Skip to content

พลิกปฐพี 121-3

ตอนที่ 121-3

ศิษย์น้องมู่เจ้าไหวหรือไม่

เขาเผยใบหน้าออกมา ผู้ที่ยืนอยู่หลังต้นไม้ต้นหนึ่งจึงได้เดินออกมา และถามด้วยนํ้าเงียบอันแฝงความอึดอัดว่า “องค์ชายสามฟ่ง คืนนี้ท่านเรียกข้ามาเพื่อการใด”

ท่าทางเช่นนั้น ทำให้ฟ่งอวี๋กุยไม่พอใจเป็นอย่างมาก

เขาขมวดคิ้วพูดว่า “ท่านพี่ฟู่เราวกับไม่อยากจะพบข้า”

ฟู่เทียนหลงเงียบและเคลื่อนสายตาออก ท่าทางนั้นชัดเจนจนไม่ต้องอธิบาย

ในสายตาของฟ่งอวี๋กุยมีความเย็นเยียบเกิดขึ้นเพียงครู่หนึ่ง สายตาเช่นนี้ก็ได้หายไป

เขาพูดกับฟู่เทียนหลงพร้อมรอยยิ้มว่า “ที่เรียกท่านพี่ฟู่มาในวันนี้ ก็เพราะจะถามว่า ยาที่ข้ามอบให้ ท่านได้ให้เจ้าแซ่มู่กินแล้วหรือยัง”

ฟู่เทียนหลงหรี่ตาลงและตอบว่า “หากว่าไม่เชื่อในตัวข้า เหตุใดจึงต้องให้ข้าเป็นคนลงมือ”

ฟ่งอวี๋กุยพูดพร้อมรอยยิ้ม “เหตุใดจะไม่เชื่อในตัวท่าน พี่ฟู่ เจ้าแซ่มู่นั้นเป็นคนบ้าบิ่นและเจ้าแผนการ ข้าเพียงเป็นห่วงท่านพี่ฟู่เก็เท่านั้น”

“วางใจเถิด” ฟู่เทียนหลงมองเขาอย่างแนบนิ่ง

สายตาของฟ่งอวี๋กุยมืดมนลง พูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ดี ได้ยินคำพูดเหล่านี้จากท่านพี่ฟู่ ข้าเองก็วางใจ หลังจากที่เจ้าแซ่มู่แพ้การประลองการปรุงยาในวันพรุ่งนี้ ปัญหาทั้งหมดของเราก็จะคลี่คลาย”

ฟู่เทียนหลงราวกับไม่ใส่ใจในเรื่องเหล่านั้น เพียงแค่พูดกับฟ่งอวี๋กุยอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าเคยบอกแล้วว่า หากข้าช่วยท่าน ท่านจะบอกข้าว่าต้องทำอย่างไรให้ สุ่ยหลิงเปลี่ยนใจ”

“ทำไมรึ ช่วงที่ผ่านมานี้ สุ่ยหลิงยังตัดใจจากเจ้าแซ่มู่ไม่ได้หรือ” ฟ่งอวี๋กุยถาม

ฟู่เทียนหลงเม้มปากและพูดว่า “แม้ว่าช่วงนี้สุ่ยหลิงจะห่างจากเขา แต่ข้าสัมผัสได้ว่า ในใจนางมีเรื่องค้างคา”

สายตาของฟ่งอวี๋กุยเปลี่ยนไปและพูดกับฟู่เทียนหลงว่า “วางใจเถิด ท่านพี่ฟู่ ท่านช่วยข้า แน่นอนว่าข้าจะต้องรักษาสัญญา ทันทีที่เจ้าแซ่มู่แพ้ในวันพรุ่งนี้ ตอนกลางคืนท่านมารอข้าที่นี่เหมือนเดิม ข้าจะให้ของสิ่งหนึ่งกับท่าน เมื่อมีของสิ่งนั้น ก็จะทำให้แม่นางลุ่ยหลิงเป็นของท่านอย่างแท้จริง ถึงตอนนั้นท่านยังจะกลัว

ว่านางจะเปลี่ยนใจอีกหรือ” พูดจบ ฟ่งอวี๋กุยก็ปิดผ้าคลุมหน้าลงอีกหน และหายไปท่ามกลางท้องฟ้าสีรัตติกาล

ฟู่เทียนหลงหยุดอยู่ที่เดิมเพียงลำพัง และคิดทบทวนคำพูดทั้งหมดของฟ่งอวี๋กุย

ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็มีเปลวเพลิงแห่งโทสะเกิดขึ้น และกัดฟันมองไปยังทิศทางที่ฟ่งอวี๋กุยจากไปด้วยความโกรธ

เขาเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของฟ่งอวี๋กุย แต่ว่าเขาจะใช้วิธีการเลว ๆ เช่นนั้นกับสุ่ยหลิงได้อย่างไรกัน

“หึ! พวกเลว!” ฟู่เทียนหลงด่าอย่างแค้นเคือง ก่อนจะหันหลังและเดินเข้าผืนป่าไป

ฟ้าเพิ่งจะสว่าง ลูกศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนของโรงโอสถก็รีบเดินทางไปยังเวทีการประลอง ราวกับกลัวว่าหากช้ากว่านี้จะไม่มีที่นั่งที่ดีเหลืออยู่

ห่างจากเวลาการนัดหมายอีกหนึ่งชั่วยาม แต่อัฒจันทร์บริเวณเวทีการประลองที่บรรจุคนได้เป็นพันคนในตอนนี้ได้มีผู้คนเบียดเสียดกันเต็มไปหมด ที่นั่งพันกว่าที่นั่ง ไม่เพียงแค่ไม่มีที่ว่างเลย แต่ถึงขั้นว่ามีผู้คนมากมายที่มาจองที่ไม่ทัน แต่ยังยืนอยู่บนพื้นที่ว่าง ไม่ยอมจากไป

บรรยากาศที่เต็มไปด้วยผู้คนเช่นนี้ ราวกับได้ตอกยํ้าการประลองของฟ่งอวี๋กุยที่เกิดขึ้นเมื่อวาน

“ดูสิ! นั้นศิษย์พี่ซางมิใช่หรือ”

“ศิษย์พี่จูด้วย!”

หญิงสาวที่งดงามเป็นอันดับหนึ่งของโรงโอสถ รวมทั้งจูหลิงที่งดงามอยู่แล้วได้กลายเป็นแสงสว่างให้กับงานประลองนี้อย่างไม่อาจจะปฏิเสธได้

หญิงสาวทั้งสองเดินจูงมือกันเข้ามา เพื่อดูซ่งอวี้และมู่ชิงเกอ

ทุกคนเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาในทันที ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังอยู่รอบข้าง จูหลิงก็ผุดรอยยิ้มจาง ๆ และพูดข้างหูซางจื่อซูว่า “ที่ข้ามาเพื่อให้กำลังใจศิษย์น้องซ่ง แล้วจื่อซูล่ะมาเพื่อให้กำลังใจใคร”

คำพูดหยอกเย้าของนาง ไม่ได้ทำให้ซางจื่อซูมีปฏิกิริยาอันใดเลย เพราะนางยังคงเย็นชาดั่งนํ้าแข็งและราวกับเพียงแค่เดินผ่านมาที่นี่เท่านั้น

“ศิษย์พี่จ้าวเองก็มาแล้ว!” ความตื่นตระหนกเกิดขึ้นท่ามกลางผู้คนอีกหน

จ้าวหนานซิงในฐานะองค์ชายแห่งแคว้นอวี๋ รวมทั้งรูปลักษณ์อันทรงภูมิของเขา ให้ความรู้สึกดีกับผู้คนที่พบเจอด้วยตลอด อีกประการหนึ่งท่าทางอันมีมารยาท ไม่เสแสร้งและไม่ถือตัวเพราะฐานะองค์ชายทำให้เขาอบอุ่นและอ่อนโยนเป็นอย่างมาก พูดได้เลยว่า หากมองข้ามเรื่องการจัดอันดับ จ้าวหนานซิงควรจะเป็นคนที่ได้รับความนิยมชมชอบมากที่สุดรองจากเหมยจื่อจ้ง

ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้นก็ได้เรียกเสียงกรีดร้องจากหญิงสาวแห่งโอสถจำนวนนับไม่ถ้วน

สำหรับพวกนางแล้วเหมยจื่อจ้งสูงส่งมากเกินไปทำให้พวกนางทำได้เพียงแค่มองเท่านั้น จ้าวหนานซิงต่างหากที่มีความเป็นไปได้สูงและทำให้พวกนางจินตนาการไปต่าง ๆ นานา

แต่ทว่า จ้าวหนานซิงกลับทำราวกับไม่เห็นหญิงสาวที่ชื่นชมเขา หลังจากที่กวาดสายตามองท่ามกลางผู้คนแวบหนึ่งก็ได้หยุดสายตาลงที่เงาร่างเย็นชาข้างกายจู หลิง

ส่วนหญิงสาวที่อยู่รอบข้าง จ้าวหนานซิงเพียงแค่ยิ้มตามมารยาทแล้วจ้าวหนานซิงก็เดินเข้าไปหาซางจื่อซู

เมื่อเห็นฉากนี้ หญิงสาวที่อยู่ท่ามกลางผู้คนล้วนส่งเสียงอุทานอย่างไม่ขาดสาย

“บุคคลต้นแบบแห่งโรงโอสถห้าอันดับแรกมาถึงที่นี่ถึงสามคนเชียวหรือ!” มีคนยกนิ้วขึ้นมานับและค้นพบด้วยความประหลาดใจ

ข้าง ๆ เขา กลับมีคนพูดเตือนว่า “สามอะไรกัน สี่ต่างหากล่ะ ไม่เห็นศิษย์พี่เตียวที่มานั่งอยู่แล้วหรือ” พูดจบเขาก็ชี้ไปยังบริเวณอันห่างออกไปอย่างระมัดระวัง ราวกับกลัวว่าคนผู้นั้นจะเห็น

ผู้ที่ถูกกล่าวเตือนมองตามไปยังบริเวณที่เขาชี้และเห็นเตียวหยวนจริง ๆ รวมทั้งฟ่งอวี๋กุยที่อยู่ข้าง ๆ เขา “หืม? นั่นไม่ใช่ฟ่งอวี๋กุยที่ได้รับชัยชนะเพราะโชคเข้าข้างหรือ”

“ใช่ ในตอนแรกข้าก็คิดว่าศิษย์พี่เฉินห่วงชัยชนะมากจนเกินไป จึงทำให้ปรุงยาผิดพลาดจนเสียเปรียบให้กับฟ่งอวี๋กุย แต่ว่าในวันนี้พอเห็นว่าเขาเดินเข้ามาพร้อมกับศิษย์พี่เตียวและยังเข้าไปนั่งอยู่ในที่นั่งเฉพาะของศิษย์พี่เตียว ข้าก็คิดว่าต้องมีลับลมคมในอะไรบางอย่าง”

“ลับลมคมในอันใดหรือ” มีคนถามขึ้นด้วยความสงสัย เมื่อเห็นว่าข้อวิพากษ์วิจารณ์ของตนเองเป็นที่สนใจของคนไม่น้อย คนผู้นั้นก็รีบพูดอย่างได้ใจว่า “เฮอะ ศิษย์พี่เฉินเป็นถึงคนของศิษย์พี่เตียว ที่กล้าท้าประลองอาจจะเป็นคำสั่งของศิษย์พี่เตียว ในตอนนี้ศิษย์พี่เฉินแพ้ และฟ่งอวี๋กุยก็ดูสนิทสนมกับศิษย์พี่เตียว พวกเจ้าคิดว่าจะมีลับลมคมในอะไรซ่อนอยู่ในเรื่องนี้หรือไม่เล่า”

มีคนกระจ่างขึ้นมาในทันที “ถึงว่า! ข้าว่าแล้วเชียว ศิษย์พี่เฉินปรุงยาได้อย่างแม่นยำมาโดยตลอด เหตุใดเมื่อวานจึงได้ดูตื่นเต้นเช่นนั้น”

“ชู่ว~ เรื่องเหล่านี้เราคุยกันก็พอ อย่าได้แพร่งพรายออกไป มิเช่นนั้น…”มีคนพูดเตือน ทุกคนราวกับเห็นท่าทางอันโหดเหี้ยมของเตียนหยวนจากสายตาของเขา และต่างก็ตัวสั่นขึ้นมา พลัน นั่งนิ่งและรักษาความสงบในทันที

ความจริงแล้วอัฒจันทร์ที่นั่งชมการประลองยา ไม่ได้มีที่นั่งที่จัดขึ้นพิเศษอันใด

ทว่า ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เตียวหยวนได้ยึดพื้นที่ทั้งแถบไป ไม่ว่าเขาจะมาชมการประลองยาหรือไม่ ที่ตรงนั้นก็ไม่มีใครกล้านั่งเลย

เมื่อวานนี้ เตียวหยวนไม่มา ที่ตรงนี้จึงว่าง ในวันนี้ เขาปรากฏตัวขึ้น ที่นั่งบริเวณของเขาล้วนถูกเขาและผู้ติดตามของเขาครอบครองเอาไว้ ภาพบรรยากาศอันคึกคักนี้ทำให้ฟ่งอวี๋กุยรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นข้างหูเขาได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“ เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่ายานั้น มู่เกอได้กินเข้าไปแล้ว” เตียวหยวนพูดกับฟ่งอวี๋กุยที่อยู่ข้าง ๆ

เคลื่อนสายตากลับมาจากจ้าวหนานซิงและซางจื่อจู ฟ่งอวี๋กุยพยักหน้า แล้วพูดอย่างมั่นใจว่า “ เจ้าฟู่เทียนหลงนั่นเกลียดมู่เกอเข้ากระดูกดำและเป้าหมายก็ชัดเจน เป็นอย่างมาก มิได้มีความซับซ้อนอันใด สามารถหลอกใช้ได้ง่ายมาก วิธีการที่จะสามารถจัดการกับมู่เกอได้ เขาต้องทำเป็นแน่”

เตียวหยวนกวาดสายตามองเขาอย่างแนบนิ่ง และพูดอย่างเย็นชาว่า “ขอให้เป็นเช่นนั้น”

พูดจบสายตาของเขาก็หยุดอยู่บนเวที ในขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาการประลองบนเวทีจึงไร้ซึ่งผู้คน

แต่ว่า ในส่วนลึกสายตาของเตียวหยวน กลับเต็มไป ด้วยแผนการ

ในวินาทีที่รับรู้ว่ามู่เกอสามารถปรุงยาระดับสูงได้ เขาก็รู้เลยว่าการประลองในวันนี้ถือว่าอันตราย

ยาระดับสูงอย่างนั้นหรือ

ในตอนนี้ภายในโรงโอสถ นอกจากท่านอาจารย์ของเขา ท่านหัวหน้าโรงโอสถหัวชางซู่และท่านอาจารย์ของเหมยจื่อจ้ง อาจารย์ปรุงยาที่มีตำแหน่งสูงส่งที่สุดแห่งโรงโอสถสาขาย่อยโหลวชวนป่ายก็มีเพียงแค่เหมยจื่อจ้งที่เติบโตและเรียนรู้วิชามากับโหลวชวนป่ายเท่านั้นที่ปรุงได้

แม้แต่เขาเองก็ยังไม่สามารถปรุงยาระดับสูงได้

หากมู่เกอสามารถปรุงยาระดับสูงได้ก็ถือว่าเก่งกว่าเขามิใช่หรือ

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ยอมให้มู่เกอปรุงยาระดับสูงได้ มิเช่นนั้นไม่เพียงแค่ซ่งอวี้ที่ต้องแพ้ แม้กระทั่งชื่อเสียงของเขาก็ไม่อาจรักษาไว้ได้ มีเหมยจื่อจ้งนั่งอยู่ด้านบนของเขาก็ทำให้เขารู้สึกเกลียดแค้นจนเข้ากระดูกแล้ว หากมีมู่เกออีกคนยิ่งไม่ต้องพูด ถึงในที่สุด ก็ถึงเวลาการประลองตามที่ได้นัดหมายเอาไว้ ท่านผู้อาวุโสที่รับผิดชอบการประลองบนเวทีเดินออกมาอีกครั้ง และยังคงเป็นคนเดียวกันกับเมื่อวาน เขาขึ้นเวทีและเดินไปอยู่ตรงกลางเวที พลันยกมือขึ้น หยุดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คน เสียงของผู้คนที่พูดอย่างไม่ขาดสายเงียบลงในทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version