Skip to content

พลิกปฐพี 159-4

ตอนที่ 159-4

ท่านแม่! ลูกพี่? ลูกพี่ท่านแม่!

มู่ชิงเกอมองไปทางนาง ก่อนจะกล่าวอย่างมุ่งมั่นว่า “ท่านเจ้าหุบเขา ข้าก็มีคำขอร้องข้อหนึ่ง หวังว่าท่านจะตอบตกลง”

ในแววตาของกงเสวี่ยหยาทอแววสงสัยขึ้น

“ข้าอยากจะรั้งอยู่ที่นี่สักครู่หนึ่ง ข้าเรียนวิชาอาคมมาบ้าง ข้าอยากลองดูว่าจะสามารถแก้อาคมบทนี้ได้หรือไม่ ถ้าหากทำได้ นายหญิงน้อยก็ไม่จำเป็นจะต้องเสียสละตัวเองอีก ตัวข้าเองก็สามารถพบกับพญาเพลิงปีศาจไป๋กู่ได้ ถ้าหากสามารถสยบพญาเพลิงปีศาจไป๋กู่ได้ นี่ก็ไม่ใช่เป็นการทำลายคำสัตย์สาบานของหุบเขาหรอกรึ? นายหญิงน้อยก็ไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่ที่หุบเขาเพราะกฎเกณฑ์พวกนี้อีก สามารถออกไปค้นหาคนที่มีจิตใจตรงกันแล้วใช้ชีวิตกันไปจนแก่เฒ่า” มู่ชิงเกอกล่าวอย่างตั้งใจ

กงเสวี่ยหยาจ้องมองไปทางเขาตกตะลึง “คุณชายมู่คิดว่าทำได้จริงๆ รึ?”

มู่ชิงเกอส่ายหน้าขึ้นด้วยความสัตย์จริง “ไม่แน่ใจ แต่ข้าจะลองพยายามดู”

กงเสวี่ยหยาคิดแล้วคิดอีก ในเมื่อหากเกิดล้มเหลวก็ไม่ส่งผลเสียอันใด ดังนั้นนางก็ทำการพยักหน้าตอบตกลง “ตกลง เช่นนั้นท่านก็รั้งอยู่เถิด ถ้าหากมีอะไรไม่ชอบมาพากลก็ให้รีบออกมา”

“ขอบคุณท่านเจ้าหุบเขาแล้ว” มู่ชิงเกอยิ้มตอบให้นางบางๆ

กงเสวี่ยหยาออกไปจากห้องศิลา ไม่ได้ไปรบกวนมู่ชิงเกอ

ส่วนมู่ชิงเกอก็รั้งอยู่ในห้องศิลา เริ่มค้นหาวิธีทำลายอาคมอย่างตั้งใจ

‘เจ้านายจะให้เหมิงเหมิงช่วยอะไรหรือไม่?’ ในหัวของมู่ชิงเกออยู่ๆ ก็มีเสียงของเหมิงเหมิงดังขึ้นมา มู่ชิงเกอแววตาไหววูบ ถามว่า ‘เจ้ามีวิธี?’

เหมิงเหมิงพลันปรากฏกายขึ้นในหัวของมู่ชิงเกอ นิ้วมือป้อมๆ ชี้กลับไปทางตัวเอง กล่าวด้วยท่าทางภาคภูมิใจว่า “เจ้านายอย่าได้ลืมเชียวว่าข้าผู้นี้เป็นใคร! ข้าก็เป็นจิตวิญญาณแห่งยุทธภัณฑ์ร่างกายแต่เดิมก็เป็นอาคมขนาดใหญ่! ข้านั้นถือกำเนิดมาจากอาคม บนตัวก็มีพลังแห่งกฎเกณฑ์ของโลกนับหมื่นนับพัน ช่วยดูแลโลกแห่งช่องว่างแห่งนี้แทนเจ้านาย ”

“ฟังนะ อย่าเพิ่งเอาแต่โอ้อวด ในเมื่อเจ้ามีวิธี เช่นนั้นก็มาลองดูให้ข้า อาคมของที่นี่ควรจะแก้อย่างไร” มู่ชิงเกอกล่าวออกไปตรงๆ

“เช่นนั้น…ข้าน้อยอยากจะขอยืมดวงตาของเจ้านาย” เหมิงเหมิงกล่าว

สำหรับเหมิงเหมิงแล้วมู่ชิงเกอก็ยังไว้ใจนาง

ดังนั้นสำหรับการร้องขอของนางแล้วตนก็สามารถตอบตกลงได้อย่างไม่ลังเล

หลังจากนั้น ดวงตาทั้งสองข้างของมู่ชิงเกอก็พลันเกิดการเปลี่ยนแปลง นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นกระจ่างใสพร้อมกับปรากฏแสงสีนํ้าเงินครามดูลึกลับขึ้น ทำการตรวจสอบขึ้นอย่างรวดเร็ว เหมือนกับว่ากำลังทำการคำนวณอย่างละเอียดที่สุด

มู่ชิงเกอสำหรับพวกอักขระอาคมก็มีความเข้าใจอยู่ส่วนหนึ่ง นางเข้าใจไปถึงขั้นที่สามารถใช้อาคมดัดแปลงอาวุธยุทธภัณฑ์ก่อนที่สายเลือดของตัวเองจะตื่นขึ้นเสียอีก

และตอนนี้เองถึงแม้ดวงตาทั้งสองข้างจะมอบให้เหมิงเหมิงยืมใช้ แต่ประสาทสัมผัสก็ยังคงเป็นของนางอยู่

การคิดคำนวณอันสลับซับซ้อนในดวงตาคู่นั้นของนาง นางก็มองเห็นได้อย่างซัดเจนในใจก็ยิ่งเกิดความรู้สึกตกตะลึงยิ่งขึ้น

นางสงบจิตใจลง ตั้งใจทำความเข้าใจอย่างสุดความสามารถ

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ในตอนที่มู่ชิงเกอเริ่มรู้สึกหนาวลงไปเรื่อยๆ เสียงของเหมิงเหมิงก็ดังสะท้อนขึ้นอีกครั้ง “เสร็จแล้ว!”

พอกล่าวจบ ดวงตาทั้งสองข้างของมู่ชิงเกอก็กลับไปเป็นสภาพเดิม ดำขลับและกระจ่างใส

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” ผลการวิเคราะห์ของเหมิงเหมิง ในขณะเดียวกันก็ปรากฏในหัวของมู่ชิงเกอ ทำให้นางมองออกถึงจุดศูนย์กลางของอาคมได้ในสายตาเดียว

นางมุมปากยกขึ้นน้อยๆ ก้าวเดินไปทางเตียงหลังยักษ์อย่างรวดเร็ว

หลังจากเดินไปถึงแล้ว มือทั้งข้างของนางก็จับไปที่ขอบเตียง ก่อนจะใช้แรงกระชากมันดึงออกมา เผยให้พื้นห้องด้านใต้ขึ้น

บนพื้นก็สลักไว้ด้วยลวดลายอันลึกลับและดูประหลาดตากลุ่มหนึ่ง พวกมันกำลังเปล่งแสงสีชมพูอยู่จางๆ

“เจ้านาย ทำลายมันตรงๆ ได้เลยเจ้าค่ะ!” เหมิงเหมิงกล่าวเร่งมู่ชิงเกอขึ้น มู่ชิงเกอกลับหัวเราะฮาฮาขึ้นมาแทนที่ เอ่ยว่า “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าตอนนี้ไม่มีพลังเหลืออยู่?”

แต่ก็ถูกเหมิงเหมิงหัวเราะขันใส่ขึ้นมา “เจ้านายคงลืมไปว่าท่านเองก็มีกริชเล่มหนึ่งที่สามารถทำลายเขตแดนและอาคมได้?”

การกำชับเตือนของเหมิงเหมิงก็ทำเอาดวงตาของมู่ชิงเกอกระจ่างวาบขึ้นในทันใด

นางตบไปที่หัวของตัวเอง กระซิบกระซาบว่า “ใช่แล้ว! ข้าทำไมถึงได้ลืมไปได้ว่ามีกริชครึ่งเทพของฟ่งอวี๋เฟยเล่มนั้นอยู่?” แต่นางก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา “เจ้าก็ไม่ใช่เคยบอกไว้ว่ามันเพียงแค่สามารถทำลายอาคมที่ระดับไม่สูงมากจำนวนหนึ่งนี่?”

เหมิงเหมิงส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “เจ้านายท่านก็คงต้องทบทวนสิ่งที่ได้รํ่าเรียนมาสักหน่อยแล้ว อาคมนี่ก็ไม่นับว่าสูงส่งอันใด เป็นเพียงแค่อาคมที่ใช้วิธีพิสดารใน การกระตุ้นการทำงานก็เท่านั้น เพียงแค่ภายในหลินชวน คนที่เข้าใจศาสตร์อาคมนั้นแต่เดิมก็น้อยมากอยู่แล้ว ก็เลยไม่มีใครสามารถทำลายมันได้”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” มู่ชิงเกอพลันเข้าใจขึ้นมา

ในขณะเดียวกันก็ทอดถอนใจขึ้นในใจ ‘ดูท่า เรื่องที่ตนยังต้องเรียนรู้ก็มีอีกมากมายนัก จะต้องตั้งใจให้มากขึ้นกว่านี้!’

มู่ชิงเกอข้อมือพลิกหมุนเบาๆ กริชที่ฟ่งอวี๋เฟยมอบให้นางก็กำอยู่ในมือ นางจับไปที่ด้ามกริช ไม่มีท่าทางลังเล พุ่งแทงมันไปยังจุดศูนย์กลางของอาคม

ทันใดนั้นเอง นางก็ได้ยินเสียง ‘ครืน ครืน’ ดังขึ้นเสียงหนึ่ง พร้อมกับอักขระลวดลายบนพื้นศิลาเกิดสั่นไหวขึ้นมา ทันใดนั้นเอง ลายสลักก็พลันระเบิดออกกลายเป็นเศษผง

ต่อจากนั้นไม่ทันไร ก็เกิดสายลมสีขาวหมุนวนขึ้นโดยมีมู่ชิงเกอเป็นศูนย์กลาง ลมสายนั้นก็ดูรุนแรงนัก ทำเอาทั่วทั้งพื้นหินเกิดการสั่นไหวขึ้นมา

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไปทางเศษหินที่ร่วงกระจายลงมา จากด้านบนของห้องศิลาด้วยความประหลาดใจ และนางก็คงไม่รู้ว่าตอนนี้ด้านนอกเพราะนางทำลายอาคมก็เกิดแผ่นดินสั่นไหวขึ้น บนหุบเขาหิมะแต่เดิมเพราะเกิดการสั่นไหวเล็กน้อยก็ก่อให้เกิดหิมะถล่มได้อยู่แล้ว มาตอนนี้หิมะขนาดมหึมาที่เก็บสะสมอยู่บนยอดเขาก็กำลังถล่มลงมา ในหุบสงบใจถึงแม้จะไม่ได้ถูกหิมะกลบฝัง แต่พอได้เห็นเข้ากับฉากภาพอันน่าหวาดกลัวนี้ก็ทำเอาเกิดความชุลมุนขึ้นมา

“ทั้งหมดเงียบ ต่างคนต่างแยกย้ายไปที่ห้องของตัวเอง อย่าได้ออกมา” กงเสวี่ยหยายืนอยู่ด้านนอกตำหนักใหญ่ กล่าวกับผู้คนที่อยู่ในความโกลาหล

นางที่ภายนอกมองแล้วนิ่งขรึมอย่างถึงที่สุด ตอนนี้ในใจกลับตื่นตระหนกเป็นยิ่งนัก

ทำการคาดเดาขึ้นไม่หยุด ‘หรือว่าจะทำลายอาคมได้แล้วจริงๆ?’

“ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้น?” กงเจี้ยงเสวิ่ยวิ่งเข้ามาท่าทางกระวนกระวาย พอไม่เห็นมู่ชิงเกอยืนอยู่ข้างกายของมารดาตน ก็เร่งร้อนถามว่า “คุณชายมู่เล่า?”

กงเสวี่ยหยามองไปทางลูกสาวของตน กล่าวกับนางว่า “เขาไม่เป็นไร ตอนนี้เจ้ามาช่วยข้าควบคุมความสงบของคนในหุบเขาก่อน”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version