ตอนที่ 128-1
แผนร้ายของเตียวหยวน
“ภารกิจทดสอบปรุงยาอันใดกัน” จ้าวหนานซิงรู้สึกแปลกใจ
ตามหลักแล้ว หากมีภารกิจทดสอบอะไร ก็ควรจะประกาศออกมาตั้งนานแล้ว เหตุใดวันนี้จึงกะทันหันเช่นน้ำ เม้มปากคิดครู่หนึ่ง จ้าวหนานซิงจึงพูดกับโหลวชวนป่ายว่า “อาจารย์ดูเหมือนว่า ภารกิจทดสอบปรุงยาในครั้งนี้จะไม่ธรรมดา”
โหลวชวนป่ายพยักหน้าเห็นด้วย “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”
พูดจบ เขาก็มองมู่ชิงเกอด้วยสายตาอันคลุมเครือ มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มบาง ๆ ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
เห็นใบหน้าอันแนบนิ่งของนาง โหลวชวนป่ายจึงพูดกับทั้งสี่ว่า “การทดสอบในครั้งนี้มีเพียงแค่นักปรุงยาระดับกลางขึ้นไปจึงจะสามารถเข้าร่วมได้ภารกิจคือเข้า สู่ผืนป่าหมีเมิ่งและไปหายาสมุนไพรที่มีชื่อว่าหน่อจันทร์มายา”
“หน่อจันทร์มายาอย่างนั้นหรือ” เหมยจื่อจ้งแสดงความแปลกใจออกมาเป็นคนแรก “หน่อจันทร์มายามีเพียงแค่ในทะเลสาบเยวี่ยมิใช่หรือ หากอยากจะเด็ดหน่อ จันทร์มายาต้องเข้าไปในที่ที่ลึกที่สุดในผืนป่าหมีเมิ่งมิใช่หรือ”
โหลวชวนป่ายพยักหน้า “ผืนป่าหมีเมิ่งแม้จะขึ้นชื่อเรื่องยาสมุนไพร แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีสัตว์วิญญาณ เข้าไปเช่นนี้ ถือเป็นบททดสอบสำหรับพวกเจ้า อีกประการหนึ่ง ข้าเกรงว่าจะมีอันตรายอื่น”
แม้เขาจะพูดเป็นนัย แต่ทั้งสี่ที่อยู่ ณ ที่นี้ล้วนเข้าใจ
เกรงว่า การทดสอบในครั้งนี้จะเป็นแผนการที่เกิดขึ้นเพราะมู่ชิงเกอ สิ่งที่ตนเองไม่สามารถครอบครองได้ ก็ทำลายเสียไม่ยอมปล่อยให้ตกเป็นของคนอื่น นี่เป็นวิธีการแก้ปัญหาของหัวชางซู่ เมื่อก่อนโหลวชวนป่ายแย่งลูกศิษย์กับเขาก็ช่างเถิด แต่ ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ความสามารถระดับมู่ชิงเกอไม่เคยมีมาก่อนและยังได้รับสมบัติจากหอแห่งสติปัญญา บุคคลเช่นนี้จะยอมให้คนอื่นได้ไปอย่างไร
มีความลับอยู่อย่างหนึ่ง ที่แม้แต่โหลวชวนป่ายเองก็ไม่รู้ นั่นก็คือ หากหัวชางซู่อยากกลับโรงโอสถกลาง ก็ต้องเลื่อนขั้นเป็นนักปรุงยาระดับจิต หรือไม่ก็หาลูกศิษย์ที่มีฝีมือและใช้ความสามารถของลูกศิษย์ในการกลับไป
หลายปีที่ผ่านมานี้ เขาจดจ่อกับการเอาชนะตนเอง แต่ก็ยังคงไม่สามารถเป็นนักปรุงยาระดับจิตได้ การปรากฏตัวของมู่ชิงเกอ ทำให้เขามีความหวังขึ้นอีกครั้ง
เพราะฉะนั้น หากมู่ชิงเกอไม่สามารถรับใช้เขาได้ เขาก็ยอมที่จะทำลายทิ้งเสีย!
นิสัยสุดโต่งของเขา เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาถูกย้ายมาอยู่ที่โรงโอสถย่อย ไม่ใช่เพราะความสามารถโดดเด่น แต่เป็นเพราะนิสัยนี้ของเขานั่นเองที่ทำให้โดนหลายคนแย่งชิงตำแหน่งไป
“มู่เกอ เจ้าต้องระวังตัวนะ” โหลวชวนป่ายพูดด้วยน้ำเสียงอันเคร่งขรึม
มู่ชิงเกอพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “วางใจเถิด คนที่ต้องการชีวิตของข้ามีไม่น้อย แต่ก็ไม่เคยมีใครทำสำเร็จ”
โหลวชวนป่ายส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “เจ้าอย่าได้ชะล่าใจ เขารู้ว่าเจ้าถนัดเรื่องยาพิษ แน่นอนว่าจะต้องระวังตัว วิธีเดิม ๆ อาจจะไม่ได้ผลเสมอไป”
“ข้าทราบแล้ว” มู่ชิงเกอไม่ได้อธิบายอะไรมาก
โหลวชวนป่ายคิดแล้วก็ไม่วางใจ จึงพูดกับสามคนที่เหลือว่า “ศิษย์น้องมู่ของพวกเจ้าเพิ่งเข้าสำนักได้ไม่นาน เรื่องราวมากมายยังไม่ค่อยเข้าใจ ในการทดสอบในครั้งนี้ไม่ได้บอกว่าห้ามรวมกลุ่มกัน ถึงตอนนั้น พวกเจ้าก็ไปเป็นกลุ่มเดียวกับศิษย์น้องมู่ซะ”
“ขอรับ ท่านอาจารย์”
“ขอรับ ท่านอาจารย์!”
“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์!”
เหมยจื่อจ้ง จ้าวหนานซิง ซางจื่อซูล้วนตอบกลับอย่างเห็นด้วยโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
มู่ชิงเกออ้าปาก อยากจะปฏิเสธ แต่กลับถูกสายตาที่ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธของโหลวชวนป่ายห้ามเอาไว้
คนเหล่านี้เป็นห่วงความปลอดภัยของนางจากใจจริง
ทำให้มู่ชิงเกอสัมผัสได้ถึงมิตรภาพของการอยู่ในสำนักเดียวกันเป็นครั้งแรก
ความรู้สึกเช่นนี้ไม่เลวเลยทีเดียว
‘ช่างเถิด หากมีอันตรายอันใด ข้าจะเป็นคนคอยรับมือเอง’ มู่ชิงเกอรับปากในใจ
“เอาเถิด พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้การทดสอบจะเริ่มขึ้นแต่เช้า อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างจะต้องมีความปลอดภัยเป็นพื้นฐาน ภารกิจอะไรก็สู้ความปลอดภัย ของพวกเจ้าไม่ได้” โหลวชวนป่ายสะบัดแขนเสื้อ เอามือไพล่หลังเดินจากไป
ที่เหลืออีกสี่คนยืนอยู่กับที่ เหมยจื่อจ้งมองพวกเขาแวบหนึ่ง และพูดว่า “ข้าจะไปเตรียมของ” พูดจบ เขาก็หันหลัง แล้วเดินจากไปพร้อมกับเสื้อผ้าที่พลิ้วไหวดังหมอกควัน
ซางจื่อซูเลยก็มองมู่ชิงเกอและจ้าวหนานซิงพร้อมพูดว่า “ข้าเองก็จะไปเตรียมของ”
หลังจากที่ทั้งสองไปแล้ว จ้าวหนานซิงจึงพูดกับมู่ชิงเกอพร้อมรอยยิ้มว่า “ศิษย์น้องมู่จะไปไหน”
มู่ชิงเกอพูดอย่างรู้สึกขัน “หรือว่าศิษย์พี่จ้าวจะเป็นห่วง ว่ามีคนกล้าลงมือกับข้าในโรงโอสถ”
“จิตใจของพวกคนชั่ว จะยึดตามความคิดของคนปกติไม่ได้” รอยยิ้มของจ้าวหนานซิงดั่งลมในฤดูใบไม้ผลิและอ่อนโยนดุจใบไผ่
มู่ชิงเกอพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ข้าจะไปบ้านไม้หลังเก่า”
“อย่างไรเสีย เรื่องที่ต้องไปเตรียม ศิษย์พี่และจื่อซูก็ไปจัดการแล้ว ข้าเองก็ไม่มีธุระอะไร ไปเป็นเพื่อนเจ้าดีกว่า” จ้าวหนานซิงพูด
มู่ชิงเกอพยักหน้า ถือว่าเป็นการรับปากแล้ว ทั้งสองเดินออกจากที่พักของโหลวชวนป่ายพร้อม ๆ กัน และมุ่งไปบริเวณบ้านไม้
ระหว่างทาง ผู้ที่พบเห็นมู่ชิงเกอล้วนแอบซุบซิบกัน ราวกับกำลังวิจารณ์เรื่องที่ก่อนหน้านี้ที่นางปฏิเสธการเป็น ลูกศิษย์ของท่านปรมาจารย์โหลว ตอนนี้กลับกลายเป็นลูกศิษย์ของท่านปรมาจารย์โหลวแล้ว
ถึงขั้นที่มีคนเดาว่า ท่านปรมาจารย์โหลวมีข้อเสนออะไรดีๆ หรือไม่ จึงทำให้นางเปลี่ยนใจ
ระหว่างทาง ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คน จ้าวหนานซิงแอบสังเกตอาการของมู่ชิงเกอ จนกระทั่งเข้าสู่อาณาเขตของบ้านไม้ เขาจึงพูดว่า “ศิษย์น้อง อย่าไป สนใจคำพูดของคนพวกนั้นเลยนะ”
“ศิษย์พี่จ้าวไม่ต้องเป็นห่วง หากว่าข้าสนใจคำนินทาเหล่านี้ ก็คงยุ่งวุ่นวายจนตาย” มู่ชิงเกอพูดอย่างขบขัน
คิ้วของจ้าวหนานซิงที่ขมวดอยู่คลายออกในทันที “ไม่กระทบต่อศิษย์น้องมู่ ข้าก็วางใจ”
“ไม่หรอก ความจริงแล้วที่พวกเขาพูดก็ถูก” มู่ชิงเกอพูดอย่างแฝงความนัย นางได้สร้างข้อตกลงกับโหลวชวนป่ายเอาไว้จริงๆ เพียงแต่ว่า ไม่ใช่อย่างที่คนอื่น ๆ คิด
จ้าวหนานซิงอึ้ง ราวกับยังไม่เข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ ในคำพูดของมู่ชิงเกอ
เห็นท่าทางเช่นนั้นของเขา มู่ชิงเกอก็รู้ว่าโหลวชวนป่าย ไม่ได้เล่ารายละเอียดสิ่งที่คุยกับนางให้ลูกศิษย์ฟัง นางจึงไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงเผยรอยยิ้มให้เรื่องจบลงเพียงเท่านั้น
เมื่อมาถึงบ้านไม้ พี่น้องตระกูลเว่ยก็ไปสวนสมุนไพรแล้ว
บ้านไม้สิบห้อง มีเพียงฟู่เทียนหลงและสุ่ยหลิงอยู่