ตอนที่ 147-2
สร้างความรํ่ารวยโดยไร้เสียง!
พอเดินมาถึงปากทางเข้าสำนัก เซี่ยเทียนอู๋ก็พลันหยุดเท้าลง หันไปกล่าวแย้มยิ้มกับมู่ชิงเกอ “ตอนนี้ เขาก็ให้ความสนใจกับเจ้าแล้ว เกรงว่าไม่ช้าก็เร็วคงจะเข้ามาหาเจ้า ถ้าหากเขาเสนอการประลองปรุงโอสถกับเจ้า เจ้าก็น่าจะลองลดความทะนงตนของเขาลงมาหน่อย”
มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ ไม่ได้ปฏิเสธ และก็ไม่ได้ตอบรับ เพียงแค่กล่าวว่า “ผู้อาวุโสเซี่ยไปต่อกันเถิด”
มองไม่ออกถึงท่าทีของนาง เซี่ยเทียนอู๋ก็ทำได้เพียงพยักหน้า ไม่กล่าววาจาอีก
ประตูทางเข้าโรงโอสถกลาง พอเปรียบกับของสาขาย่อยแล้วก็ยิ่งใหญ่ขึงขังมากกว่านัก
หรือบางที จะสามารถกล่าวได้ว่าสาขาย่อยก็เป็นการย่อขนาดของส่วนกลาง
ระหว่างที่เดินเข้าไปในประตู ทิวทัศน์โดยรอบของโรงโอสถกลางก็พลันปรากฏขึ้นตรงหน้าของกลุ่มคน เหมือนกันก็คือท้องฟ้าแจ่มใสต้นไม้ขึ้นตระหง่านเงาไม้ร่มรื่นโอบล้อมไปทั่วโดยรอบ ที่ไม่เหมือนก็มีเพียงแค่ ภายในผืนป่าสีเขียวผืนนี้จะปรากฏบันไดหยกขาวขึ้นเป็นหย่อมๆ กับตำหนักสิ่งปลูกสร้างอันน่าเกรงขามงดงาม ทอดยาวเป็นชั้นๆ สูงขึ้นไป
ก่อนอื่นใด โรงโอสถสาขาย่อยที่เคยทำให้มู่ชิงเกอตกตะลึงเมื่อครั้งก่อนพอมาเปรียบกับโรงโอสถกลางแห่งนี้แล้ว ก็ช่างทำให้ผู้คนรู้สึกว่าตัวเองต้อยตํ่าลงไปมากมาย ก
“ว้าว—–! ช่างงดงามยิ่งนัก!”
“ช่างสวยจริงๆ!”
“ใหญ่มาก!”
เสียงร้องตื่นตาตื่นใจดังขึ้นมาจากด้านหลังไม่หยุด
เซี่ยเทียนอู๋พยักหน้าอย่างพึงพอใจ หันไปกล่าวกับพวกมู่ชิงเกอ “ตามข้าไปยังที่พักของพวกเจ้าก่อน ระหว่างทาง ข้าจะค่อยๆ กล่าวแนะนำให้พวกเจ้าฟัง”
“ด้วยฐานะของผู้อาวุโสเซี่ยในโรงโอสถกลางทำไมจะต้องมารับรองเองด้วย?” เพิ่งก้าวไปได้สองก้าว มู่ชิงเกอก็กล่าวข้อสงสัยของตนขึ้นมา
เซี่ยเทียนอู๋มองไปทางนางแล้วก็ยิ้มขึ้นมา “ก็ช่างเป็นคนที่หลักแหลมและช่างสังเกตนัก เอาเถิด ข้าขอกล่าวตามจริง เรื่องภารกิจในครั้งนี้เป็นข้าที่เสนอตัวออกไปเอง”
“เพราะเหตุใด?” มู่ชิงเกอแววตาไหววูบ กล่าวถามขึ้น
เซี่ยเทียนอู๋แสร้งทำเป็นนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ กล่าวครึ่งจริงครึ่งเท็จขึ้นมา “แน่นอนว่าอยากใกล้ชิดกับเจ้าให้มากๆ หน่อย ดูซิว่าจะสามารถทำให้เจ้ารั้งอยู่ที่สำนักส่วนกลางได้หรือไม่”
มู่ชิงเกอยิ้มจางๆ กล่าวอย่างสบายๆ “ผู้อาวุโสเซี่ยล้อเล่นแล้ว”
เซี่ยเทียนอู๋ก็ไม่ติดใจอันใด กล่าวกับนางอย่างไหลลื่น
“เจ้าบอกว่าล้อเล่น เช่นนั้นก็ล้อเล่นแล้วกัน”
“ส่วนกลางกับสาขาย่อยก็เหมือนกัน แบ่งออกเป็นสามหอ และที่เหมือนกันอีกคือมีเขตฝึกปรุงยา สวนสมุนไพร และที่พักของเหล่าศิษย์ พวกเจ้ามองไปทางตำหนักที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่พวกนั้น นั่นก็เป็นที่พักของเหล่าผู้อาวุโสกับเหล่าศิษย์ของพวกเขา” เซี่ยเทียนอู๋ระหว่างทางก็กล่าวแนะนำเรื่องราวต่างๆ ในโรงโอสถกลางให้ทุกคนฟัง
จ้าวหนานซิงพลางกล่าวว่า “ผู้อาวุโสเซี่ย เช่นนั้นช่วงนี้ ตอนพวกเราอยู่ที่โรงโอสถกลาง สถานที่พวกนี้เข้าออกได้ตามใจหรือไม่?”
เซี่ยเทียนอู๋คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “หอตำรายาก็มีข้อกำหนดตามระดับชั้นบนป้ายประจำตัวของพวกเจ้า เหมือนกับที่สาขาย่อย หอเก็บโอสถหากไม่มี
ป้ายอนุญาตก็ไม่อาจเข้าไปได้ ห้องปรุงยา สวนสมุนไพร อะไรพวกนั้นพวกเจ้าล้วนสามารถเข้าไปได้ แล้วก็ยังสามารถไปที่ลานประลองโอสถชมการประลอง หรือจะขึ้นไปบนลานประลองท้าประลองเองก็ได้”
“แล้วหอสติปัญญาเล่า?” มู่ชิงเกออยู่ๆ ก็พลันถามขึ้น
“หอสติปัญญา?” เชี่ยนเทียนอู๋ก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่าไม่เข้าใจว่ามู่ชิงเกอจะถามเช่นนี้ไปทำไม แต่เขาก็ยังตอบกลับไปตามความจริง “หอสติปัญญาถือเป็นสถานที่ทดสอบของเหล่าศิษย์ โดยทั่วไปหลังจากสอบผ่านแล้ว ก็จะไม่มีใครกลับเข้าไปอีก แต่ว่าก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าไปไม่ได้ เจ้าถ้าหากสนใจก็สามารถลองเข้าไปทดสอบดูได้”
พอพูดถึงตอนท้าย เซี่ยเทียนอู๋ก็เหมือนกับว่าจะเข้าใจความนัยที่ซ่อนอยู่ของมู่ชิงเกอ ก็เลยกล่าวแนะขึ้นมา
มู่ชิงเกอแววตาไหววูบ หันไปกล่าวกับเซี่ยเทียนอู๋ด้วยรอยยิ้มบางๆ “ขอบคุณผู้อาวุโสเซี่ยที่ชี้แนะ”
เซี่ยเทียนอู๋นำคณะของศิษย์สาขาย่อยมาถึงตำหนักที่ค่อนข้างห่างไกลแห่งหนึ่ง กล่าวไปทางกลุ่มคนอย่างใจดี
“ที่นี่ก็คือที่พำนักของพวกเจ้าตอนอยู่ที่สำนักส่วนกลาง ผู้อาวุโสจากสาขาที่มาด้วยกันกับพวกเจ้าก็ยังมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำ ก็คงไม่ได้อยู่ด้วยกันกับพวกเจ้า กฎ ระเบียบของสาขาย่อยกับกฎระเบียบของสาขาหลักก็ไม่ได้แตกต่างกันมากเท่าไรนัก พวกเจ้าก็คงทราบดีอยู่แล้ว ถ้าหากมีปัญหาอะไร ก็สามารถไปสอบถามพวกศิษย์พี่ที่จัดการดูแลที่นี่ได้”
เขาพอกล่าวขึ้นมาถึงตรงนี้ ก็พอดีกับมีศิษย์จำนวนหนึ่งที่เดินออกมาจากในตำหนัก เปรียบกับพวกไม่กี่คนที่เจอเมื่อครู่นั้น ท่าทางของคนพวกนี้ก็ชัดเจนว่าดูหยิ่งและถือตัวกว่ามาก
พวกเขาพอเดินมาถึงด้านหน้าของเซี่ยเทียนอู๋ ก็โค้งกายลงคำนับ “ศิษย์คารวะผู้อาวุโสเซี่ย”
เซี่ยเทียนอู๋พยักหน้าขึ้นเบาๆ ก่อนจะหันมากล่าวกับศิษย์สาขาย่อยอีกครั้ง “พวกเขาไม่กี่คนนี้ก็เป็นศิษย์พี่ที่ดูแลที่นี่ หลังจากนี้หากมีเรื่องราวใด มีอะไรไม่เข้าใจก็ให้ถามพวกเขา”
พอพูดจบเขาก็สะบัดชายแขนเสื้อเบาๆ เดินไปด้านข้างของมู่ชิงเกอ กล่าวกับเขาประโยคหนึ่ง “ถ้าหากมีปัญหาก็สามารถมาหาข้าได้’’
หลังจากนั้นก็ก้าวอาดๆ เดินจากไป
พอเซี่ยเทียนอู๋เดินจากไป พวกเขาห้าคนก็เข้ามารวมตัวกัน ไม่ได้รีบตามศิษย์ของโรงโอสถกลางพวกนั้นไปเลือกห้องพัก
“ดูท่า สาขาหลักแห่งนี้นํ้าก็ไม่ได้ตื้นเขินเท่าใดนัก!” จ้าวหนานซิงกล่าวขึ้นลอยๆ
ส่วนมู่ชิงเกอนั้นก็เพียงกล่าวอย่างสุขุมเย็นชา “สถานที่ที่มีผู้คน ก็ต้องมีกลุ่มอำนาจ สถานที่ที่มีกลุ่มอำนาจ ก็ต้องมีการแก่งแย่งชิงดี”
“เหอะ เหอะ มองไม่ออกว่าศิษย์น้องที่อายุยังน้อยกลับมีความเข้าใจโลกที่ลึกซึ้งเช่นนี้”
เหมยจื่อจ้งอยู่ๆ ก็ถามขึ้นมา “ชิงเกอ ถ้าหากจิ่งเทียนมาหาเจ้า เจ้าคิดว่าจะทำเช่นไร?”
มู่ชิงเกอกลับตอบอย่างไม่ลังเล “เช่นนั้นก็รอเขามา ค่อยว่ากัน จะข่มเหงผู้คนก็ยังต้องดูฤกษ์ยามด้วยรึ?”
ประโยคนี้ก็พลันทำให้แรงกดดันไร้สภาพโดยรอบผ่อนเบาลงไปไม่น้อย
มู่ชิงเกอมองไปทางพวกเขาพลางกล่าวว่า “พวกท่านพักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะไปดูที่หอสติปัญญาเสียหน่อย”
“ไปตอนนี้เลยรึ?” จ้าวหนานซิงถามอย่างแปลกใจ
มู่ชิงเกอพยักหน้า
จูหลิงก็พลันกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าก็จะไปดูด้วยว่าการทดสอบเข้าสำนักส่วนกลางมีการดำเนินการเช่นไร”
“ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าก็แล้วกัน” ซางจื่อซูคิดแล้วก่อนจะกล่าวกับจูหลิง
จ้าวหนานซิงพลันขมวดคิ้วขึ้น นึกถึงสายตาตอนก่อนหน้าที่จิ่งเทียนใช้มองดูซางจื่อซู “พวกเจ้าผู้หญิงสองคน ไปก็คงไม่สะดวกนัก ข้าว่าให้ข้าไปเป็นเพื่อนแล้วให้จื่อซูรั้งอยู่ที่นี่จะดีกว่า อยู่ด้วยกันกับศิษย์พี่เหมย”
ซางจื่อซูมองไปทางเขาก่อนจะนิ่งเงียบไม่กล่าววาจา
จูหลิงก็ฟังออกถึงความหมายซ่อนเร้นในประโยคของจ้าวหนานซิง ก็เลยหันไปพยักพลางกล่าวกับซางจื่อซู “ใช่ จื่อซูยังไม่ต้องไปหรอก”
ซางจื่อซูมองกลับไปที่นางอึดใจหนึ่ง ถึงค่อยกล่าวว่า “ก็ได้”
เหมยจื่อจ้งแต่เดิมคิดอยากไปหอสติปัญญากับมู่ชิงเกอ แต่ว่าการจัดแจงในตอนนี้กลับทำให้เขาพูดอะไรมากไม่ได้อีก กลายเป็นนิ่งเงียบลง
“ศิษย์พี่เหมย ศิษย์น้องมู่ ศิษย์พี่จ้าว ศิษย์พี่ซาง ศิษย์พี่จูพวกท่านรีบๆ เข้ามาเถอะ พวกข้าจะเหลือห้องดีๆ ไว้ให้พวกท่าน” ในตัวตำหนักก็พลันมีศิษย์จากสาขาย่อย เดินออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจ
แต่ละคนรอยยิ้มเบิกบานก่อนจะแยกย้ายกันไปตามห้องพักที่ได้จัดเอาไว้ มู่ชิงเกอยิ้มขึ้นน้อยๆ ก่อนจะหันตัวก้าวออกไปจากตำหนักใหญ่ เดินไปทางหอสติปัญญา
‘ในหอสติปัญญาแห่งนี้หลังจากเดินเข้าไปถึงด้านในสุด ไม่รู้ว่ายังจะมีของชิ้นนั้นอยู่หรือไม่?’ แหงนหน้ามองหอสติปัญญา มู่ชิงเกอก็อดไม่ได้ที่ลอบกลืนน้ำลาย
ถึงแม้ว่าจนถึงตอนนี้ มู่ชิงเกอจะยังไม่รู้ว่าตัวเองตอนอยู่ที่หอสติปัญญาของสาขาย่อยนั้นได้รับผลไม้แห่งจิตวิญญาณมา แต่ว่านางก็รู้ว่าของชิ้นนั้นสำหรับจิต วิญญาณแล้วมีประโยชน์อย่างมากมายมหาศาลนัก ในเมื่อเดินทางรอนแรมมาไกลจนถึงโรงโอสถกลาง นางไหนเลยจะยอมพลาดโอกาสดีงามเช่นนี้ได้?
วาดมือสะบัดแขนเสื้อออกไป มู่ชิงเกอเดินเข้าไปในประตูหลักของหอสติปัญญา
ตอนนี้ก็ไม่ใช่ช่วงเวลาที่โรงโอสถกลางจะรับศิษย์ดังนั้น ในหอสติปัญญาจึงว่างเปล่าไร้ผู้คน
ก็เหมือนกับที่เซี่ยเทียนอู๋ว่าไว้ ศิษย์ที่ผ่านการทดสอบแล้วก็จะไม่มีใครเข้ามารับการทดสอบที่หอสติปัญญาอีกครั้ง
มู่ชิงเกอก็นับได้ว่าเป็นคนอีกประเภทหนึ่ง
ผู้อาวุโสที่รับผิดชอบดูแลหอสติปัญญา ในขณะที่มู่ชิงเกอเดินเข้ามาเขาก็มองไปยังป้ายประจำตัวที่ผูกอยู่ที่เอวของนาง ก่อนจะรู้สึกแปลกใจขึ้น แต่ว่ากฎของโรงโอสถก็ไม่มีกฎที่ว่าศิษย์ของโรงโอสถไม่สามารถเข้าไปที่หอสติปัญญาเป็นครั้งที่สองได้ ดังนั้นก็เลยไม่ได้ห้ามรั้งอะไร มู่ชิงเกอที่เคยผ่านการทดสอบมาแล้วรอบหนึ่ง ก็เดินตรงเข้าไปยังประตูทดสอบ ขณะที่ขาทั้งสองข้างนางร่วงตกลงบนแท่นหิน ณ ขณะนั้น รอบด้านทั้งสี่ทิศก็เปลี่ยนกลายเป็นสีดำ หนึ่งเดียวที่สว่างอยู่ก็คือบันไดอันคดเคี้ยว ไม่เห็นหัวไม่เห็นหางใต้เท้านาง
มู่ชิงเกอมองไปยังสุดขอบของบันได ไม่ได้ลังเลอีก เดินขึ้นไปด้านบน