ตอนที่ 115-1
ท่านมั่วโปรดออกไปเถิด!
“เหตุใดสุ่ยหลิงจึงได้รู้ว่าข้าปลอมตัวและรู้ถึงเพศของข้า ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ” มู่ชิงเกอมองชายที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาที่แฝงความเย็นเยียบ
เจ้าคนหลงตัวเองผู้นี้เคยกล่าวเอาไว้ เครื่องมือมายาของนางหลังจากเพิ่มมนตร์ต้องห้ามเข้าไปแล้ว นอกจากผู้ที่มีพลังเวทเหนือกว่านาง ไม่เช่นนั้นจะไม่มีทางรู้ได้ว่านางกำลังปลอมตัว
ภายในเรือน ชุดสีขาวของซือมั่วขาวบริสุทธิ์ไร้ซึ่งมลทิน ชายเสื้อปลิวไปมาตามสายลม น่าเย้ายวนจนหาที่เปรียบมิได้ สำหรับคำถามของมู่ชิงเกอ เขาไม่ได้แสดงอาการอันใดมากนัก เพียงแค่เผยรอยยิ้มจางๆ ตรงมุมปากพร้อมพูดว่า “ข้าเองก็ไม่คิดว่าในหลินชวนจะมีสายโลหิตแห่งตาทิพย์เช่นนี้”
“ท่านพูดอะไร” มู่ชิงเกอตะลึง
คำพูดของซือมั่ว กำลังบอกว่า สุ่ยหลิงนี้นก็เป็นอีกคนที่ครอบครองสายโลหิตพิเศษอย่างนั้นหรือ
ไหนบอกว่า ในหลินชวนไม่มีผู้ที่มีสายโลหิตพิเศษอย่างไรเล่า
เจ้าคนหลงตัวเองอย่างหานฉายไฉ่ได้รับการยกเว้น เพราะเขาถูกขับไล่ให้มาอยู่ที่นี่มิใช่หรือ
แล้วสุ่ยหลิงเล่า มันเรื่องอะไรกันอีก?
สายตานั่นจริงใจไร้ซึ่งการเสแสร้ง ทำให้ซือมั่วพอใจเป็นอย่างมาก
สำหรับเขาแล้ว มู่ชิงเกอไม่จำเป็นต้องคอยปกปิดตนเอง เขาเข้ามาใกล้นาง พลางจับมือนุ่มราวกับไร้กระดูกเอาไว้ แต่ว่า มู่ชิงเกอกำลังคิดทบทวนเรื่องสายโลหิตพิเศษ จึงไม่ได้สังเกตการกระทำที่ ‘อุกอาจ’ ของชายหนุ่ม
“รากฐานโดยแท้ของหลินชวน แน่นอนว่าไม่มีการสืบสายโลหิตเช่นนี้ แต่ทว่า ก็ใช่ว่าจะไม่มีกรณีดังเช่น ตระกูลหานแห่งหอสรรพสิ่งที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง” ซือมั่วอธิบายพร้อมยิ้มจางๆ
มู่ชิงเกอตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
ซือมั่วเกิดหวั่นไหว พลันยกมือขึ้นลูบคิ้วที่ขมวดปมของนางให้คลายออก ทำให้มู่ชิงเกอถลึงตาจ้องอย่างดุดัน
ความดีใจของเขาจางหายไป พลันเก็บมือ
ในขณะเดียวกัน มู่ชิงเกอก็ดึงมือที่ถูกจับเอาไว้ออกมาอย่างสุดแรง พลันถามว่า “ท่านกำลังจะบอกว่า สุ่ยหลิงก็มาจากโลกแห่งยุคกลางอย่างนั้นหรือ”
นางยังไม่ลืมเรื่องที่ซือมั่วเคยบอก โลกที่เก่งกาจมากกว่าหลินชวนและกว้างใหญ่ไพศาลมากกว่าหลินชวนมีชื่อว่าโลกแห่งยุคกลาง “อาจจะไม่ใช่นาง” ซือมั่วพูด มู่ชิงเกอหรี่ตาทั้งคู่ลง เม้มปากเล็กน้อย รอคอยคำอธิบายจากเขา
นํ้าเสียงของซือมั่วแม้จะโทนตํ่าแต่เต็มไปด้วยความน่าเย้ายวนและความอ่อนโยน “บางที บรรพบุรุษของนาง อาจจะมาจากโลกแห่งยุคกลาง และอาศัยอยู่ใน อาณาจักรหลินชวนแห่งนี้ ข้าสัมผัสได้ว่า ในร่างกายของนางมีสายโลหิตแห่งตาทิพย์อยู่ ซึ่งเป็นการกลับคืนสู่บรรพบุรุษ”
“กลับคืนสู่บรรพบุรุษอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงเกอพึมพำเบาๆ นางเข้าใจถึงความหมายของคำ ๆ นี้ คำพูดของซือมั่ว คงจะหมายความว่า ความสามารถของสุ่ยหลิงมาจากสายโลหิตแห่งตาทิพย์ของนาง บางทีสายโลหิตแห่งตาทิพย์ของนางได้หายไปจากวงศ์ตระกูลของนางมายาวนานแล้ว ไม่มีผู้สืบทอด ทว่าในรุ่นของนาง ในร่างกายของนางกลับมีสายโลหิตเช่นนี้จึงทำให้นางรู้ได้ถึงการปลอมตัวทั้งหมดของมู่ชิงเกอ
“เหตุใดท่านจึงได้มั่นใจมากถึงเพียงนั้น” มู่ชิงเกอมองตาซือมั่วด้วยแววตาคาดคั้น
ซือมั่วกระตุกมุมปากเล็กน้อย เขาพูดด้วยนํ้าเสียงอันแนบนิ่งว่า “เพราะว่า ในตอนนี้ ภายในโลกแห่งยุคกลาง สายโลหิตแห่งตาทิพย์ใด้สาบสูญไปแล้ว”
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วทั้งสองข้าง คำตอบนี้ทำให้นางตื่นตระหนก
ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้คำพูดของซือมั่วใกล้ความจริงมากขึ้น
“พอเถิด เมื่อเทียบกับการที่เจ้ามัวคิดเรื่องสายโลหิตแห่งตาทิพย์นั่นแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่คิดว่าจะให้บทเรียนผู้ที่กล้าปองร้ายเจ้าอย่างไร” ซือมั่วไม่ได้ใส่ใจเรื่องของสุ่ยหลิงเลยแม้แต่น้อย กลับกัน สิ่งที่ค้างคาใจเขาคือผู้ที่กล้าใช้ฟู่เทียนหลงเป็นเครื่องมือในการปองร้ายมู่ชิงเกอ
แม้ว่า มู่ชิงเกอจะไม่ได้รับอันตรายประการใด ทั้งล่วงรู้แผนการทั้งหมด แต่ทว่า เขายังคงยอมไม่ได้ที่มีคนบังอาจกล้ากระทำเช่นนี้กับคนที่อยู่ในใจของเขา หากไม่กลัวว่ามู่ชิงเกอจะไม่พอใจ เขาคงสั่งให้กู่เย่ไปสังหารล้างโคตรคนผู้นั้นไปแล้ว
“คิดถึงเขาเพราะเหตุใดกัน” มู่ชิงเกอพูดอย่างฉงนใจ
ความขัดแย้งระหว่างฟ่งอวี๋กุยและตัวนาง ได้เกิดขึ้นตั้งแต่ที่เมืองถัว ไม่สิ ควรจะพูดว่า ตั้งแต่ตอนที่พบว่าเขาคอยหนุนหลังเจ้าแซ่จูนั้นอยู่ ทั้งสองก็ได้กลายเป็นศัตรูกันไปแล้ว
วันนี้เขาไม่ลงมือ สักวันก็ต้องหาโอกาสมาอีกแน่
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์กลายเป็นคนใจกว้างเช่นนี้ไปตั้งแต่เมื่อใด” ในดวงตาสีนํ้าผึ้งของซือมั่วสาดฉายแสงแห่งอันตราย
“ใจกว้างอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ “หึ คนผู้นั้น ไม่มีค่าพอที่ข้าจะเอามาใส่ใจ”
คำพูดนี้ทำให้ความอันตรายที่แฝงอยู่ในดวงตาของซือมั่วจางหายไปในทันที ในส่วนลึกของดวงตาเปลี่ยนไปในทันที และแฝงความอ่อนโยน “เพียงมดตัวน้อยตัวหนึ่ง ก็ไม่ควรที่เสี่ยวเกอเอ๋อร์จะเอามาใส่ใจจริงๆ”
มู่ชิงเกอไม่อยากจะสนใจ เพียงขมวดคิ้วเงียบขรึม
เมื่อเห็นท่าทางที่ไม่ชอบใจของนาง ซือมั่วจึงถามว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์เป็นกังวลเรื่องอันใดหรือ”
มู่ชิงเกอเองก็ไม่ได้จะปิดบัง จึงตอบว่า “สุ่ยหลิงรู้ว่าข้าปลอมตัว แม้ว่านางจะไม่เปิดเผยต่อทุกคน แต่ก็ทำให้ข้ารู้สึกราวกับถูกผู้อื่นกำความลับเอาไว้ และมันก็กลายเป็นจุดอ่อนของข้า”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะช่วยเสี่ยวเกอเอ๋อร์สังหารนางเสีย” ซือมั่วพูด
นํ้าเสียงนั่น ราวกับการสังหารคนง่ายดายดั่งหั่นผักกาดขาว
มู่ชิงเกอจ้องเขาเขม็งแวบหนึ่ง พร้อมกล่าวเตือนว่า “ท่านอย่าได้เหลวไหล!”
“ฆ่านางเสีย ทุกอย่างก็จบมิใช่หรือ เสี่ยวเกอเอ๋อร์ก็ไม่ต้องมาคอยเป็นกังวลอยู่เช่นนี้” นํ้าเสียงของซือมั่วฉายความเคร่งขรึม เขาไม่พอใจนักที่มู่ชิงเกอคิดถึงผู้อื่นมากจนเกินไป แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นศัตรูของนางก็ตาม
“คำก็ฆ่า สองคำก็ฆ่า องค์มหาปราชาญ์ช่างน่าเกรงขามนัก!” สายตาของมู่ชิงเกอแฝงการเยาะเย้ยเย็นเยียบ
เมื่อเห็นว่ามู่ชิงเกอราวกับกำลังโกรธ ไอสังหารที่สาดฉายออกมาของซือมั่วก็หายวับไปในทันที พลันพูดอย่างเอ็นดูว่า “ได้ หากเสี่ยวเกอเอ๋อร์บอกว่าไม่ฆ่า ก็ไม่ฆ่า”
มู่ชิงเกอเชิดใส่เขา จากนั้นจึงเก็บสายตา และคิดในใจว่า ดูเหมือนว่าจะต้องหาโอกาสคุยกับสุ่ยหลิงแล้ว
เมื่อได้ตัดสินใจแล้ว คิ้วที่ขมวดอยู่ของมู่ชิงเกอก็ได้คลายออกในทันที เพียงแต่ว่า นางยังคงถามชายหนุ่ม ด้วยเสียงไม่ชอบใจว่า “ท่านจะ*โก่วได้เมื่อใดเล่า”
“โก่วได้หมายความว่าอย่างไร กระสอบที่ใช้มัดสุนัขหรือ” ซือมั่วถามนางด้วยท่าทีไร้เดียงสา
มู่ชิงเกอกระตุกมุมปาก นางอยากจะตะโกนออกมาดังๆ ว่า ‘โก่วได้’ ก็หมายความว่าออกไปไงเล่า! พูดง่ายๆ ก็คือจะถามว่า เมื่อไหร่ท่านจะไสหัวไปเสียที!
อ่านว่า โก่วได้ เป็นคำแสลงมีหมายความว่า ออกไป
แต่ทว่า พอคิดถึงท่าทางของคนบางคนที่คิดจะสังหารใครก็สังหารได้นั้น นางก็ต้องสะกดกลั้นความไม่พอใจเอาไว้
ท่ามกลางสายตาของซือมั่ว นางกัดฟันและพูดอย่างเป็นนัยว่า “ถามว่าธุระของท่านเมื่อไหร่จะไปจัดการ”
อย่าได้มาตามข้าให้เสียเวลาเลย!
“เสี่ยวเกอเอ๋อรักำลังรังเกียจข้าหรือ” ซือมั่วแสดงท่าทางน้อยใจอย่างสุดซึ้ง คนฉลาดเช่นเขา จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าความหมายที่แท้จริงของคำพูดนั้นคืออะไร
มู่ชิงเกอไม่รู้จะพูดอะไร ชายหนุ่มสูงเก้าฉื่อกลับแสดงท่าทางอันไร้เดียงสาเช่นนี้ ต่อหน้านาง ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะหนีออกห่าง
“ไม่อยากจะสนท่านแล้ว” มู่ชิงเกอหันหลังกลับและเดินเข้าเรือนไป ทิ้งซือมั่วเอาไว้ในสวนหย่อมเพียงลำพัง
ทันทีที่นางจากไป ข้างหลังของซือมั่วก็มีเงาร่างในชุดสีดำปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็วดั่งสายลม ไม่ทิ้งร่องรอย ราวกับปรากฏขึ้นจากกลางอากาศ
“ท่านประมุข!” กู่เย่นั่งคุกเข่าข้างเดียวอยู่ด้านหลังซือมั่ว พร้อมก้มคำนับอย่างนอบน้อม