ตอนที่ 116-5
บททดสอบการเข้าสู่โรงโอสถ
แต่ทว่า ผู้ต้อนรับกลับไม่ใส่ใจในความไม่พอใจของพวกเขาและพูดต่อว่า “นับจากนี้ พวกเจ้าจะลงมือกันเป็นกลุ่มหรือโดยลำพังก็ได้ เพียงแค่ก่อนถึงประตูทางเข้าโรงโอสถ สามารถหาสมุนไพรเหล่านี้จนพบ ก็ถือว่าผ่านด่านแรก”
พูดจบ รูปภาพม้วนที่เขาถืออยู่ก็หล่นลงพื้น เผยให้เห็นรายละเอียดในรูปภาพ
บนนั้น มีรูปของสมุนไพรชนิดต่าง ๆ ที่วาดด้วยหมึกสีทอง
ดูแล้วมีมากกว่าร้อยชนิด
“ต้องได้มาครบทุกชนิดเลยรึ งั้นก็ต้องใช้เวลานานมากน่ะสิ” มีคนตั้งคำถาม
ผู้ต้อนรับอธิบาย “ไม่จำเป็นต้องมากถึงเพียงนั้น แค่เจอเพียง 5 ชนิดก็พอแล้ว อีกประการหนึ่ง ข้าจะขอบอกพวกเจ้าว่าในผืนป่าแห่งนี้มีสมุนไพรครบทุกชนิด จะพบหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการวินิจฉัย ประเภทของสมุนไพรและโชคของพวกเจ้าแล้ว”
ทุกคนต่างกระซิบและไปเบียดกันข้างหน้า เพื่อจะได้ท่องชื่อของสมุนไพรที่อยู่ในกระดาษ
แม้จะบอกว่า หาเจอเพียง 5 ชนิดก็สามารถผ่านด่านได้ แต่ก็ไม่มีใครรู้ได้ว่า ระหว่างทางจะพบเจอกับอะไรบ้าง แน่นอนว่าจะต้องจำทั้งหมดไม่มีตกหล่น
และในขณะที่ทุกคนกำลังเร่งรีบท่องรายละเอียดบนกระดาษ ผู้ต้อนรับก็พูดอีกว่า “การทดสอบนี้มีเวลาจำกัด พวกเจ้ามีเวลาเพียงครึ่งวัน ผู้ที่ไม่สามารถเดินทางไปถึงโรงโอสถก่อนพระอาทิตย์ตกดิน แม้ว่าจะสามารถหายาสมุนไพรได้ครบก็ไม่สามารถเข้าสู่โรงโอสถได้”
“อะไรนะ! เพียงแค่ครึ่งวันรีบไปกันเถิด!”
เวลามีจำกัด ทำให้ในตอนนี้ ผู้คนจำนวนไม่น้อยได้เข้าสู่ผืนป่าแล้ว
คนทั้งห้าของกลุ่มมู่ชิงเกอยังคงยืนอยู่ด้วยกันและไม่ได้เร่งรีบในการลงมือ
ท่ามกลางผู้คน มู่ชิงเกอมองเห็นฟ่งอวี๋กุยอีกหน เขายืนอยู่คนเดียว เพราะองครักษ์ข้างกายไม่สามารถตามมาดูแลได้เพราะกฎกติกาของโรงโอสถ
เขามองนางด้วยสายตาที่แหลมคมราวกับใบมีดแวบหนึ่ง ก่อนจะอุทานอย่างเย็นเยียบแล้วเดินเข้าผืนป่าไป
ดูเหมือนว่าจะลงมือโดยลำพังสินะ
“สุ่ยหลิงเราไปกันเถิด” ฟู่เทียนหลงเร่งสุ่ยหลิง เมื่อเห็นว่าแทบจะทุกคนเข้าไปในผืนป่าแล้ว ในสายตาของเขาก็ดูเร่งรีบ
“ข้าจะไปกับมู่เกอ” สุ่ยหลิงกลับปฏิเสธเขา แล้วเดินเข้าไปหามู่ชิงเกอ ฟู่เทียนหลงพูดด้วยความโกรธว่า “เหตุใดจึงเลือกที่จะไปกับเขา เขามีอะไรดี บางทีแม้กระทั่งการทดสอบ ยังไม่อาจจะผ่านได้”
“เจ้าอย่าได้พูดเช่นนี้ มู่เกอร้ายกาจมากนะ!” ผู้ที่คอยคุ้มครองมู่ชิงเกออย่างเว่ยกว่านกว่านเถียงเป็นคนแรก
เว่ยฉีเองก็พูดอย่างไม่พอใจว่า “เทียนหลง ที่เจ้าพูดมันก็เกินไป ความสามารถของมู่เกอนั้นเราสองพี่น้องรู้ดีเป็นที่สุด”
“พวกเจ้า!” ฟู่เทียนหลงโกรธจนพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงมองสุ่ยหลิงแวบหนึ่ง แล้วพูดด้วยเสียงเข้มๆ ว่า “สุ่ยหลิง ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจะไปกับข้า หรือไม่!”
“ข้าไม่ไป!” สุ่ยหลิงเชิดหน้าไปอีกด้านโดยไม่มองเขาอีก
“ดี ดี! งั้นเจ้าก็ไปกับเจ้าหน้าขาวนี่เลย!” ฟู่เทียนหลงหันหน้าและเดินเข้าผืนป่าไปพร้อมเปลวเพลิงแห่งโทสะ
หลังจากที่ฟู่เทียนหลงไปแล้ว มู่ชิงเกอก็เอามือลูบจมูกตนเองพูดอะไรไม่ออก
ราวกับว่า ตนเองยังไม่ทันได้ทำอะไร ก็สร้างความไม่พอใจให้คนอื่นเข้าแล้ว
เว่ยกว่านกว่านเห็นสุ่ยหลิงหันไปมองยังตำแหน่งที่ฟู่เทียนหลงจากไปอย่างเหม่อๆ และพูดอย่างไม่รู้ตัวว่า “นี่ หากเจ้ายังอาลัยอาวรณ์เหตุใดจึงไม่ตามไปเล่า”
สุ่ยหลิงหน้าแดง และเถียงว่า “อาลัยอาวรณ์กับผีน่ะสิ!”
“ไปเถิด” มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้น และก้าวเท้ายาวเดินเข้า ผืนป่าไป
สิ่งที่ต่างจากคนอื่น ๆ คือ การเดินที่ดูผ่อนคลายของนาง ทำให้รู้สึกว่านางราวกับไม่ได้กำลังรับการทดสอบ แต่กำลังเดินเล่นในป่า
พี่น้องตระกูลเว่ยตามติดนางจากทั้งซ้ายและขวา สุ่ยหลิงกัดริมฝีปากทีหนึ่งแล้วรีบเดินตามไป
“ไอ้เว่ยฉี ยาสมุนไพรเมื่อครู่นี้เจ้าจำได้หรือยัง” ระหว่างทาง เว่ยกว่านกว่านเอ่ยถามเว่ยฉี
เว่ยฉีส่ายหน้าและพูดตามความจริงว่า “ข้าเพียงอ่านผ่าน ๆ รอบหนึ่ง จำได้เพียงแค่ครึ่งเดียว”
“พวกเจ้าทั้งสองจะมาเรียนที่โรงโอสถ ยาสมุนไพรพื้นฐานนี้น่าจะรู้ดี” อยู่ ๆ มู่ชิงเกอก็พูดขึ้น
เว่ยฉีและเว่ยกว่านกว่านพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน
“แน่นอนๆ เราหายาสมุนไพรให้ท่านแม่มานานหลายปี ยาธรรมดา ๆ พวกนี้ทำอะไรเราไม่ได้แน่นอน”
มู่ชิงเกอพยักหน้าเล็กน้อย และพูดเตือนว่า “ยาสมุนไพรในบททดสอบนั้นแม้จะเป็นพื้นฐาน แต่เพราะพื้นฐานจึงทำให้ยากต่อการแยกชนิด เพราะที่คล้ายกัน มีมากมายหลายประเภท อันไหนที่อยู่ในบททดสอบจะต้องแยกแยะให้ดี อย่าได้เด็ดสมุนไพรที่คล้ายกันกลับมา จะไม่สามารถผ่านด่านแรกได้”
เมื่อถูกมู่ชิงเกอเตือนเช่นนี้ เว่ยกว่านกว่านก็ทิ้งความประมาทและตั้งใจมากขึ้นกว่าเดิม
“ทุกคนแยกย้ายกันไปหาเถิด” มู่ชิงเกอสั่งการ ทุกคนจึงแยกย้ายกันออกไปตามหายาสมุนไพรทั่วทุกสารทิศ
ทุกคนจะต้องมียาสมุนไพร 5 ชนิดจึงจะมีสิทธิ์เข้าไปภายในโรงโอสถ ถ้าเช่นนั้น พวกเขาทั้งสี่คนก็ต้องมี 20 ชนิด แน่นอนว่าในกติกาไม่ได้บอกว่าห้ามซํ้ากัน แต่ ทว่า คำพูดของผู้ต้อนรับก็ชัดเจนแล้ว หากต้องการจะได้รับความสนใจมากกว่านี้ก็ต้องแสดงความสามารถของตนเอง
หากว่าทั้งสี่คนจะผ่านด่านโดยใช้ยาสมุนไพรชนิดเดียวกันก็เกินไป
หลังจากที่เว่ยฉีและเว่ยกว่านกว่านเดินออกไปไกลแล้ว อยู่ ๆ มู่ชิงเกอก็คว้าแขนของสุ่ยหลิงเอาไว้ แล้วเดินไปอีกข้างหนึ่ง เพื่อให้ต้นไม้ใหญ่บดบังเงาร่างของทั้งสองเอาไว้
ฉากนี้ ฟู่เทียนหลงที่เดินอ้อมมาจากข้างหลังมาเห็นเข้าพอดี
ทันใดนั้น ในดวงตาของเขาก็สาดฉายเปลวเพลิงและพุ่งเข้าไปหาพวกนาง
“มู่เกอ ท่านมีเรื่องจะคุยกับข้าอย่างนั้นหรือ” สุ่ยหลิงพูดขึ้นก่อน สำหรับการกระทำของมู่ชิงเกอ นางราวกับไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
มู่ชิงเกอพูดด้วยน้ำเสียงอันเคร่งขรึมว่า “ไม่ว่าเจ้าคิดจะทำอะไร ความลับของข้าห้ามบอกใครเด็ดขาด ไม่เช่นนั้น…”
สุ่ยหลิงใช้นิ้วมือของตนเองทำสัญลักษณ์กากบาทบนปากของตนเอง พร้อมยืนยันกับมู่ชิงเกอว่า “วางใจเถิด หากท่านไม่พูด ข้าเองก็ไม่พูด”
การให้คำยืนยันอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ทำให้มู่ชิงเกอตาเป็นประกาย นางจึงพูดเสริมว่า “อีกเรื่อง เรื่องของเจ้าและฟูเทียนหลง อย่าดึงข้าเข้าไปข้องเกี่ยว…”
“ไอ้คนตํ่าช้าหน้าไม่อาย!” อยู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนขึ้นตัดบทคำพูดของมู่ชิงเกอ
จากนั้น เงาดาบสีครามอ่อนสายหนึ่งก็ผ่าแยกต้นไม้เก่าแก่ที่บดบังทั้งสองเอาไว้ดั่งสายฟ้าฟาด
ไอสังหารที่แฝงความโกรธเกรี้ยว ทำให้มู่ชิงเกอหรี่ตาลง พร้อมดึงแขนของสุ่ยหลิงหลบหลีกการโจมตีได้ทันเวลา พวกนางเพิ่งจะเคลื่อนตัวออกจากตำแหน่งที่ยืนอยู่ ต้นไม้ที่บดบังร่างกายอยู่ก็หักและล้มลงพื้นอย่างแรง พร้อมส่งเสียงดังก้อง
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้สุ่ยหลิง พี่น้องตระกูลเว่ยรีบวิ่งเข้ามา ผู้คนที่ถูกดึงดูดให้มาที่นี่ ยังมีนักเรียนฝึกหัดหลายคนที่อยู่บริเวณนั้น
“มู่เกอ!”
“มู่เกอ! สุ่ยหลิง!”
เว่ยฉีและเว่ยกว่านกว่านรีบวิ่งมาอยู่ข้าง ๆ มู่ชิงเกอเพื่อตรวจสอบว่ามู่ชิงเกอบาดเจ็บหรือไม่
สุ่ยหลิงที่เพิ่งได้สติจากความตกใจ เมื่อเห็นสิ่งที่ระเนระนาดบนพื้นดิน ก็หันมองฟู่เทียนหลงด้วยความโกรธ และด่าว่า “ฟู่เทียนหลงเจ้าบ้าไปแล้วหรือ! เจ้าคิดจะฆ่าข้าหรือไง”
ใบหน้าอันงดงามของมู่ชิงเกอมีไอแห่งความเย็นเยียบแฝงอยู่เล็กน้อย
ฟู่เทียนหลงเป็นสายครามขั้นต้น หากว่าพลังเวทของนางสู้เขาไม่ได้ บางทีเมื่อครู่นี้อาจจะบาดเจ็บสาหัสและอาจถึงแก่ชีวิต
ตั้งแต่ที่ทั้งสองรู้จักกันมา ไม่เคยมีความแค้นอันใดต่อกัน เพียงแค่เข้าใจผิดเรื่องของสุ่ยหลิง ถึงกับต้องลงมืออย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้เชียวหรือ
“ข้า ข้าขอโทษ สุ่ยหลิง เมื่อครู่นี้ข้าเพียงเห็นว่าเขากำลังจะรังแกเจ้า จึงได้วู่วาม” ฟู่เทียนหลงเองก็อึ้ง เมื่อเห็นว่าทำให้สุ่ยหลิงโกรธจึงรีบขอโทษ
“เจ้าออกไปซะ! ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีก!” สุ่ยหลิงหันหลังให้เขา โดยไม่ยอมฟังคำอธิบายเลยแม้แต่น้อย พลันยกมือขึ้นชี้ไปยังตำแหน่งหนึ่งและสั่งให้ฟู่เทียนหลงออกไป
ฟู่เทียนหลงอึ้งอยู่กับที่ มองสุ่ยหลิงด้วยใบหน้าราวกับถูกรังแก
เขาหวังจะให้สุ่ยหลิงเปลี่ยนใจ แต่ทว่าใบหน้าของสุ่ยหลิงกลับมีเพียงความโกรธและความแน่วแน่
ครู่หนึ่ง สุ่ยหลิงยังคงไม่มีวี่แววที่จะเปลี่ยนใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมีพี่น้องตระกูลเว่ยที่มองเขาด้วยความโกรธ เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้เลย ฟู่เทียนหลงจึงมองมู่ชิงเกอด้วยสายตาโกรธแค้นแวบหนึ่ง ก่อนจะหันหน้าหนี
เมื่อเรื่องจบลงแล้ว ทุกคนต่างก็แยกย้าย
แต่ทว่า เรื่องนี้กลับถูกกระจายออกไป
“เจ้าทำเช่นนี้ จะยิ่งทำให้เขาเข้าใจผิดมากกว่าเดิม” มู่ชิงเกอเดินเข้าไปหาสุ่ยหลิงแล้วพูดด้วยนํ้าเสียงเย็นชา
ใบหน้าของสุ่ยหลิงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด พลันลดสายตาลง “ข้ารู้ แต่ว่า ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าควรจะพูดกับเขาเช่นไร เขาช่างซื่อบื้อ ไม่เคยใช้หัวคิด ข้าขอโทษมู่เก
อ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทุกอย่างจะเป็นเช่นนี้ ลำบากท่านแล้ว”
มู่ชิงเกอได้แต่ยิ้มขื่นในใจ
นางสัมผัสได้ว่า สุ่ยหลิงกำลังใช้นางเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นความรู้สึกของฟู่เทียนหลง ความรู้สึกของเขาที่มีต่อสุ่ยหลิงนั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก นางยังจะกระตุ้นเขาไปเพื่ออะไรกัน สุดท้ายก็เป็นเรื่องใหญ่จนได้
“ไปเถิด การทดสอบสำคัญกว่า” เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ มู่ชิงเกอก็ทำได้เพียงทิ้งเรื่องนี้เอาไว้ก่อน