ตอนที่ 1067 รัชทายาท
ตกค่ำ เซียวหวงจัดโต๊ะเลี้ยงที่หอจินเฟิ่งสองโต๊ะเลี้ยงต้อนรับสตรีเหล่านี้ด้วยตนเอง ให้พวกนางพยายามให้ดี ขอเพียงพวกนางแสดงความสามารถได้ดี ในฐานะรัชทายาทนาง นางก็จะมอบงานสำคัญให้พวกนาง
พอเอ่ยวาจานี้ ก็มีเสียงร้องอย่างยินดีดังขึ้น มีคนยืนขึ้นแสดงท่าทีว่า “รัชทายาทวางใจ หม่อมฉันจะต้องไม่ทำให้รัชทายาทผิดหวัง”
“ดีมาก”
เซียวหวงดีใจมาก พอดื่มสุราไปแก้วหนึ่งก็ได้ยินเสียงชิงฉางกระซิบด้านหลังเบาๆ ว่า “รัชทายาท คุณชายฟู่มาขอพบ ตอนนี้อยู่ด้านล่าง”
เซียวหวงเลิกคิ้ว ฟู่หลินคิดถึงนาง จึงได้มาหานางหรือ
นางลุกขึ้นบอกกับสตรีเหล่านี้ก่อนจะเดินออกไป ให้ชิงฉางกับฮว่าซ่านอยู่ต้อนรับทุกคนต่อ
นางพาเจี้ยงเสวี่ยเดินออกไปเดินถึงนอกประตูเห็นบ่าวของฟู่หลินรออยู่หน้าประตู บ่าวชายเห็นเซียวหวงก็เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “บ่าวถวายพระพรรัชทายาท”
เขากล่าวจบก็โค้งตัวไปทางรถม้าริมทาง เพื่อบอกว่าฟู่หลินอยู่ในรถม้า
เซียวหวงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ มองไปยังบ่าวชาย บ่าวชายถูกแววตานางมองจนตกใจสีหน้าซีดเผือด แต่ก็พยายามสะกดใจให้นิ่งลง
เซียวหวงกลับหัวเราะเบาๆ ก้าวไปทางรถม้า
เจี้ยงเสวี่ยคิดตามไป บ่าวชายรีบยกมือห้ามไว้ กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “คุณชายเราต้องการสนทนาเป็นการส่วนตัวกับรัชทายาท ขอท่านโปรดให้ความสะดวกด้วย”
เจี้ยงเสวี่ยไม่สนใจเขา คิดก้าวตามไปด้วยสัญชาตญาณ ไม่คิดว่าเซียวหวงส่งสัญญาณมือมาทางด้านหลัง เจี้ยงเสวี่ยชะงักทันที
บ่าวชายพลันโล่งอก
เซียวหวงเดินไปข้างรถม้า เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ฟู่หลิน เจ้าให้ข้ามาหา มีอันใดหรือ”
ในรถม้า มีคนเลิกม่านขึ้น
คนผู้นั้นไม่รอให้เซียวหวงตั้งสติก็ยื่นมือออกมาคว้าตัวเซียวหวงขึ้นไปทันที
เซียวหวงเองก็ปล่อยให้นางกระชากขึ้นไป ไม่ทันได้เงยหน้า คนตรงข้ามก็ยกมือสกัดจุดนางทันที
จากนั้นก็นางจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “รัชทายาท ล่วงเกินแล้ว”
เซียวหวงมองไปก็จำได้ว่าคนผู้นี้ถึงกับเป็นผู้เข้าสอบในวันนี้ หญิงจากสำนักฝึกยุทธ์ผู้นั้น ชื่อว่าไป๋เหยา
เซียวหวงหัวเราะเบาๆ ไป๋เหยาเห็นนางยามนี้ถึงกับยังหัวเราะได้ ในใจก็เริ่มไม่แน่ใจ กำหมัดแน่นเอ่ยว่า “ขออภัยรัชทายาทแล้ว”
“อ้อ ในเมื่อรู้ว่าทำผิดก็ปล่อยข้าเสีย ไม่แน่ข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้า”
ไป๋เหยาโมโหทันที ในฐานะรัชทายาท ตอนนี้ตกอยู่ในมือนาง ยังเย่อหยิ่งจองหองเช่นนี้ คิดว่าตนเองยิ่งใหญ่มากหรือ
ที่แท้รัชทายาทแคว้นต้าโจวหลงตนเองเช่นนี้เอง
“ในเมื่อข้าลงมือแล้วก็ไม่คิดวางมือ ขอรัชทายาทตามข้าไปสักครั้ง”
“ได้”
เซียวหวงไม่ได้ต่อต้าน การที่ก่อนหน้านี้ห้ามไม่ให้เจี้ยงเสวี่ยตามมา ก็เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายผิดปกติ ตอนนี้ยิ่งอยากดูว่าเบื้องหลังคือผู้ใด ผู้ใดคิดจับตัวนาง
เดิมไป๋เหยาคิดว่ารัชทายาทจะตกใจจนไม่อาจควบคุมตนเองได้ ปรากฏนางกลับสงบนิ่งอย่างเหนือความคาดหมายของนาง เซียวหวงเช่นนี้กลับทำให้นางรู้สึกหวั่นใจ
“อย่าได้ทรงเล่นลูกไม้ใด”
เซียวหวงไม่สนใจนาง กลอกตาครุ่นคิด แท้จริงผู้ใดบงการให้จับตัวนางกัน
ตระกูลในเมืองหลวงเหล่านั้นหรือ ไม่น่ามีคนกล้ากระมัง
นอกจากคนพวกนั้นก็น่าจะไม่มีผู้ใดกล้าทำเช่นนี้
เซียวหวงคิดถึงเสด็จพี่รอง เพิ่งถูกนางหักขาทิ้งไป ตอนนี้ยังพักรักษาขาอยู่ ไม่มีทางส่งคนมาจับตัวนางเช่นนั้นยังมีผู้ใดอีก
เซียวหวงยังคิดไม่ออก กระทั่งรถม้าวิ่งกระเด้งกระดอนไปมาหลายสิบลี้ก็หยุดลง นางจึงได้เห็นคนที่นางคิดอยากพบ
คนผู้นี้ผอมมาก ใบหน้าขาวซีดคล้ายดังไม่ต้องแสงตะวันมานานมาก
เซียวหวงเห็นเขาคราแรกก็พบว่าเขาคุ้นหน้า จากนั้นพอมองอย่างละเอียดก็ตกใจ คิดได้ว่าคนผู้นี้คล้ายเสด็จพ่อ
นางจึงรู้ทันทีว่าคนผู้นี้คือผู้ใด
เสด็จพี่เซียวจิ่งที่อยู่ไกลถึงสุสานหลวง อดีตรัชทายาท
คิดไม่ถึงว่าเขาถึงกับออกจากสุสานหลวงมาเมืองหลวง และยังส่งคนมาจับตัวนาง
เซียวหวงอดยิ้มทักทายไม่ได้ “หวงเอ๋อร์คารวะเสด็จพี่”
เซียวจิ่งแววตาเคร่งเครียด มองสตรีงามดังบุปผาตรงหน้า แม้ว่าอายุเพียงสิบห้า แต่มีท่าทางสุขุมนิ่งที่คนทั่วไปไม่อาจเทียบได้ แม้เผชิญกับเรื่องเช่นนี้ก็ยังคงสงบนิ่งอยู่ได้
สาวน้อยผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
เซียวจิ่งคิดไปก็หันไปมองบ้านเก่าผุพังรอบกายด้วยแววตาเยียบเย็น
องค์ชายที่เคยเป็นความภาคภูมิใจของฮ่องเต้ กลับต้องกลายเป็นคนงุ่มง่ามเย็นชาไร้ความรู้สึก ถึงกับยังมีกลิ่นอายอับชื้นที่ติดกายมาจากสุสานหลวง
เขาไร้ซึ่งกลิ่นอายชีวิตชีวาของมนุษย์ มีเพียงกลิ่นอายดังซากศพ
เซียวหวงเคยได้ยินเพียงคนเอ่ยถึงเสด็จพี่ใหญ่ ไม่ได้รู้สึกผูกพันอันใด ในทางกลับกัน นางยังนึกรังเกียจความอ่อนแอและหูเบาของเขา
นางได้ยินเรื่องของเขามาบ้าง แต่ไม่สำคัญสักเท่าไร ที่สำคัญที่สุดก็คือเขาเป็นคนแยกแยะถูกผิดไม่ได้
แม้ฮองเฮาเป็นเสด็จแม่แท้ๆ ของเขา แต่คนเราบางครั้งก็ต้องไตร่ตรองแยกแยะความจริงเท็จให้กระจ่าง ซึ่งเขาทำไม่ได้ เขาไม่อาจเป็นรัชทายาทที่ดีได้
อย่าว่าแต่ผู้อื่น แม้แต่ขุนนางในราชสำนักยังพูดจาปากอย่างใจอย่าง
เซียวหวงตามเซียวจิ่งเข้าไปในห้องที่มีแสงโคมเหลืองสลัว นางไม่ร้อนใจถามเซียวจิ่งว่าจับนางมาด้วยเหตุใด เพียงแค่มองประเมินทุกอย่างในห้อง
สุดท้ายยังคงเป็นเซียวจิ่งที่อดเอ่ยขึ้นก่อนไม่ได้ “เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าเหตุใดข้าส่งคนไปจับตัวเจ้ามา”
เซียวหวงยิ้มบางเอ่ยว่า “ก็แค่สองประการ หนึ่ง สังหารข้าระบายความแค้น เพราะท่านเคยเป็นรัชทายาทแคว้นต้าโจว ตอนนี้ข้ามาแทนที่ท่าน ท่านแค้นใจคิดสังหารข้าระบายแค้น อีกประการหนึ่ง ใช้ข้าแลกเปลี่ยนบัลลังก์ฮ่องเต้แคว้นต้าโจว ชาวแคว้นต้าโจวไม่น้อยต่างบอกว่าเสด็จพ่อทรงโปรดข้า ถึงกับให้ข้าขึ้นเป็นรัชทายาทหญิงแห่งแคว้นต้าโจว ท่านคิดใช้ข้ามาแลกบัลลังก์”
เซียวจิ่งได้ฟังเซียวหวงก็ส่งสายตาไร้ความรู้สึกมองไปยังเซียวหวง น้องสาวเขาฉลาดเหนือความคาดหมายของเขามาก
บางทีนางเช่นนี้เหมาะกับการเป็นฮ่องเต้ที่สุด
แต่เขาอยู่สุสานหลวงมานานพอแล้ว สถานที่เช่นนั้น ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน อยู่ตัวคนเดียว แม้มีชีวิตก็มีชีวิตดังซากศพ ดังนั้นพอมีคนไปหาเขา ยินดีช่วยให้เขาได้ออกมาอีกครั้ง ให้เขาได้ครองบัลลังก์ เขาจึงไม่ลังเลที่จะออกมาแม้แต่นิด
เขาไม่ได้สนใจบัลลังก์แคว้นต้าโจว ไม่สนใจความเป็นตายของราษฎร เขาสนใจเพียงแค่ได้หายใจรับอากาศสดชื่นเช่นนี้
เซียวจิ่งครุ่นคิดแล้วก็มองไปยังเซียวหวง “เช่นนั้นเจ้าว่าข้าจะเลือกประการใด”
เซียวหวงยิ้มกลับกล่าวว่า “น่าจะประการสองกระมัง ประการแรกไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงเช่นนี้ ส่งคนไปสังหารข้าก็พอ ดังนั้นข้าเดาว่าเสด็จพี่คิดใช้ข้าแลกบัลลังก์ฮ่องเต้”
เซียวหวงกล่าวจบก็ไม่รอให้เซียวจิ่งเอ่ย นางชิงเอ่ยต่อว่า “ข้าอยากรู้เรื่องหนึ่ง ผู้ใดช่วยเสด็จพี่ คนผู้นี้คิดยืมมือเสด็จพี่ หรือว่าเสด็จพี่ไม่รู้ หรือว่าเสด็จพี่รู้ดีแต่ไม่คิดสนใจ”
เซียวจิ่งได้ฟังเซียวหวงก็พลันหัวเราะขึ้นมา “มิผิด ข้ารู้เจตนาเขา แต่ข้าไม่สนใจ ข้าคิดล้มล้างแผ่นดินนี้ เจ้ารู้ไหมว่าหลายปีมานี้ข้าผ่านมาได้อย่างไร สถานที่เช่นนั้นไม่มีคนมีคนเป็น มีเพียงคนตาย ข้าไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน ไม่ต่างอันใดกับคนตาย ต่างเพียงแค่ยังมีลมหายใจเท่านั้น ดังนั้นข้าไม่สนใจว่าคนพวกนั้นคิดทำอันใด ข้าต้องการเพียงแค่ออกมา ต้องการเพียงแค่ได้หายใจรับอากาศบริสุทธิ์”