Skip to content

พลิกปฐพี 121-2

ตอนที่ 121-2

ศิษย์น้องมู่เจ้าไหวหรือไม่

“จากกลิ่นแล้ว น่าจะเป็นยาระดับกลางที่มีคุณภาพระดับกลางหรือไม่ก็ระดับสูง” ” มิได้ปรุงยาระดับสูงออกมาอย่างนั้นหรือ ไหนบอกว่าเขาสามารถปรุงยาระดับสูงได้มิใช่เหรอ”

“โธ่เจ้าคิดเหรอว่ายาระดับสูงเป็นอะไรที่จะปรุงได้สำเร็จโดยง่ายเช่นนี้”

” หากเป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่เฉินก็แพ้แน่น่ะสิ”

” ก็ไม่แน่ หลังจากที่ปรุงยาจนสำเร็จแล้วต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ไม่แน่ว่าในขณะที่ยาปรุงสำเร็จแล้วเกิดผิดพลาดอีกนะ”

“ก็จริงๆ!”

เพราะกลิ่นหอมอันเข้มข้นที่ลอยออกมาจากหม้อของฟ่งอวี๋กุยทำให้ผู้ชมการประลองต่างวิพากษ์วิจารณ์กันมากขึ้นเรื่อย ๆ

จนถึงวินาทีนี้ มู่ชิงเกอจึงรู้ว่าศิษย์พี่ที่ประลองการปรุงยากับฟ่งอวี่กุยแซ่เฉิน

“ดูสิ! กำลังจะเอายาออกจากหม้อแล้ว!” มีคนส่งเลียงอย่างตื่นเต้นแต่ต้องพยายามกดเสียงให้ต่ำลงราวกับกลัวว่าหากเสียงตนเองดังเกินไปจะรบกวนนักปรุงยา

ฟ่งอวี๋กุยออกแรงสะบัดบนหม้อ ฝาหม้อเปิดออกในทันที และกลิ่นหอมอันเข้มข้นก็กระจายไปทั่วสารทิศรวมไปถึงตำแหน่งของผู้คนที่มาชมการประลอง

เม็ดยาสีส้มเหลืองเม็ดหนึ่งได้พุ่งตัวขึ้นฟ้า ฟ่งอวี๋กุยยื่นมือออกไปรับและกำมันเอาไว้ในฝ่ามือ

ไม่รู้ว่าเพราะได้รับผลกระทบจากยาที่ฟ่งอวี๋กุยปรุงสำเร็จหรืออย่างไร เพราะในขณะเดียวกันนี้ หม้อยาที่อยู่ตรงข้ามได้เกิดเสียงระเบิดและมีกลุ่มควันสีดำที่ส่งกลิ่นเหม็นลอยออกมาอีกหน

“เหตุใดจึงล้มเหลวอีกแล้ว” “ศิษย์พี่เฉินเป็นอะไรไป วันนี้ผิดพลาดสองรอบแล้ว” ท่ามกลางผู้คนมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นเบาๆ ศิษย์พี่เฉินหน้าซีดเผยให้เห็นถึงอารมณ์ที่ไม่สู้ดีนัก ย้อนกลับไปดูที่ฟ่งอวี๋กุย ในตอนนี้ในมือได้มียาที่ปรุงเสร็จแล้ววางเอาไว้ในมือราวกับต้องการจะให้ผู้ชมได้ชื่นชม ท่าทางเย่อหยิ่งเป็นอย่างมาก สายตาเต็มไปด้วยความได้ใจ

“นี่ ดูสีของยาเม็ดนั้นสิ ดูเหมือนว่าจะเป็นยาระดับกลางที่มีคุณภาพระดับกลาง” “หึ มีอะไรน่าประทับใจ ข้ามาเพื่อดูยาระดับสูงแต่กลับปรุงได้เพียงเท่านี้” เสียงวิพากษ์วิจารณ์นี้ลอยเข้าหูของฟ่งอวี๋กุย ทำให้สีหน้าที่แฝงความหยิ่งยโสของเขาเปลี่ยนไปและหันไปมองคนพูดด้วยสายตาอันโหดเหี้ยม

ค่อย ๆ เก็บสายตาลง ฟ่งอวี๋กุยมองไปยังศิษย์พี่เฉิน แล้วกระตุกรอยยิ้มพร้อมพูดว่า “ศิษย์พี่ ข้าได้ปรุงสำเร็จแล้ว โอกาสสุดท้ายของท่านโปรดรักษาเอาไว้ให้ดี”

ในสายตาของศิษย์พี่มีความแค้นเกิดขึ้นแวบหนึ่งก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย

สำหรับคำพูดอันหยิ่งยโสของฟ่งอวี๋กุย เขาเพียงแค่ตอบกลับอย่างอึดอัด “ขอบคุณศิษย์น้องที่เตือน”

พูดจบ เขาราวกับไม่ได้รับผลกระทบประการใดและเริ่มเตรียมยาอีกชุด

“พลาดอีกแล้วอย่างนั้นหรือ การรับรองการปรุงยาระดับกลางของเขาเป็นของปลอมหรืออย่างไร” เว่ยกว่านกว่านเอนตัวกลับมานั่งที่เดิมแล้วพูด

“อย่าได้พูดจาเช่นนี้ การทดสอบการปรุงยาของโรงโอสถนั้นเคร่งครัดเป็นอย่างมาก จะปลอมได้อย่างไร อีกอย่างหากว่าเขาปลอมขึ้นมา เขาก็ย่อมรู้ความสามารถ ที่แท้จริงของตนเองจะกล้าท้าการประลองเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า” เว่ยฉีปฏิเสธ

“แล้วเหตุใดจึงได้พลาดแล้วพลาดอีก เจ้าคนโหดเหี้ยมอย่างฟ่งอวี๋กุยกลับสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก!” เว่ยกว่านกว่านพูดอย่างไม่พอใจ

เว่ยฉีไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้เพียงส่ายหน้าและพูดว่า “บางที….บางที วันนี้เขาอาจจะโชคไม่ดีก็ได้”

โชคไม่ดีอย่างนั้นหรือ คำพูดนี้ลอยเข้าหูของมู่ชิงเกอและทำให้นางเผยรอยยิ้มอันเย็นเยียบ

ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าวันนี้เขาโชคไม่ดีจริง ๆ ก่อนหน้านั้นนางก็เคยได้ยินมาแล้วว่าผู้ที่จะประลองกับฟ่งอวี๋กุย ราวกับจะเป็นผู้ติดตามของเตียวหยวน การประลองในครานี้ความจริงแล้วเป็นการพิสูจน์ฝีมือที่เตียวหยวนจัดฉากขึ้น แต่ทว่าในการประลองจริง อีกฝ่ายกลับพลาดแล้วพลาดอีก ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลเป็นแน่

ยาที่ทั้งสองจะปรุง เมื่อครู่นี้ลูกศิษย์ฝึกหัดได้ประกาศต่อสาธารณะแล้ว ยาทั้งสองชนิดไม่ใช่ยาที่ปรุงยากนัก ตามหลักแล้วจะต้องไม่มีข้อผิดพลาดอันใด

หากเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าจงใจ

จงใจแพ้การประลอง

แต่ว่าเพราะอะไรกันเล่า

มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว ราวกับว่านางคิดอย่างไรก็ไม่กระจ่างว่าเหตุใดการประลองยาที่มีขึ้นเพื่อให้ฟ่งอวี๋กุยขายหน้านี้ จึงได้แปรเปลี่ยนเป็นเช่นนี้

“ผู้ที่สามารถทำให้ศิษย์พี่เฉินจงใจแพ้นั้น มีเพียงผู้เดียว แต่ว่าเหตุใดคนผู้นั้นจึงล้มเลิกความคิดที่จะพิสูจน์ฝีมือ และให้ความช่วยเหลือฟ่งอวี๋กุยนะ” มู่ชิงเกอวิเคราะห์ในใจ ความจริงได้เปิดเผยต่อหน้านางแล้วครึ่งหนึ่ง แต่ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ยังคงไม่ชัดเจน บนเวทีประลอง ฟ่งอวี๋กุยได้ปรุงยาเสร็จแล้ว และยืนรอ การปรุงยาโอกาสสุดท้ายของศิษย์พี่เฉินอยู่ข้าง ๆ ในตอนแรกทุกคนคิดว่าควรจะได้เห็นยาที่ศิษย์พี่เฉินปรุงออกมาได้ในครั้งนี้ แต่ไม่คิดว่า ในขณะที่ศิษย์พี่เฉินเทผงยาลงในหม้อจะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นอีกหน ผิดพลาดทั้งสามครั้งถือว่าแพ้ ทำให้ผู้ชมวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมาในทันที สายตาของฟ่งอวี๋กุยฉายความได้ใจอีกหน พลันประสานหมัดและพูดว่า “ศิษย์พี่เฉิน ขอบคุณที่อ่อนข้อให้”

สีหน้าของศิษย์พี่เฉินดูแย่มาก ท่ามกลางเสียวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคน เขาพูดด้วยนํ้าเสียงที่แฝงความอึดอัดว่า “ข้าประเมินความสามารถของศิษย์น้องตํ่าไปและ ตนเองก็เป็นคนอารมณ์ร้อน เลยอยากจะท้าทายด้วยยาระดับกลางคุณภาพสูงสุด การประลองในครั้งนี้ ข้ายอมแพ้ทั้งกายและใจ”

เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ทุกคนจึงกระจ่างในทันที แท้จริงแล้วเพราะศิษย์พี่เฉินคอยกังวลคุณภาพของยา จึงได้ทำให้ผิดพลาด

คำพูดนี้ของเขา ทำให้แทบจะทุกคนคลายความสงสัยทั้งหมดที่มีต่อการประลองในครานี้และรับรู้ความจริงได้ในไม่ช้า

แต่ว่า สำหรับการอธิบายนี้ มู่ชิงเกอกลับไม่เชื่อ

“เอาเถิด ตอนนี้ก็รู้ผลลัพธ์แล้ว แต่ว่าตามพิธีการ ข้าเป็นกรรมการจะต้องตรวจสอบยาที่ฟ่งอวี๋กุยปรุง” ผู้อาวุโสที่รับผิดชอบจัดการประลองในครั้งนี้เดินออกมาแล้วประกาศ

ฟ่งอวี๋กุยยื่นยาให้กับผู้อาวุโสอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากที่ผู้อาวุโสรับยามาพินิจครู่หนึ่ง ก็คืนให้เขาและพยักหน้า พร้อมพูดว่า “ไม่เลว ยาระดับกลางที่มีคุณภาพระดับกลาง ในการประลองการปรุงยาในครั้งนี้ ฟ่งอวี๋กุย ชนะ!”

หลังจากที่ประกาศผลการประลองแล้ว ก็ไม่ได้ทำให้คนดูมีปฏิกิริยาอันใดมากนัก ทุกคนต่างยืนขึ้นและกระจายกันเดินออกไป ราวกับว่าผิดหวังกับการประลองยาครั้งนี้เป็นอย่างมาก

ฟ่งอวี๋กุยที่เห็นภาพบรรยากาศเช่นนี้ใบหน้าก็ดูเคร่งขรึมแย่ลงเป็นอย่างมาก

แม้ว่าเขาจะชนะ แต่ว่าคู่ประลองของเขาศิษย์พี่เฉิน กลับไม่ใช่บุคคลที่เป็นต้นแบบของโรงโอสถ เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าเขาจะชนะ นอกจากชื่อเสียงแล้วก็ไม่ได้รับประโยชน์อันใดเลย

และในตอนนี้เขารู้สึกราวกับว่าชื่อเสียงที่เขาได้รับก็มิได้มากมายนัก

“หากรู้ตั้งแต่แรกว่าการประลองในวันนี้จะจืดชืดได้มากถึงเพียงนี้ ค่อยมาชมการประลองวันพรุ่งนี้ยังจะดีกว่า”

“ใช่ๆ การประลองในวันพรุ่งนี้เป็นถึงการประลองของบุคคลต้นแบบของโรงโอสถอันดับแปดอย่างซ่งอวี้และศิษย์ใหม่อย่างมู่เกอ ที่สำคัญมู่เกอเป็นเพียงแค่ นักปรุงยาระดับตํ่า แต่กลับมีระดับความแข็งแกร่งทางพลังจิตที่สูงกว่าศิษย์พี่เหมย ความแตกต่างมากถึงเพียงนี้ไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุพลิกผันอันใดขึ้นหรือไม่”

“เหตุพลิกผันน่ะเป็นไปไม่ได้ ศิษย์พี่เหมยเคยกล่าวเอาไว้แล้วมิใช่หรือ ว่าความแข็งแกร่งทางพลังจิตเป็นตัวแทนพรสวรรค์ แต่ก็มิได้หมายถึงความสามารถในการปรุงยาของเขาในตอนนี้ ไม่แน่ว่าศิษย์น้องมู่ผู้นั้นอาจจะเพิ่งเคยปรุงยาก็เป็นได้”

“อย่างไรก็ตาม แม้จะรู้ว่าตอนจบเป็นอย่างไร แต่ก็น่าสนใจมากกว่าวันนี้ อย่าว่าแต่ศิษย์พี่ซ่งอวี้ผู้โด่งดังเลย บางทีศิษย์พี่เหมยก็อาจจะมาด้วย”

“ว่าอย่างไรนะ ศิษย์พี่เหมยอาจจะมาอย่างนั้นหรือ ข่าวของเจ้าเชื่อถือได้หรือไม่ ศิษย์พี่เหมยน่ะไม่ค่อยออกมาให้เห็นหรอกนะ”

“หึ เจ้าเองยังบอกว่าศิษย์พี่เหมยไม่ค่อยออกมาให้ได้พบเจอ แต่ทว่าเขากลับออกรับหน้าแทนศิษย์น้องมู่ ข้าคิดว่าความเป็นไปได้ที่ศิษย์พี่เหมยจะมาในวันพรุ่งนี้นั้นสูงมาก”

“ถ้าเป็นเช่นนั้น พรุ่งนี้จะมีคนมาดูมากกว่านี้ใช่หรือไม่ ไม่ได้การแล้ว พรุ่งนี้เราต้องรีบมาจองที่!”

ข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่ควรจะเป็นเรื่องที่ฟ่งอวี๋กุยได้รับชัยชนะ แต่กลับถูกการประลองในวันพรุ่งนี้ของมู่ชิงเกอเข้ามาแทนที่

คำพูดเหล่านี้ลอยเข้าหูของฟ่งอวี๋กุยทำให้หน้าใบที่มีภูมิฐานของเขาบิดเบี้ยวขึ้นมา

ในยามค่ำคืนโรงโอสถเงียบเหงาเป็นพิเศษ

โรงโอสถที่ตั้งอยู่บริเวณชายแดนของผืนป่าหมีเมิ่งอยู่แล้วในตอนแรก ในวินาทีนั้นนอกจากเสียงแมลงแล้ว ก็ยากที่จะได้ยินเสียงอื่นใด

ทันใดนั้น เงาร่างสีดำเงาหนึ่งได้หลบหลีกผู้คนอย่างไม่ทิ้งร่องรอย ก่อนจะเข้าไปในผืนป่าอันเงียบสงบ

ทันทีที่เขาพุ่งตัวเข้าไปในผืนป่า ก็ได้เปิดผ้าคลุมสีดำออก เผยให้เห็นใบหน้าของตนเอง

ที่ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงพระจันทร์อันเงียบเหงา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version