ตอนที่ 117-2
ปีศาจจากตระกูลไหนกัน
สุ่ยหลิงพูดพร้อมรอยยิ้มที่ฉายความเศร้าว่า “เขาจะจริงใจกับข้าหรือไม่นั้น ข้ายังไม่ได้คำตอบ แต่ข้ากลับได้รู้ถึงความคิดสกปรกและความหยาบคายของเขา”
“เกมนี้ เจ้าคิดจะเล่นต่อไปหรือ” มู่ชิงเกอหยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน แล้วหันมองนางอย่างเคร่งขรึม
สุ่ยหลิงส่ายหน้า “ไม่แล้ว ที่ดึงท่านเข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ข้าก็รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก ข้าเองก็จะหาโอกาสคุยกับเขา และถามความรู้สึกของเขาให้แน่ใจ พร้อมกับบอกการตัดสินใจของข้า หากไม่รัก ข้าก็จะไม่แต่ง!”
“หากไม่รัก เจ้าก็จะไม่แต่ง แม้ว่าในใจของเจ้าจะมีเขาอยู่” มู่ชิงเกอพึมพำ
สุ่ยหลิงหน้าแดง นางไม่ได้ปฏิเสธคำตอบประโยคหลังของมู่ชิงเกอ
มองนางอย่างพินิจแวบหนึ่ง มู่ชิงเกอพูดอย่างกระจ่างว่า “เจ้าช่างเป็นคนมีหลักการโดยแท้”
“บางที ข้าอาจจะแค่ไม่อยากดูด้อยค่าเพราะทุ่มเทกับความรักมากเกินไปก็เท่านั้น” สุ่ยหลิงเอ่ยขึ้น
นอกประตูทางเข้าโรงโอสถ มีลูกศิษย์ชุดขาวยืนไพล่มืออยู่หน้าประตู
ด้านหลังของเขา เผยให้เห็นทั่วบริเวณของโรงโอสถ
ประตูสูงประมาณสามเมตรและหนาแน่น เต็มไปด้วยลวดลายของยาสมุนไพรนับพันชนิดสลักอยู่ พร้อมกับคำอธิบายราวกับประตูเป็นตำราสมุนไพรเล่มหนึ่ง หน้าประตู มีขั้นบันไดที่ปูด้วยหยกเรียงตัวลงมาตามเส้นทาง
ในตอนนี้ บริเวณสุดปลายบันไดมีเงาร่างของผู้คนปรากฏอยู่บ้างแล้ว ลูกศิษย์ชุดขาวที่เฝ้าประตูอยู่ เมื่อเห็นว่ามีคนปรากฏตัว ขึ้นจึงพูดด้วยนํ้าเสียงที่มีชีวิตชีวาเสียงดังว่า “หากธูปหมดไปอีกครึ่งดอกจะหมดเวลาทดสอบ ผู้ที่ได้สมุนไพรมาครบแล้ว ก็ให้ส่งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบ ผู้ที่ผ่านการทดสอบ จะได้เข้าสู่โรงโอสถ”
เพราะการตะโกนของเขา ทำให้ผู้คนที่ในตอนนี้ยืนอยู่ตรงบันไดต่างก็เร่งฝีเท้า
ส่วนผู้คนที่ยังไม่มาไม่ถึง ก็ล้วนเร่งฝีเท้า เดินมุ่งไปยังประตูทางเข้าโรงโอสถ
เวลาครึ่งวัน การจะหายาสมุนไพรห้าชนิดนั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนักเรียนเตรียมของโรงโอสถ แต่สิ่งที่ยากคือ จะสับสนยาสมุนไพรที่คล้ายกันหรือไม่
เมื่อทั้งสี่เดินขึ้นบันไดไป ก็ได้เห็นผู้ที่พ่ายแพ้เพียงสับสนชนิดของยา ยืนทำหน้าเศร้าอยู่ข้างๆ
“มู่ มู่เกอข้าตื่นเต้น” อยู่ ๆ เว่ยกว่านกว่านก็กำแขนเสื้อของมู่ชิงเกอเอาไว้แน่น พลางกระซิบ
มู่ชิงเกอหันไปมองนางแวบหนึ่งแล้วปลอบใจว่า “อย่าได้กลัวไป ยาสมุนไพรของเจ้าถูกต้องทั้งหมด”
เว่ยกว่านกว่านพยักหน้าอย่างแรง พร้อมสูดลมหายใจเข้าแล้วจึงปล่อยล่อยแขนเสื้อของมู่ชิงเกอออก
“ดูสิ เทียนหลงมาถึงแล้ว” อยู่ ๆ เว่ยฉีก็มองไปยังท่ามกลางผู้คนแล้วพูดกับทั้งสาม
คนที่หันไปคนแรกคือสุ่ยหลิง แต่ทว่า หลังจากที่นางเห็นเงาร่างของฟู่เทียนหลงก็รีบเคลื่อนสายตาออก ราวกับไม่อยากเห็นคนผู้นี้ มู่ชิงเกอเองก็เงยสายตาขึ้นมองแวบหนึ่ง แล้วพูดกับทั้งสามว่า “เราเอายาไปส่งก่อนเถิด”
ทั้งสามพยักหน้า
ทั้งสี่เดินขึ้นบันไดเข้าไปหาลูกศิษย์ชุดขาวเหล่านั้น
ตรงบริเวณเอวของลูกศิษย์เหล่านั้น ล้วนมีถุงยาแขวนอยู่ ยาที่ผ่านการตรวจสอบต่างถูกโยนเข้าถุงยา เมื่อเดินมาถึงบริเวณหน้าโรงโอสถ หน้าประตูที่สูงประมาณสามเมตร ทุกคนอดไม่ได้ที่จะยืดคอขึ้นมอง
“ช่างสง่า!” เว่ยฉีพึมพำกล่าวชม เว่ยกว่านกว่านเองก็พยักหน้าอย่างตื่นเต้น “ยืนอยู่ หน้าประตูบานนี้ ข้ารู้สึกว่าตนเองตัวเล็กมาก”
“นี่คือประตูทางเข้าโรงโอสถหรือ” สุ่ยหลิงพึมพำเบาๆ ในแววตาฉายความตื่นเต้นและตะลึงจนไม่อาจจะซ่อน เอาไว้ได้
อยู่ ๆ ดวงตาอันสดใสของนางก็เป็นประกาย นางเข้าไปใกล้มู่ชิงเกอและคุมน้ำเสียงให้ต่ำแล้วพูดว่า “บนประตูบานนี้เหมือนจะมีมนต์ป้องกันต้องห้ามที่ทรงพลังมากอยู่”
ในดวงตาอันสว่างของมู่ชิงเกอแฝงความแปลกใจ
ซือมั่วเคยบอกว่า ผู้ที่มีตาทิพย์สามารถมองทะลุทุกการพรางตา นางกลับคิดไม่ถึงว่าสุ่ยหลิงจะสามารถมองเห็นมนต์ที่ซ่อนอยู่บนประตูบานนี้ได้
แม้กระทั่งนาง ที่ในตอนนี้ห่างกับสายม่วงเพียงก้าวเดียว แม้จะรู้จักมนต์ต้องห้ามบ้าง แต่ก็เพียงสัมผัสได้ว่ามีพลังกดดันบางอย่างที่แผ่ออกมาจากประตูบานนี้ ความรู้สึกที่ชัดเจนอีกประการหนึ่งคือ รูปของยาสมุนไพรชนิดต่าง ๆ ที่สลักอยู่บนประตูราวกับเป็นการเรียงลำดับของอะไรบางอย่าง “พวกเจ้า ยังไม่เอายามาส่งอีก” ทันใดนั้น ก็มีเสียงเร่งพวกเขา
เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ และส่งยาสมุนไพรของตนเองให้กับศิษย์ชุดขาว แล้วยืนรออยู่ข้างๆ
ไม่นาน ศิษย์ชุดขาวก็ตรวจสอบจนได้รับผลลัพธ์ แล้วให้ทั้งสี่ไปยืนอยู่ด้านข้างของคนที่มีสิทธิ์เข้าสู่โรงโอสถ
ทันทีที่ทั้งสี่เข้าไป มู่ชิงเกอก็มองเห็นฟ่งอวี๋กุยที่อยู่ท่ามกลางผู้คนในทันที
แต่ทว่า ในตอนนี้ฟ่งอวี๋กุยกลับไม่มองนางเลยแม้แต่สายตาเดียว ราวกับไม่รู้จักนาง ทำให้นางรู้สึกแปลกใจ
“สุ่ยหลิง” ฟู่เทียนหลงเดินเบียดเข้ามาอยู่ข้าง ๆ สุ่ยหลิงท่ามกลางผู้คน แล้วเปล่งเสียงเรียกเบา ๆ
สุ่ยหลิงหันหน้าหนี ใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก ฟู่เทียนหลงหน้าซีดและรีบพูดว่า “สุ่ยหลิงข้ารู้ว่าเจ้าโกรธ เมื่อครู่นี้ข้าโกรธจนหน้ามืดตามัว ข้า ข้าผิดไปแล้ว”
สุ่ยหลิงยังคงไม่สนใจเขา
ฟู่เทียนหลงรีบพูดอย่างเคร่งเครียดว่า “สุ่ยหลิงเจ้าอย่าไม่สนใจข้า! เจ้าบอกมา ว่าข้าควรจะทำอย่างไร เจ้าจึงจะให้โอกาสข้า”
ในที่สุด สุ่ยหลิงก็หันกลับไปมองเขา หลังจากที่คิดทบทวนครู่หนึ่ง จึงพูดขึ้นท่ามกลางการรอคอยของเขา “เจ้าอยากให้ข้ายกโทษให้เจ้าหรือ”
ฟู่เทียนหลงรีบพยักหน้า
“ได้ เพียงแค่เจ้าต้องยอมรับข้อเสนอเพียงหนึ่งข้อของข้า” สุ่ยหลิงพูดพลางมองเขา
“เจ้าว่ามาเลย” ฟู่เทียนหลงมองนางอย่างจริงใจ
สุ่ยหลิงเม้มปากและพูดกับเขาว่า “ต่อไปเจ้าอย่าได้วู่วามเช่นนี้อีก และอย่าทำร้ายคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”
“ที่แท้เจ้าก็โกรธเพราะคนแซ่มู่!” นํ้าเสียงของฟู่เทียนหลงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่ว่า หลังจากที่เขาเห็นสีหน้าของสุ่ยหลิงที่เย็นเยียบลง ก็รีบพูดว่า “ได้ ๆ ข้ารู้แล้ว ข้าจะปรับปรุงตัว”
สุ่ยหลิงหลุบสายตาลง และพูดอย่างเย็นชาว่า “ไปขอโทษมู่เกอ”
“ข้า” ฟู่เทียนหลงหายใจไม่ทั่วท้อง เขาไม่อยากจะขอโทษมู่ชิงเกอ แต่พอคิดถึงคำพูดของฟ่งอวี๋กุย และท่าทางที่สุ่ยหลิงมีต่อเขาในตอนนี้ เขาจึงจำเป็นต้องไปขอ โทษมู่ชิงเกอ
ทันทีที่เขาเดินเข้ามาใกล้ เว่ยฉีและเว่ยกว่านกว่านก็มองเขาด้วยความระแวง
เขามองพี่น้องตระกูลเว่ยแวบหนึ่ง แล้วพูดกับมู่ชิงเกอว่า “ขอแค่ต่อไปนี้ เจ้าออกห่างจากสุ่ยหลิง ข้าก็จะไม่ยุ่งกับเจ้าอีก”
“นี่! ฟู่เทียนหลง นี่เป็นนํ้าเสียงที่เจ้าใช้ขอโทษหรือ” เว่ยกว่านกว่านแสดงความไม่พอใจออกมาเป็นคนแรก
ใบหน้าของเว่ยฉีเองก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน
มู่ชิงเกอหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “เจ้าเคยเห็นข้าเข้าใกล้ใครอย่างนั้นหรือ” คนของเจ้าเป็นคนเข้าหาก่อนมิใช่หรือไง
“ข้าไม่สน!” ฟู่เทียนหลงกลับไม่ฟังเหตุผล “อย่างไรก็ตาม เรื่องเมื่อครู่ที่ผ่านมา ข้าเป็นคนผิด ข้าไม่ได้คิดร้ายกับเจ้าและไม่ได้คิดจะทำร้ายสุ่ยหลิง เจ้าอยู่ให้ห่างจากสุ่ยหลิงก็พอ”
พูดจบ เขาก็ไม่แม้กระทั่งจะสนใจว่ามู่ชิงเกอยอมรับคำขอโทษหรือไม่ ก็รีบเดินกลับไปหาสุ่ยหลิงทันที
“ช่างดื้อด้านนัก!” เว่ยกว่านกว่านพูดพลางสับเท้า