Skip to content

พลิกปฐพี 127-5

ตอนที่ 127-5

ยาและพิษเป็นสิ่งเดียวกัน!

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม มู่ชิงเกอก็ได้นั่งอยู่ในห้องอันสะอาดสะอ้านและหรูหรามาพักใหญ่แล้ว

ขณะนี้จ้าวหนานซิงและซางจื่อซูไม่อยู่กับนางแล้ว โต๊ะกลมที่อยู่ตรงหน้านาง มีนํ้าชาวางอยู่ถ้วยหนึ่ง

“ศิษย์น้องมู่!” นอกประตูมีคนเดินมา ร่างกายพลิ้วไหวราวกับเทพเซียน เขามองเห็นมู่ชิงเกอที่นั่งอยู่ในนั้น ก็ราวกับว่ารู้สึกแปลกใจ

มู่ชิงเกอเงยสายตาขึ้นมอง พลันทำความเคราพผู้มาเยือน “ศิษย์พี่เหมย”

ความแปลกใจในสายตาของเหมยจื่อจ้งแปรเปลี่ยนเป็นความนิ่งสงบ เขาเดินเข้าห้องมา พลันนั่งลงตรงหน้ามู่ชิงเกอ และพูดด้วยนํ้าเสียงอันแนบนิ่งว่า “ข้าเพิ่งเสร็จจากการปรุงยา ไม่คิดว่าพอออกมาก็พบกับศิษย์น้องมู่ วินาทีนั้น ข้าคิดว่าตัวเองตาฝาดไป”

“ข้ามาหาท่านปรมาจารย์โหลว’’ มู่ชิงเกอพูดเหตุผลที่มา

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” เหมยจื่อจ้งไม่ได้แสดงอาการอันใดมากนัก เพียงแค่ยื่นมือข้างใหญ่ที่เห็นข้อกระดูกอย่างชัดเจนออกมายกกานํ้าชาขึ้นเติมให้กับมู่ชิงเกอ “หนานซิงพาเจ้าเข้ามาใช่หรือไม่ ตอนนี้ท่านอาจารย์อาจจะกำลังทดลองสูตรยาอยู่ จึงได้ออกมาช้า ศิษย์น้องมู่ได้ถือโทษ”

“ไม่เป็นไร” มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มบางๆ

ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอก

เพราะเรือนนี้สร้างมาจากไม้ไผ่ เพราะฉะนั้นในขณะที่เหยียบลงไปจะได้ยีนเสียง ‘ออดแอด’ ที่ดังออกมาจากไม้ไผ่

“เจ้าหนุ่มแซ่มู่อยู่ไหนล่ะ” ยังไม่ทันเข้ามาถึง เสียงของโหลวชวนป่ายก็ดังขึ้นมา เหมยจื่อจ้งยิ้มอย่างขอโทษ พลันลุกขึ้นยืนและเดินออกไปต้อนรับท่านอาจารย์ที่หน้าประตู เขาเพิ่งจะยืนอยู่ข้างประตูได้ไม่นาน โหลชวนป่ายก็เข้ามา มองข้ามการมีอยู่ของเหมยจื่อจ้งและเดินไปอยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกอในทันที พลันโค้งกายคำนับนาง “เจ้าหนุ่มมู่ วันนี้ข้าขอบใจเจ้ามากที่ช่วยจื่อซูและหนานซิง”

มู่ชิงเกอรีบลุกขึ้นหันกายออก “ปรมาจารย์โหลวเหตุใดต้องทำเช่นนี้”

เหมยจื่อจ้งมองฉากนี้ด้วยความแปลกใจและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

จ้าวหนานซิงตามเข้ามาเห็นเพียงแค่ศิษย์พี่ของตนเองยืนอยู่ตรงมุมอย่างุนงง จึงได้ดึงแขนเสื้อของเขาเพื่อพาตัวเขาออกมาและหาที่สงบๆ เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น

ในวันนี้ให้กับศิษย์พี่ฟัง

ภายในห้องเหลือเพียงแค่มู่ชิงเกอและโหลวชวนป่าย

โหลวชวนป่ายนั่งหันหน้าเข้าหามู่ชิงเกอและพูดว่า “ไม่ว่าอย่างไร เรื่องในวันนี้ข้าต้องขอบใจเจ้า เจ้าว่ามาว่า ต้องการให้ข้าทำอะไร หากเป็นเรื่องที่ข้าสามารถทำได้ จะไม่ปฏิเสธแน่นอน”

มู่ชิงเกอรู้สึกขบขัน ท่านผู้เฒ่าท่านนี้ช่างเป็นคนที่หลักแหลมมาก รู้ว่านางเข้าสู่สำนักเพราะมีเรื่องขอร้อง

อีกประการหนึ่ง นิสัยที่สามารถแยกบุญคุณและความแค้นออกจากกันได้อย่างชัดเจนนั้น ก็เป็นสิ่งที่น่านับถือเป็นอย่างมาก

มู่ชิงเกอกระตุกมุมปากเบาๆ แล้วพูดช้าๆ ว่า “ข้าหวังว่าท่านปรมาจารย์จะช่วยแย่งชิงตำแหน่งการส่งยามาให้”

“เจ้าอยากไปโรงโอสถกลางอย่างนั้นหรือ” โหลวชวนป่ายรู้สึกแปลกใจ แต่ก็พูดอย่างเข้าใจว่า ‘ก็จริง ด้วยความสามารถของเจ้า ไปโรงโอสถกลางคงจะพัฒนาได้ ไกลกว่า”

สำหรับการเข้าใจผิดของโหลวชวนป่าย มู่ชิงเกอไม่คิดจะอธิบาย นางพูดเพียงว่า “วันนี้ แม้จะไม่เจอกับเรื่องของศิษย์พี่ซาง ข้าก็จะมาหาท่านปรมาจารย์เพื่อให้ท่านปรมาจารย์ช่วยข้า”

“เหตุใดเจ้าจึงเลือกข้า” อยู่ ๆ โหลวชวนป่ายก็พูดขึ้น

มู่ชิงเกอไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร “หรือท่านปรมาจารย์ หวังให้ข้าเลือกท่านหัวหน้าและเป็นพวกเดียวกับคนอย่างเตียวหยวน ที่เขาส่งซ่งอวี้มาทดสอบฝีมือของข้า และข่มขู่ต่าง ๆ นานา ก็เป็นการบ่งบอกแล้วว่าข้าอยู่สำนักเดียวกับเขาไม่ได้”

โหลวชวนป่ายแค่นเสียงอย่างเย่อหยิ่งว่า “ดูเหมือนว่าที่มาสำนักของข้า ก็เพราะไม่มีทางเลือกอื่นแล้วสินะ”

มู่ชิงเกอยิ้มจาง ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร

โหลวชวนป่ายแอบมองนางหลายที แล้วส่งเลียงไอเบา ๆ พลันยืดหลังตรงและพูดว่า “อยากจะได้ตำแหน่งการส่งยานั้นง่ายมาก แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะได้รับสิทธิ์นั้น”

มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มบางๆ : “หากจะต้องเป็นเช่นนั้น ข้าก็ยอมเป็นลูกศิษย์ในนามของท่านปรมาจารย์”

“ลูกศิษย์ในนาม หมายความว่าอย่างไร พ่อหนุ่มเจ้าดูถูกข้า!” โหลวชวนป่ายเบิกตาโตขึ้นในทันที พลันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

“ไม่ใช่อย่างนั้น” มู่ชิงเกอส่ายหน้าและพูดว่า “หากว่าท่านเป็นอาจารย์ของข้าจริง ท่านจะสอนอะไรข้าได้บ้าง”

เพียงคำพูดนี้ ก็ทำให้โหลวชวนป่ายพูดอะไรไม่ออกในทันที

ใช่สิ เขาเป็นนักปรุงยาระดับสูง พ่อหนุ่มน่าชังที่อยู่ตรงหน้าเองก็เป็นนักปรุงยาระดับสูงและราวกับจะกลายเป็นนักปรุงยาระดับจิตได้ตลอดเวลา เขาจะสามารถสอนอะไรได้ล่ะ

เมื่อคิดได้เช่นนี้โหลวชวนป่ายก็ราวกับเป็นลูกบอลที่ถูกปล่อยลมออก

เห็นว่าเขาหมดหวังเช่นนี้ มู่ชิงเกอจึงพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “แม้ว่าเราจะไม่ได้สั่งสอนกันจริงๆ แต่ก็อยู่ในฐานะลูกศิษย์ของท่านปรมาจารย์ และไม่ได้ทำให้ทั้งข้าและท่านเกิดความเสียหายอันใดเลย”

โหลวชวนป่ายตาเป็นประกาย และคิดในใจว่า ‘ใช่สิ อนาคตของเจ้านี่ยังอีกยาวไกล และด้วยชื่อเสียงของการเป็นปรมาจารย์ของเขา ไปไหนก็ไม่ขายหน้าแน่นอน!’

“การแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ถือว่าคุ้มค่า!” ใบหน้าของโหลวชวนป่ายฉายความสุขออกมาในทันที พลันพูดกับมู่ชิงเกอว่า “ได้! ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จะจำใจรับเจ้าเป็นศิษย์ แต่ว่า ข้าก็จะไม่เอาเปรียบเจ้า เรื่องที่เจ้าช่วยจื่อซูและหนานซิงเอาไว้ในวันนี้ ไม่ว่าทางฝ่ายของหัวชางซู่จะมีวิธีอย่างไร ข้าจะเป็นคนคอยรับมือและถือว่าข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้า หากเจ้าต้องการสิ่งใด ก็ขอให้บอก ข้าจะทำตามความต้องการของเจ้า”

มู่ชิงเกอพูดพร้อมรอยยิ้ม “ไม่จำเป็นแล้ว ในเมื่อเราเป็นคนสำนักเดียวกันแล้ว ข้าออกตัวช่วยก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้วมิใช่หรือ”

โหลวชวนป่ายกลับไม่ยอม “แลกกันคนละครั้ง ตอนที่เจ้าช่วยพวกเขา ยังไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของข้า”

มู่ชิงเกอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร รู้สึกจริงๆ ว่า อาจารย์อย่างไร ย่อมมีลูกศิษย์เช่นนั้น

เมื่อตกลงกันได้แล้ว โหลวชวนป่ายบอกว่าจะประกาศ เรื่องที่รับมู่ชิงเกอเป็นลูกศิษย์ในวันพรุ่งนั้นนางเองก็สามารถย้ายออกจากบ้านไม้มาอยู่ที่นี่

มู่ชิงเกอพูดถึงเรื่องของฟู่เทียนหลง โหลวชวนป่ายคิดทบทวนครู่หนึ่งและบอกว่าสามารถพาฟู่เทียนหลง สุ่ยหลิงและพี่น้องตระกูลเว่ยมาอยู่ในความดูแลได้

เมื่อไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง แน่นอนว่ามู่ชิงเกอไม่ปฏิเสธข้อเสนอที่จะย้ายมาที่นี่

จากนั้น นางจึงถามว่า “ จำนวนคนที่จะได้ใปส่งยามีเท่าใดและมีการแบ่งอย่างไร”

โหลวชวนป่ายจึงพูดว่า “ โดยปกติแล้ว จะมี 30 คน แบ่งโดยปรมาจารย์ในโรงโอสถ เพราะหัวชางซู่มาจากโรงโอสถกลาง เพราะฉะนั้นในสำนักของเขาจึงได้ไป 8 คน และข้า 6 คน ที่เหลือล้วนมีสองสามคน แต่ว่า เจ้าก็เห็นว่าสำนักของข้ารวมเจ้าแล้วมีสี่คน ที่เกินออกมาก็เป็นตำแหน่งที่ต้องแย่งชิง สุดท้ายหัวชางซู่จึงเสนอว่า ให้ใช้การแข่งขันในการเลือกทุกครั้ง”

“แข่งอย่างไร” มู่ชิงเกอถาม

โหลวชวนป่ายพูดต่อว่า “สิบอันดับแรกจะเป็นผู้รักษาตำแหน่ง โดยมีลูกศิษย์ที่เหลือเข้ามาท้าประลองฝีมือ เป็นการต่อสู้แบบหมุนเวียนกันเข้ามาท้าแข่ง แข่งขันจนถึงตอนท้าย ผู้ที่มีผลงานดีที่สุด 30 คนจะเป็นคนส่งยา ปีนี้ก็ใกล้จะถึงวันคัดเลือกแล้ว ด้วยความสามารถของเจ้า ในการแข่งขันนั้นถึงว่าเหลือเฟือ แต่ก็ต้องระวังพวกคนเลวมากแผนการ”

คำเตือนของเขาทำให้มู่ชิงเกอกระจ่างแล้ว รายละเอียดการแข่งขันนั้นนางไม่ได้ถามอะไรมาก อย่างไรก็ตามถึงเวลาแข่งก็รู้เอง

“เฮ้อ ผู้มีฝีมือที่ถูกเลือกไปส่งยาในทุกๆ ครั้ง ตอนกลับมักจะเหลือน้อย ส่วนใหญ่ก็ยินยอมที่จะอยู่ในโรงโอสถกลางต่อ” พูดจบ เขาก็แอบมองมู่ชิงเกอแวบหนึ่ง

มู่ชิงเกอแอบยิ้มในใจแต่ไม่ได้โต้ตอบ

ความสนใจที่นางมีต่อโรงโอสถกลาง เทียบไม่ได้กับแม่นํ้าไร้พรมแดนแห่ง แคว้นหรง

พญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวนที่ซ่อนอยู่ในนั้นต่างหากที่เป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของนางในตอนนี้!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version