ตอนที่ 122-4
ผู้ชมที่ตกตะลึง!
แต่ทว่า เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่และปรากฏอยู่บนยาที่มู่เกอปรุงขึ้น
‘ตั้งแต่ที่เขาปรากฏตัวในโรงโอสถ ไม่ว่าจะทำอะไรก็กลายเป็นจุดสนใจ ทั้งยังกลายเป็นผู้ที่คนรอบข้างยากที่จะเอาชนะ เพราะเหตุใด เพราะเหตุใด!’ เตียวหยวน
แอบตะโกนในใจ
คนที่ริษยามู่ชิงเกอเหมือนกับเขา ยังมีฟ่งอวี๋กุยอีกคน
เขาหวังจะให้มู่ชิงเกอขายหน้า แต่ไม่คิดว่าจะโดนตบหน้าอย่างจังเช่นนี้
อะไรคืออัจฉริยะกัน?
ราวกับว่า ยอดฝีมือทุกคนบนโลก เมื่ออยู่กับมู่ชิงเกอแล้วได้กลายเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง!
“สำเร็จแล้ว ! สำเร็จแล้ว !” เว่ยกว่านกว่านจับเสื้อของเว่ยฉีแล้วเขย่าอย่างสุดแรงเพราะความตื่นเต้น
เว่ยฉีถูกเขย่าจนเกือบจะขาดใจตาย
จากนั้นเว่ยกว่านกว่านก็หันไปมองคนข้างหลังที่ในตอนนี้ราวกับกลายเป็นเศษฝุ่นไปแล้ว “เป็นอย่างไรเล่า จะยอมแพ้โดยดีหรือจะโกง”
ใบหน้าของทั้งห้าบิดเบี้ยวครู่หนึ่ง และส่งตัวแทนออกมาคนหนึ่ง “พวกเจ้าวางใจเถิด เราจะยอมแพ้โดยดี”
อีกคนอุทานว่า “มู่ชิงเกอคนนี้ก็ร้ายกาจเสียจริง มีความสามารถเช่นนี้ เหตุใดจึงต้องทำให้ตนเองเป็นนักปรุงยาระดับต่ำ นี่มันเสือซ่อนเขี้ยวชัดๆ!”
“หึ! ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” เว่ยกว่านกว่านย่นจมูกพร้อมอุทาน
สุ่ยหลิงกระซิบข้างหูฟู่เทียนหลงว่า “มู่เกอชนะแล้ว”
“ข้าเห็นแล้ว’’ฟู่เทียนหลงพูดอย่างเย็นชา
“เจ้าจะบอกอะไรกับเขา” สุ่ยหลิงถามด้วยความสงสัย
นางยังจำได้ว่า ฟู่เทียนหลงและมู่ชิงเกอได้พนันกัน หากมู่ชิงเกอชนะ ฟู่เทียนหลงจะบอกเรื่องบางเรื่องกับเขา
ส่วนเป็นเรื่องอะไรนั้นทำให้สุ่ยหลิงสงสัยเป็นอย่างมาก
“เรื่องนี้เจ้าอย่าได้ถามเลย” ฟู่เทียนหลงเม้มปากไม่ยอมพูด
สุ่ยหลิงแอบเหยียบเท้าเขาด้วยความโกรธ ก่อนจะหันหน้ากลับไป
จำนวนของชิ้นส่วนโอสถที่ออกมาไม่ถือว่ามีเยอะมาก และเมื่อคนจำนวนมากลุกชิ้นแย่ง บรรยากาศจะวุ่นวายมากเพียงใดคงจะสามารถจินตนาการได้
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว พลันยกฝ่ามือขึ้น ยาเม็ดนั้นก็ถูกดูดเข้าไปอยู่ในฝ่ามือของนาง ทันทีที่ยาถูกเก็บ แสงสีครามเขียวก็หายไป ชิ้นส่วนโอสถก็กระจายหายไปในขณะเดียวกัน
มู่ชิงเกออุทานอย่างเย็นเยียบทีหนึ่ง ดังก้องราวกับกับเสียงสายฟ้าก็ไม่ปาน ทำให้ผู้คนที่ตกอยู่สถานการณ์ที่วุ่นวายได้สติขึ้นมาในทันที ผู้ที่ได้สติต่างหันมองนาง กลับเห็นใบหน้าอันงดงามของนางเย็นชาอย่างมิอาจจะหาที่เปรียบได้ แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมในทันที
กวาดสายตามองผู้คนที่เงียบลงอย่างแนบนิ่งอีกรอบ มู่ชิงเกอเดินเข้าไปหาท่านผู้อาวุโส และยื่นยาให้กับเขา “ขอให้ท่านผู้อาวุโสโปรดตรวจดู”
“นี่ นี่มันยาระดับสูง ข้า…” ท่านผู้อาวุโสหน้าแดง
เขาเองก็เป็นเพียงแค่อาจารย์ปรุงยาระดับกลางและไม่เคยปรุงยาระดับสูงได้เลยแม้แต่เม็ดเดียว แล้วจะประเมินว่ายาระดับสูงนี้ดีหรือไม่ดีได้อย่างไร
และในขณะที่เขากำลังลำบากใจ บนอัฒจันทร์ก็ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “ข้าจะดูเอง”
น้ำเสียงนั้นแนบนิ่งและมั่นคงมาก ทั้งบ่งบอกว่าเจ้าของเสียงอายุมากแล้ว สำหรับเรื่องนี้ มู่ชิงเกอไม่คุ้นเคย แต่เหมยจื่อจ้งและอีกสองคนกลับรู้สึกคุ้นหูเป็นพิเศษ
“ท่านอาจารย์!” จ้าวหนานซิงพูดขึ้นอย่างแปลกใจ “คิดไม่ถึงว่าท่านอาจารย์จะกลับมาไวถึงเพียงนี้! ดู เหมือนว่าท่านจะแอบดูอยู่ข้างหลังเป็นเวลานานแล้ว”
ผู้คนต่างกระจายออกไป ชายผมขาวผู้หนึ่งที่สวมผ้าคลุม ค่อย ๆ เดินเข้ามา
ดูจากอายุแล้ว คงจะประมาณหกสิบ แต่มู่ชิงเกอกลับรู้สึกว่า อายุของเขาคงไม่ใช่เพียงเท่านี้
“ท่านอาจารย์โหลว!”
“ท่านอาจารย์โหลวกลับมาแล้ว!”
ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ของทุกคน มู่ชิงเกอได้รู้ถึงฐานะของเขา “ที่แท้เขาก็คือโหลวชวนป่าย’
โหลวชวนป่ายพยักหน้าเบา ๆ ในขณะที่เดินผ่านลูกศิษย์ทั้งสามก็ได้หยุดฝีเท้าลงครู่หนึ่ง
“ท่านอาจารย์!”
“ท่านอาจารย์!”
“ท่านอาจารย์!”
ทั้งสามโค้งคำนับโดยพร้อมเพรียงกัน
จูหลิงเองก็โค้งคำนับและพูดว่า “ท่านอาจารยํโหลว”
“อืม” โหลวชวนป่ายกวาดสายตามองพวกเขาแวบหนึ่ง แล้วจึงเดินไปข้างหน้า
“โหลวชวนป่ายกลับมาแล้วหรือนี่” เตียวหยวนพูดเสียงเข้ม
ฟ่งอวี๋กุยรู้สึกตื่นตระหนก พลันคิดในใจว่า “โหลวชวนป่าย อาจารย์ปรุงยาระดับสูงที่มีชื่อเสียงเทียบเท่ากับหัวหน้าหัว และยังเป็นผู้ที่สามารถต่อต้านหัวหน้าหัวได้ท่านนั้น?”
“โหลวชวนป่าย? กลับมาอย่างเงียบ ๆ อย่างนั้นหรือ” ตรงหน้ากระจก นํ้าเสียงของหัวชางซู่แฝงความเย็นเยียบ
คิดทบทวนแวบหนึ่ง เขาพลันยกแขนขึ้นสะบัด ทำให้กระจกบานนั้นกลายมาเป็นปกติ และเขาเองก็หายไปจากห้องนั้นเช่นกัน
โหลวชวนป่ายเดินมาอยู่บนเวทีประลอง ทั้งซ่งอวี้และท่านผู้อาวุโสล้วนโค้งคำนับและทักทายท่านอย่างนอบน้อม “ท่านอาจารย์โหลว”
มีเพียงมู่ชิงเกอที่กำลังมองเขาอย่างพินิจ
เมื่อโหลวชวนป่ายหันมามอง นางก็พยักหน้าและพูดว่า “ท่านอาจารยํโหลว”
“เจ้าคือเด็กน้อยที่เพิ่งเข้าสู่โรงโอสถ แต่กลับทำผลงานไว้จำนวนไม่น้อยอย่างนั้นหรือ” โหลวชวนป่ายพูดพร้อมรอยยิ้ม
มู่ชิงเกอพูดอะไรไม่ออก คำถามนั้นนางควรตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ดีเล่า
นางตอบกลับด้วยความเงียบ
โหลวชวนป่ายเองก็ไม่บังคับนางและพูดกับนางว่า “เอายาที่เจ้าปรุงมาให้ข้าดูเสียหน่อย”
แน่นอนว่ามู่ชิงเกอไม่ปฏิเสธ และยื่นยาคงรูปโฉมให้กับโหลวชวนป่ายในทันที
โหลวชวนป่ายพินิจยาในมือครู่หนึ่ง และจึงพึมพำว่า “ยาคงรูปโฉม…”
จากนั้น เขาก็เงยสายตาขึ้นมองมู่ชิงเกอและถามว่า “เจ้าสามารถปรุงยาคงรูปโฉมได้อย่างนั้นหรือ รู้หรือไม่ว่ามันมีสรรพคุณอย่างไร”
มู่ชิงเกอกระตุกรอยยิ้มบาง ๆ แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใด โหลวชวนป่ายจึงถามเช่นนี้ แต่ก็ตอบกลับไปว่า “อันนี้ ข้าเองก็ไม่รู้แน่ แต่ว่าส่วนผสมของมันมียาที่รักษารูป โฉมและต่อต้านความชรา”
ทันทีที่เขาได้ยินนางพูดเช่นนี้ ก็ทำให้คนรอบข้างตกตะลึงในทันที
เจ้าคนที่ไม่รู้สรรพคุณของยาอย่างชัดเจนกลับสามารถปรุงยาเช่นนี้ออกมาได้รึ อย่าสร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้คนมากถึงเพียงนี้ได้หรือไม่!
โหลวชวนป่ายเองก็พูดด้วยความแปลกใจ “หากว่าเจ้า ไม่รู้สรรพคุณของมันอย่างชัดเจนแล้วรู้สูตรยาได้อย่างไร”
มู่ชิงเกอยิ้มอย่างไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร “ข้าเพียงแค่เห็นศิษย์พี่ซางเขียนสูตรยานี้โดยบังเอิญ”
หะ——-!
อะไรนะ! เกี่ยวข้องกับสาวงามอันดับหนึ่งของโรงโอสถอย่างนั้นหรือ
ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็ได้กลายเป็นศัตรูกับชายหนุ่มนับไม่ถ้วน
แต่หญิงศิษย์หญิงสาวจำนวนมากกลับหัวใจแตกสลาย!
สาวงามอันดับหนึ่งแห่งโอสถ พวกนางจะไปแย่งได้อย่างไร
ผู้ที่ถูกเอ่ยถึงอย่างซางจื่อซูกลับนั่งอึ้ง จนกระทั่งสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามมากมายได้มาหยุดอยู่ที่นาง นางก็ยังคงไม่ได้สติ
มู่ชิงเกอยิ้มและอธิบายเสียงดังว่า “หลังจากที่เข้าสู่โรงโอสถ ข้าได้ใปที่ตึกตำราทุกวัน และพบศิษย์พี่ซางโดยบังเอิญ และเห็นว่านางถือสูตรยาคงรูปโฉมเอาไว้ ข้าจำเอาไว้ หากว่าทำผิดกฎ ขอให้ท่านอาจารย์โหลวโปรดลงโทษ เรื่องนี้ ศิษย์พี่ซางไม่ได้รู้เรื่องด้วย”