ตอนที่ 425 กินอาหารสุนัขกันอิ่มแปล้
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่กินไปก็เล่าให้ลู่เจียวฟังไปว่า “ท่านแม่ เมื่อเช้าท่านพ่อบอกพวกเราว่า สองสามวันนี้จะไม่ไปอ่านตำราที่สำนักศึกษา จะอยู่บ้านอ่านตำรา ท่านพ่อจะสอนพวกเราวาดรูปด้วย”
“ใช่ ท่านพ่อวาดรูปเก่งมาก ครั้งก่อนช่วยพวกเราวาดภาพบ้านที่เหมือนบ้านเดิมของพวกเราอย่างกับแกะ”
“วาดรูปพวกเราคนละใบ สี่ใบแทบไม่ต่าง”
เด็กน้อยทั้งสี่กล่าวอย่างดีอกดีใจ
ลู่เจียวยิ้มมองลูกๆ เห็นลูกๆ เบิกบานมองโลกแง่บวกและสุขภาพแข็งแรง ก็รู้สึกพึงพอใจมาก
นอกประตู เซี่ยอวิ๋นจิ่นกำลังก้าวเข้ามาเห็นภาพนี้พอดี ในใจก็อ่อนยวบ
เขาผินหน้ามองไปที่ลู่เจียวก่อนจะหยุดนิ่งอยู่ที่นาง
ลู่เจียวหันหน้าไปเห็นเขาก็ถามอย่างห่วงใยทันทีว่า “เจ้ากินข้าวแล้วหรือยัง”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยิ้มกล่าวว่า “กินมาแล้ว”
ลู่เจียวพยักหน้าเล็กน้อย มองเจ้าหนูน้อยทั้งสี่กินอาหารเช้าแล้วก็ออกไปล้างมือบ้วนปากด้วยตัวเอง
พวกเขาล้างมือบ้วนปากแล้วเห็นว่าเวลาพอสมควรแล้ว ก็เดินมาตรงหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียว
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกเราไปเรียนหนังสือแล้ว”
“ไปเถอะ”
ลู่เจียวโบกมือ เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เอาแต่มองนางยังไม่ยอมไป
ท่าทางเจ้าหนูน้อยน่ารักราวกับลูกเจี๊ยบรอป้อนอาหาร
ลู่เจียวเห็นก็รู้ว่าลูกๆ กำลังรอให้นางหอมแก้ม จึงก้มลงไปหอมแก้มน้อยที่ละคน “เด็กดี ไปเรียนหนังสือนะ”
“ขอรับ ท่านแม่”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่หันหลังโบกมือให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น “ท่านพ่อ ไปแล้วนะ”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไปแล้ว ลู่เจียวก็หันหน้าไปเห็นแววตาร้อนแรงของเซี่ยอวิ๋นจิ่น เขากำลังมองริมฝีปากนาง ทำเอาแก้มนางร้อนผ่าว นางรีบส่งสายตาจ้องใส่เซี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างไม่พอใจทันที
“มองอะไร”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นแก้มแดงขึ้นมาเล็กน้อย รีบเบนสายตาไปทางอื่น นั่งลงข้างกายลู่เจียวกล่าวเบาๆ ว่า “ไม่ได้มองอะไร”
ลู่เจียวไม่ได้เอาเรื่องต่อ แต่โบกมือให้คนในห้องโถงถอยออกไป พอพวกเฝิงจือออกไปกันแล้วก็ควักยาเม็ดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อใส่มือเซี่ยอวิ๋นจิ่น
“นี่คือยาที่ทำให้กำลังไตค่อยๆ อ่อนแอลง เจ้าเอาไว้ใส่น้ำให้หลี่เหวินปินดื่ม”
ลู่เจียวไม่ได้ถามก็รู้ว่าหลี่เหวินปินไม่ไปแน่ เขาคิดหาทางทำร้ายเซี่ยอวิ๋นจิ่น เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ออกไป เขาก็ย่อมไม่ไปในตอนนี้
ลู่เจียวคิดถึงว่าหลี่เหวินปินเอาแต่ทำร้ายเซี่ยอวิ๋นจิ่นครั้งแล้วครั้งเล่า จึงวางแผนรั้งเขาไว้
หากเมื่อก่อนตอนที่เพิ่งข้ามภพมา นางย่อมไม่ใจเด็ดเช่นนี้ แต่เพราะนางอยู่ในระบบกฎหมายเช่นนี้ หลังเผชิญเรื่องเสิ่นซิ่วมา ทำให้นางรู้ได้เรื่องหนึ่ง การเมตตากับศัตรูบางครั้งก็คือการโหดร้ายกับตนเอง
ศัตรูย่อมไม่มีทางรามือ ดังนั้นนางต้องลงมือก่อนหนึ่งก้าว ให้เขารับมือไม่ทัน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นแอบนึกเป็นห่วง “ยานี่?”
ตอนนี้หลี่เหวินปินอยู่ตระกูลเซี่ย หากเกิดเรื่องที่ตระกูลเซี่ย พวกเขาต้องถูกแจ้งความ
เรื่องนี้ลู่เจียวย่อมรู้ “วางใจ นี่เป็นยาพิษฤทธิ์ช้า กินลงไปแล้ว ในระยะเวลาอันสั้นย่อมไม่เห็นผลอะไร ยานี้ทำให้กำลังไตอ่อนแอ กำลังไตอ่อนแอก็มีของแสลงที่ห้ามกิน ไม่ว่าของทอดกรอบหรือน้ำมันเยิ้มล้วนกินไม่ได้ หากกินลงไปก็จะป่วยหนัก จากนั้นก็จะไร้ทางรักษา”
“ยานี้แม้ผู้อื่นไปตรวจสอบก็หาสาเหตุไม่เจอ ดังนั้นเจ้าอย่าได้เป็นห่วง แต่ตอนเจ้าใส่ยาลงไป ต้องระวังหน่อย อย่าให้เขาเห็น”
“ตกลง”
เรื่องแค่นี้ เซี่ยอวิ๋นจิ่นทำได้
ทั้งสองคนกำลังคุยกัน ลู่กุ้ยก็เดินเข้ามาประตูมารายงานว่า “พี่เจียว พี่เขย คุณชายหันมา”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นโบกมือให้ลู่กุ้ยไปเชิญหันถงเข้ามา
ลู่กุ้ยถอยออกไปแล้ว เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็มองลู่เจียวกล่าวว่า “เจียวเจียว ข้าจะจัดตั้งขบวนการค้ากับหันถง ขบวนการค้านี้รับหน้าที่เลือกซื้อสินค้าจากชายแดน นำสินค้าทางใต้ไปขายทางเหนือ นำสินค้าทางเหนือไปขายทางใต้ เช่นนี้เราก็จะได้กินกำไรตรงกลาง”
“เจ้าว่าการค้านี้เป็นอย่างไร ทำเงินได้ไหม”
ลู่เจียวตกใจมองเซี่ยอวิ๋นจิ่น ความคิดนี้ไม่เลว
“มีความสามารถอยู่เหมือนกันนะนี่ อวิ๋นจิ่นเจ้าไม่เพียงแต่เรียนหนังสือเก่ง การค้าก็ไม่เลวด้วยนะ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยินลู่เจียวชมเขา เขารู้สึกดีใจมาก รู้สึกลอยไปทั้งตัว
“วันหน้าข้าจะอ่านตำรา การค้านี้ก็มอบให้เจียวเจียวดูแล เป็นอย่างไร”
“หา?”
ครั้งนี้ลู่เจียวตกใจ หันไปมองเซี่ยอวิ๋นจิ่น คนผู้นี้ทำไมจึงมอบการค้านี้ให้นางจัดการ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นท่าทางลู่เจียวตกใจก็อดกล่าวไม่ได้ว่า “เจ้าไม่ได้บอกว่าผู้ชายหาเงินก็ต้องมอบให้ผู้หญิงหรือ เจ้าไม่ได้ว่าผู้ชายมีเงินก็จะเสียคนหรือ วันหน้าเงินทองบ้านเราก็มอบให้เจ้าหมด เช่นนี้ข้าก็จะไม่เสียคนอย่างไรเล่า”
ลู่เจียวได้ฟังคำพูดเซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ทันตอบอะไร ลู่กุ้ยกับหันถงก็เดินเข้าประตูมา สองคนพากันขนลุก พรึ่บ
ที่แท้ท่านเป็นพี่เขยเช่นนี้เอง
ที่แท้เจ้าเป็นอวิ๋นจิ่นเช่นนี้เอง
ทั้งสองคนเหมือนถูกป้อนอาหารสุนัข[1] พยายามเดินเข้ามาด้วยสีหน้านิ่งไร้ความรู้สึก
“พี่เขย พี่เจียว คุณชายหันมาแล้ว”
ลู่กุ้ยกล่าวจบก็หันหลังออกไป หันถงมองไปยังลู่กุ้ยที่หนีรวดเร็ว ไม่สิ น้องชายเจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าก่อนสิ อย่าให้ข้ามองดูพวกเขาขนลุกอยู่คนเดียว
แม้ว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้ว่าหันถงได้ยินคำพูดเขา ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอันใดแม้แต่น้อย เคารพภรรยา ไม่ใช่เรื่องน่าอาย
“เจ้ามาแล้วหรือ”
หันถงรีบพยักหน้าเล็กน้อย “ขบวนการค้าสี่เส้นทางจัดตั้งเรียบร้อยแล้ว ร้านขนส่งสินค้าเหนือใต้ก็เตรียมการเรียบร้อยแล้ว ร้านหนึ่งเปิดในอำเภอชิงเหอ ร้านหนึ่งเปิดในเมืองหลวง ถึงตอนนั้นขบวนการค้าะนำสินค้ากลับมาได้เมื่อไร พวกเราก็เริ่มเปิดร้านทำการค้า”
“ได้”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพยักหน้าชี้ไปทางลู่เจียว “วันหน้าร้านขนส่งสินค้าเหนือใต้นี้ก็มอบให้นางดูแล เจ้ามีอะไรจัดการไม่ได้ก็มาถามนาง”
ลู่เจียวหันไปมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นทันที ข้ายังไม่ได้ยอมรับเจ้าเลยไหม
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยิ้มเบิกบานใจ “เหนื่อยเจียวเจียวแล้ว”
หันถงขนลุกพรึ่บอีกแล้ว นี่ยังไม่จบไม่สิ้นใช่ไหม หรือไม่รู้ว่าตอนนี้เขาตัวคนเดียว?
บิดามารดาเขาความจริงก็เริ่มหาคู่ให้หันถง แต่หันถงเคยถูกงูฉกมาหนึ่งทีก็ย่อมกลัวงูไปสิบปี ไม่กล้าแต่งภรรยาอีก
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ได้รู้สึกตัวแม้แต่น้อย เขามองลู่เจียวกล่าวต่อว่า “วันหน้าข้าก็ขอให้เจียวเจียวเลี้ยงดูข้าแล้ว”
ลู่เจียวมองเขาด้วยแววตาลุ่มลึก ตัดสินใจรับการค้านี้ไว้ หากสุดท้ายแล้วนางไม่ได้อยู่กับเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็จะคืนการค้านี้ให้เขาไปก็แล้วกัน แต่ในระยะเวลาสั้นๆ นี้ นางก็รับหน้าที่ดูแลการค้านี้อีกอย่างก็แล้วกัน
ลู่เจียวครุ่นคิดแล้วก็ถามเซี่ยอวิ๋นจิ่น “ร้านนี้ชื่อว่าร้านขนส่งสินค้าเหนือใต้หรือ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพอได้ฟังนางก็รู้ว่าลู่เจียวยอมรับการค้านี้ไว้แล้ว สีหน้าเบิกบานอ่อนโยนราวกับลมในฤดูวสันต์
เขายื่นมือไปกุมมือลู่เจียวไว้ “วันหน้าเจ้าอย่าได้เหนื่อยเกินไป การค้านี้ก็มอบให้หันถงไปจัดการ เจ้าแค่ดูสมุดบัญชีก็พอ”
หันถงมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างไม่พอใจ จะทำข้าขนลุกไม่จบไม่สิ้นใช่ไหม ผู้ใดจะทนรับไหวกัน
………………..
[1] เป็นสำนวนหมายถึงต้องมาเป็นพยานดูคู่รักแสดงความรักต่อกัน
