่างจากกระท่อมหญ้ามีสัตว์ยักษ์เต่าตี้เหลียวมองไปรอบๆ อย่างงุนงง

“ดูเวลาแล้ว มู่เอ๋อน่าจะมาถึงที่นี่แล้วนี่นา คราวนี้ข้าปลอมตัวเป็นสัตว์พิสดาร เขาต้องจำข้าไม่ได้แน่ ๆ…เอ แปลกจังเลย เจ้าเด็กซนคนนี้หายไปไหนนะ หืม? นั่นมันลมปีศาจของนางจิ้งจอกนั่น! เด็กดื้อ เจ้าโดนนางจิ้งจอกล่อลวงตัวไปตั้งแต่ออกล่าครั้งแรกเลยเรอะ!”

เหนือแม่น้ำไกลจากหมู่บ้านพิการชราราวๆ ร้อยลี้ เกลียวลมพัดพยุงใบกล้วยยาวสามวา บนใบกล้วยนั้นมีจิ้งจอก และข้างๆ จิ้งจอกมีหนุ่มน้อยที่กำลังวิ่งเหยียบลม พวกเขาคือฉินมู่และฮู่หลิงเอ๋อ

“พลังเวทมนตร์ของข้ายังไม่เพียงพอที่จะทำให้ข้าบินได้ด้วยตนเอง ข้าทำได้เพียงใช้คาถาเรียกลมปีศาจมายกใบกล้วยให้ลอยอยู่บนท้องฟ้าอีกทอดเท่านั้น หากว่าข้าไปวิ่งเหยียบลมแบบที่เจ้าทำ ข้าต้องตกลงไปแน่ๆ…นั่น วังมังกรอยู่แถวๆ นี้แหละ!”

ฮู่หลิงเอ๋อลดแรงลมปีศาจ เพื่อให้ใบกล้วยและฉินมู่ค่อยๆ ลอยเลื่อนลงสู่พื้น ไม่นานมนุษย์และจิ้งจอกก็กลับมาเหยียบผืนแผ่นดินอีกครั้ง

ฉินมู่มองไปรอบๆ และเห็นแม่น้ำหย่งคดโค้งไปรอบๆ ภูเขาใหญ่ น้ำสีครามใสไหลวนเวียนรอบภูเขา ฝูงนกร้องเสียงไพเราะราวกับดนตรีก้องสะท้อนไปทั่วหุบเขา มีฝูงลิงที่ปีนป่ายจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่ง มีปลาตัวใหญ่และสัตว์ประหลาดในน้ำว่ายไปมาในแม่น้ำ ทุกอย่างดูสงบร่มรื่นเย็นใจ

จิ้งจอกขาวกระโจนไปมาราวกับว่ามันบินได้ ฉินมู่รีบตามไปติดๆ ทิศทางที่ฮู่หลิงเอ๋อมุ่งหน้าไปคือภูเขาที่แม่น้ำโอบโค้งรอบๆ ฉินมู่อดสงสัยไม่ได้ วังมังกรไม่ได้สร้างในแม่น้ำหรอกหรือ ทำไมมาสร้างบนภูเขา

สักพักหนึ่ง พวกเขาก็ขึ้นมาถึงยอดเขา บนนั้นมีซากโบราณอยู่ มันเป็นวิหารราชามังกร ข้างหน้าวิหารมีหินต้านอุทกภัยที่สูงกว่าสามสิบวา มันเหมือนกับศิลาจารึกที่ตั้งชูสู่ฟ้า และเบื้องล่างมีรูปสลักของเต่าหินตัวมหึมาที่กำลังแบกหินต้านอุทกภัยอยู่ เต่าหินตัวนี้มีปากอ้ากว้างเหมือนกับว่ามันเหนื่อยหนักและต้องอ้าปากหอบหายใจ

วิหารราชามังกรเก่าแก่ซอมซ่อ และมีกำแพงแหว่งโหว่ วิหารหลักพังยุบไปทั้งหลัง เมื่อมองไปรอบๆ ที่นี่ไม่มีรูปสลักหิน ดังนั้นมันจึงน่าจะมิอาจต้านทานการรุกรานของความมืดได้

ขณะที่เขากำลังพิศวงอยู่นั่นเอง ฮู่หลิงเอ๋อก็หายวับไปโดยไร้ร่องรอย เสียงของนางร้องเรียก “มาข้างในเร็วเข้า!”

ฉินมู่มองตามทิศทางเสียงและเห็นจิ้งจอกขาวอยู่ในปากของรูปสลักเต่าหิน มันโบกอุ้งเท้าหน้าไปมา ฉินมู่รีบตามไป รูปสลักเต่าหินนี้ใหญ่โตมโหฬาร ใหญ่พอที่คนทั้งคนไปยืนสบายๆ ในปากของมัน ฉินมู่ติดตามจิ้งจอกขาวที่กระโดดไปมาเบื้องหน้า และไปถึงสถานที่ซึ่งมีบันไดซ่อนอยู่ลึกๆ

มันมีร่องรอยของประตูหินที่เคยขวางกั้นบันไดเอาไว้ ฉินมู่ไม่รู้ว่ามันพังลงไปเมื่อไหร่ เผยให้เห็นบันไดหินที่นำลงสู่เบื้องล่าง

ฉินมู่เดินตามจิ้งจอกขาวลงบันไดไป เมื่อเข้าลึกไปในภูเขา บันไดก็กว้างขึ้น กว้างขึ้นทุกที ผนังภูเขาก็เริ่มชื้นแฉะและมีมอสเรืองแสงขึ้นลามไปหมด และยังมีสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ลอยไปมาคล้ายดอกแดนดิไลอ้อน พวกมันมีรยางค์ขาเล็กๆ ใต้ตัว เมื่อรยางค์เหล่านั้นขยับไปมา มันก็สามารถลอยในอากาศได้

จิ้งจอกขาวกระโดดงับสิ่งนั้นตัวหนึ่ง แล้วกลืนมันเข้าไป นางกระโดดงับขึ้นงับลงไม่หยุดหย่อน ดูแล้วท่าทางจะอร่อย

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version