ตอนที่ 136-2
ไม่ว่าทางไหนล้วนชนะขาดลอย!
แน่นอนว่า ทุกคนที่ถูกเตือน ล้วนสังเกตบุษบงโอสถทั้งเจ็ดเหนือหม้อหลอมยาของเตียวหยวน และเห็นว่า ลักษณะของเมฆาเหล่านั้นราวกับมีชีวิตงดงามสมดั่งคำรํ่าลือ
“ลูกศิษย์โรงโอสถย่อย ถือว่ารู้จักเมฆาโอสถและบุษบงโอสถดี” ชางเอ๋อร์จื่อพูดพร้อมรอยยิ้ม
หัวชางซู่ยังไม่ทันได้อธิบาย โหลวชวนป่ายก็พูดแทรกขึ้นมาก่อนว่า “นั้นเป็นเพราะว่า เมื่อสองเดือนก่อน ตอนที่ลูกศิษย์คนเล็กของข้าประลองการปรุงยากับลูกศิษย์ของหัวหน้าหัว ก็เกิดเมฆาโอสถและบุษบงโอสถขึ้นเช่นกัน ทำให้เหล่าลูกศิษย์โรงโอสถได้มีความรู้เพิ่มมากขึ้น ”
“หืม? ตอนนั้นปรากฏขึ้นเท่าไหร่” เซี่ยเทียนอู๋ถามอย่างสนใจ
“เจ็ดดอก” โหลวชวนป่ายก้มสายตาลงตอบ
เซี่ยเทียนอู๋พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มจางๆ และเงียบไป
เมื่อจบการสนทนา โหลวชวนป่ายก็หันสายตากลับมา และสบกับสายตาอันโหดเหี้ยมของหัวชางซู่พอดี เขากลับเผยรอยยิ้มอันเย็นเยียบ แล้วมองผ่านไป
บุษบงโอสถทั้งเจ็ดนั่นคล้ายความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ บนใบหน้าของเตียวหยวนเผยรอยยิ้มได้ใจ เขามองมู่ชิงเกอด้วยสายตาที่ราวกับเป็นผู้ชนะ และพูดในใจว่า “หึ มู่เกอ หากเจ้าสามารถปรุงยาที่มีคุณภาพระดับสูงดังเช่นวันนั้นได้แล้วอย่างไร ความยากของลิ่วจ่วนเสี่ยวหวนตาน ของข้านี้ใกล้เคียงกับยาระดับจิต เจ้าสามารถปรุงยาระดับจิตออกมาได้หรือไม่ ข้าต้องชนะแน่!”
แต่ว่า ในขณะที่เขามองมู่ชิงเกอด้วยความได้ใจ เตรียมจะโอ้อวด แต่กลับพบว่า มู่ชิงเกอไม่ได้รับผลกระทบจากเขาเลยแม้แต่น้อย ท่าทางยังแนบนิ่ง จดจ่อเพียงบนหม้อหลอมยาของตนเอง
เตียวหยวนรู้สึกโกรธ พลันรู้สึกราวกับว่าปล่อยหมัดหนักๆ ลงบนสำลี
บุษบงโอสถทั้งเจ็ดดอกที่ลอยอยู่บนหม้อหลอมยา รวมเป็นหนึ่งเดียวกันในที่สุด แล้วแปรเปลี่ยนเป็นหมอกที่ส่องแสงระยิบระยับ แล้วแทรกตัวเข้าไปในหม้อหลอมยา อีกหน
ทันใดนั้น บนโต๊ะของเตียวหยวนก็สั่นอย่างรุนแรงขึ้นมา
“สำเร็จแล้ว!” บนอัฒจันทร์ลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยตื่นตระหนกจนลุกขึ้นจากที่นั่ง
“ขั้นสุดท้ายแล้ว อย่าได้เกิดข้อผิดพลาดเลย!” มีคนตื่นเต้นจนกำหมัดแน่น
“หึ จริงๆ เชียว เตียวหยวนเลวถึงเพียงนั้น แม้จะสามารถปรุงยาดีๆ ออกมาได้แล้วอย่างไร มีอะไรน่าตื่นเต้นกัน” เว่ยกว่านกว่านสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นของคนรอบข้าง จึงพูดอย่างไม่พอใจ
สุ่ยหลิงอธิบาย “สิ่งที่พวกเขาเป็นห่วงไม่ใช่เตียวหยวน แต่เป็นเรื่องที่ว่าโรงโอสถย่อยจะมีนักปรุงยาระดับสูงเพิ่มขึ้นอีกคนจริงหรือไม่ แม้ว่าคนที่ยืนอยู่ข้างบนไม่ใช่ เตียวหยวน แต่เป็นคนอื่นพวกเขาก็จะเป็นเช่นนี้”
เว่ยกว่านกว่านเงยหน้าขึ้น พูดอย่างเย้ยหยันว่า “นักปรุงยาระดับสูงแล้วอย่างไร ข้ารู้สึกว่ามู่เกอจะต้องเก่งกว่าเขา!”
“แน่นอน! มู่เกอจะแพ้เขาได้อย่างไร” เรื่องนี้ สุ่ยหลิงพยักหน้าเห็นด้วย
กลิ่นหอมค่อยๆ ลดลงไป ไม่กระจายออกมาอีก เหลือไว้เพียงแค่กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยวนอยู่รอบๆ
เตียวหยวนรวบรวมสมาธิ ตบบนโต๊ะและตะโกนในทันที “เปิด!”
ฝาหม้อปรุงยาพุ่งขึ้นกลางอากาศในทันที และแตกกระจายกลายเป็นเศษผง ยาเม็ดสีนํ้าเงินเม็ดหนึ่งที่ส่องประกายค่อยๆ ลอยออกจากหม้อหลอมยา บนยาเม็ดนั้น มีรอยวนอันชัดเจนอยู่หกสาย ล้อมมันเอาไว้
ชางเอ๋อร์จื่อหรี่ตาลง และพูดอย่างแนบนิ่งว่า “ลิ่วจ่วนเสี่ยวหวนตาน เมื่อกินเข้าไปแล้ว สามารถรอดพ้นจากความตายเมื่อบาดเจ็บหนักหกครั้ง รอยวนหนึ่งรอย สามารถรักษาชีวิตได้หนึ่งครั้ง ในทุกครั้งที่ยาออกฤทธิ์จะทำให้ร่างกายและจิตวิญญาณแข็งแกร่งขึ้น หากไม่ใช่เพราะว่ามันไม่สามารถทำให้ฟื้นจากความตายได้ มันคง จะอยู่ในขั้นของยาระดับจิตไปแล้ว”
ยาระดับจิต จิตวิญญาณแห่งพื้นดิน ตายแล้วขึ้นได้!
พื้นจากความตายนี้ไม่ได้หมายความถึงว่าทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาจริงๆ แต่เป็นการเปรียบเทียบการเกิดปาฏิหาริย์
เช่น ฮูหยินจวนตระกูลเว่ยแห่งเมืองถัวที่ชีพจรในร่างทั้งหมดเสื่อมถอย ราวกับต้นไม้ที่เหี่ยวแห้ง ทำได้เพียงแค่ มีชีวิตอยู่ราวกับตายไปแล้ว มู่ชิงเกอใส่ยาเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอลงในยา ถึงทำให้เกือบจะเป็นยาระดับจิตได้ ทำให้เอาชนะธรรมชาติ สร้างระบบขึ้นมาใหม่ นี่คือปาฏิหาริย์ เพียงแค่ว่า หากไม่มียาเปลี่ยนแปลงดีเอ็นดี มู่ชิงเกอในตอนนั้นไม่ว่าจะฝึกการปรุงยาอย่างไร ก็ไม่สามารถปรุงยาที่ดีเพียงนี้ได้
คำพูดของชางเอ๋อร์จื่อ เต็มไปด้วยความเสียดาย ราวกับกำลังกล่าวถึงสรรพคุณของลิ่วจ่วนเสี่ยวหวนตาน แต่ก็ราวกับเสียดายที่มันห่างจากยาระดับจิตเพียงแค่ เล็กน้อย
“ลิ่วจ่วนเสี่ยวหวนตานนี้ข้าจะต้องให้เตียวหยวนส่งไปที่คลังโอสถ” หัวชางซู่พูดอย่างได้ใจ เตียวหยวนยกมือขึ้นจับลิ่วจ่วนเสี่ยวหวนตานที่ค่อยๆ ลอยลงมาเอาไว้ แล้วใส่เข้าไปในขวดกระเบื้องเคลือบที่เตรียมเอาไว้บนโต๊
ตามกติกาแล้ว การแข่งขันจะต้องรอให้ยาของทั้งสองฝ่ายสำเร็จ จึงจะตัดสินได้
ยาของเตียวหยวนได้ปรุงเสร็จแล้วและทำให้ทุกคนตะลึง เขาในตอนนี้ ดูกระหยิ่มยิ้มย่องเป็นที่สุด พลันหันมองเหมยจื่อจ้งที่อยู่ข้างเวที ราวกับกำลังหัวเราะเยาะเขาที่ ทะลวงสู่นักปรุงยาระดับสูงมานาน แต่ไม่สามารถปรุงยาระดับที่ตนเองปรุงได้
แต่เหมยจื่อจ้งกลับนิ่งเฉย ไม่มองเขาแม้แต่แวบเดียว เพียงจับตาดูมู่ชิงเกอที่กำลังปรุงยาเท่านั้น
สีหน้าของเตียวหยวนดิ่งลง ยาที่เขาปรุงเป็นยาที่มีความยากใกล้เคียงกับยาระดับจิตอย่างลิ่วจ่วนเสี่ยวหวนตาน เดิมควรจะเป็นผู้ที่ได้รับการจับตามอง แต่ว่า ทั้งสองคน ที่เขาสนใจมากที่สุด กลับมองข้ามเขา จะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไร
ส่วนลึกของสายตาเขาแฝงความโหดเหี้ยม อุทานอย่างเย็นเยียบทีหนึ่ง แล้วหันไปมองมู่ชิงเกอเช่นกัน
ในตอนนี้ มู่ชิงเกอไม่ได้ตั้งใจมองข้ามความสำเร็จของเตียวหยวน เพียงแต่ว่า ในขั้นตอนการปรุงยาของนาง อยู่ ๆ นางก็เข้าสู่สภาวะอันลึกลับสภาวะหนึ่ง
และสภาวะเช่นนี้ นางเองก็ไม่ได้ไม่คุ้นชิน ตอนที่เก็บตัวในช่องว่างก่อนหน้านั้นนางเคยตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้ ในสภาวะเช่นนั้น นางราวกับจะเข้าใจความเหมือน ระหว่างสมุนไพรกับสมุนไพรมากขึ้นกว่าเดิม ราวกับใช้กล้องจุลทรรศน์ในการเปรียบเทียบ ทุกอย่างล้วนชัดเจนอยู่ตรงหน้านาง
นางตกอยู่ท่ามกลางสภาวะอันลึกลับ จนลืมความเป็นอยู่ของทุกสิ่ง
ลืมการแข่งขัน ลืมเตียวหยวน ถึงขึ้นลืมหม้อหลอมยาของตนเอง
รอบข้างนางทั้งขาวบริสุทธิ์และว่างเปล่า แต่กลับมีแสงหลากหลายสีสันลอยอยู่รอบตัวนาง แสงเหล่านั้นคล่องแคล่วเป็นอย่างมาก ราวกับงูที่มีพลังเวท เคลื่อนตัวเป็นรูปทรงที่แตกต่างกัน บางครั้งก็น่าเกลียด บางครั้งกลับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
มู่ชิงเกอยืนอยู่กับที่ เงยหน้าขึ้นมองสิ่งที่เกิดขึ้น ราวกับกระจ่างในกฎเกณฑ์ทั้งหมด ในใจของนางมีเสียงหนึ่งที่บอกกับนางอย่างไม่รู้หยุดว่า ‘คิดหาวิธีรวมแสงหลากสีสันเหล่านี้ให้เข้ากัน’
แทบจะในขณะที่เสียงดังขึ้น พลังเวทของนางก็ปะทุออกมา กลายเป็นมือพันข้าง ที่แยกกันออกไปจับแสงที่ลอยอยู่และรวมพวกมันเอาไว้แล้วแยกออกสองรอบ ก่อนจะ ดึงพวกที่ไม่สามารถผสมได้ออก แล้วกลั่นสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ออก
บนเวที มู่ชิงเกอไม่รู้ว่าหลับตาไปตั้งแต่เมื่อไหร่ หม้อหลอมยาตรงหน้านางมีแสงเปลวเพลิงวูบวาบเกิดขึ้น แต่ราวกับถูกนางลืมไปแล้ว
“ศิษย์น้องมู่เป็นอะไรไป” บนอัฒจันทร์มีคนถามด้วยความเป็นห่วง
แต่ว่า กลับไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้
มองหม้อหลอมยาที่ราวกับจะระเบิดได้ตลอดเวลา ผู้คนจำนวนไม่น้อยเริ่มตื่นเต้นขึ้นมา และต่างวิพากษ์วิจารณ์
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดศิษย์น้องมู่จึงหลับตา ข้ารู้สึกว่าสถานการณ์ในหม้อราวกับจะไม่คงที่!” จ้าวหนานซิงเดินเข้าไปหาเหมยจื่อจ้งด้วยความตื่นตระหนกและพูด เบาๆ
เหมยจื่อจ้งเม้มปาก และเพราะออกแรงมากเกินไป ทำใหริมฝีปากขาวซีดไร้ซึ่งโลหิต
เขาเองก็เดาอารมณ์ของมู่ชิงเกอในตอนนี้ไม่ออก
จ้าวหนานซิงขมวดคิ้วมากกว่าเดิม และพูดด้วยความเป็นห่วงว่า “หากพลาดขึ้นมา ศิษย์น้องมู่ก็…”
“ไม่หรอก ศิษย์น้องมู่ไม่แพ้แน่!” ท่าทางของซางจื่อซู แม้จะแฝงความกังวล แต่นํ้าเสียงนั้นมั่นใจเป็นที่สุด!
นํ้าเสียงอันมั่นใจของซางจื่อซู ทำให้เหมยจื่อจ้งเหลือบมองนางแวบหนึ่ง แต่จากใบหน้าอันงดงามดั่งธารนํ้าแข็งของนางกลับไม่สามารถตีความอะไรได้เลย
เหมยจื่อจ้งเม้มปากและพูดกับจ้าวหนานซิงว่า “ศิษย์น้องซางพูดถูก เราต้องมั่นใจในตัวศิษย์น้องมู่”
จ้าวหนานซิงซ่อนความกังวลเอาไว้ในใจ แล้วพยักหน้าอย่างแรง
ท่าทางที่ดูแปลกไปของมู่ชิงเกอ ไม่เพียงแค่ดึงดูดความสนใจจากลูกศิษย์โรงโอสถ แต่ยังเป็นที่จับตามองของปรมาจารย์แห่งโรงโอสถย่อยและท่านผู้อาวุโสจากโรงโอสถกลาง
เซี่ยเทียนอู๋พูดขึ้นเป็นคนแรก โดยการถามทั้งสามที่อยู่ทางซ้ายและขวา “ท่านดูสิ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
หลี่เหรินแสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก พร้อมรอยยิ้มอันเย็นเยียบ “จะเป็นอะไรไปได้ล่ะ ตอนนี้ยาในหม้อของเขาไม่มั่นคง สามารถระเบิดได้ตลอดเวลา แน่นอนว่าไม่สามารถควบคุมทิศทางของยาได้”
ชางเอ๋อร์จื่อกลับส่ายหน้า “ข้าว่าไม่เหมือน หากไม่สามารถควบคุมทิศทางของยาได้ ลูกศิษย์ผู้นี้คงไม่นิ่งสงบได้ถึงเพียงนี้”
หยวนหูกลับเห็นด้วยกับความคิดของหลี่เหริน “ข้าว่าคงจะไม่สามารถควบคุมทิศทางของยาได้ถึงคิดสร้างสถานการณ์”
“ข้าว่าไม่เหมือน ข้ากลับรู้สึกว่าเขาราวกับตกอยู่ในสภาวะหนึ่ง แต่ก็อธิบายไม่ถูก” เซี่ยเทียนอู๋เสนอความคิดเห็นของตนเอง
ท่านผู้อาวุโสทั้งสี่ ความคิดเห็นไม่ตรงกัน ล้วนพูดไปคนละทาง
หัวชางซู่และโหลวชวนป่ายเองก็อยู่ในคนละอารมณ์กัน หัวชางซู่นั้นรู้สึกดีใจมาก อยากจะให้มู่ชิงเกอแพ้ไปเสีย โหลวชวนป่ายกลับทั้งเป็นห่วงมู่ชิงเกอและเชื่อในความสามารถของนาง