Skip to content

พลิกปฐพี 168-1

ตอนที่ 168-1

ตีจนมังกรกลายเป็นหนอน

อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ซางจื่อซูก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมอก ของชายหน้าบาก

“หยุดมือ!”

“รีบปล่อยนาง!” การป้องกันของโหลวชวนป่ายและเหมยจื่อจ้งดูทุลักทุเล เป็นอย่างมาก เลือดสีแดงสดไหลออกจากมุมปากและหน้าอกของพวกเขา ดูแล้วบาดตายิ่งนัก

“ปล่อยข้านะ!”

ซางจื่อซูพยายามขัดขืน แต่ก็ถูกชายคนนั้นแบกขึ้นไหล่ เดินออกไปข้างนอก

ฟู่เทียนหลงกับเว่ยฉีเห็นฉากนี้ คิดจะยืนขึ้นทันที แต่กลับถูกเว่ยกว่านกว่านกับสุ่ยหลิงหยุดเอาไว้ “พวกเจ้าจะทำอะไร?”

สุ่ยหลิงกับเว่ยกว่านกว่านรีบเอ่ยถาม

เว่ยฉีเอ่ยว่า “ที่พวกเขาทำกับศิษย์พี่ซาง”

“ศิษย์พี่ซางกับมู่เกอสนิทกัน มู่เกอไม่อาจมองดูอยู่เฉยๆ แน่ ” ฟู่เทียนหลงก็เอ่ยตาม “พวกเจ้าทำอะไรได้อย่างนั้นหรือ? มีเหตุผลหน่อย!” สุ่ยหลิงตะคอกเบา ๆ คนทั้งสองหยุดพูดไปพักหนึ่ง

“จื่อซู—–!” โหลวชวนป่ายกุมหน้าอกแล้วตะโกนเสียงดังออกมา

แต่ว่า ชายคนนั้นกลับหัวเราะอย่างบ้าคลั่งพร้อมนำซางจื่อซูออกจากห้องโถง ไม่ได้สนใจหัวชางซู่แม้แต่น้อย

หัวชางซู่ดูซางจื่อซูโดนนำตัวออกไปอย่างเย็นชา คอยชมดูท่าทางเจ็บปวดของโหลวชวนป่ายอย่างปรีดา

“หัวชางซู่เจ้าเดรัจฉาน! ซางจื่อซูเป็นศิษย์ของโรงโอสถ เจ้าที่เป็นหัวหน้าโรงโอสถกลับปล่อยเสือหมาป่าให้เข้ามาอย่างสบายๆ!” โหลวชวนป่ายต่อว่าอย่างเจ็บปวด

หัวชางซู่กลับเอ่ยอย่างไม่ได้สนใจว่า “นางไม่ใช่ศิษย์ของข้าเสียหน่อย ตอนนี้ดูแล้ว ตอนนั้นนางเองก็ตัดสินใจเลือกได้โง่มาก” เขาไม่เคยลืมว่าเริ่มแรกเขาได้หมายตาซางจื่อซูไว้แล้ว แต่ว่าสุดท้ายกลับถูกโหลวชวนป่ายแย่งไป

รอยยิ้มที่ดูอำมหิตนั้น บาดดวงตาจนทำเอาบรรดาผู้อาวุโสล้วนแต่ขบเขี้ยวกัดฟัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

เป็นดังคำที่สุ่ยหลิงเอ่ย พวกเขาได้รับพิษพลังจิตสลาย ดุจดั่งเป็นคนพิการ พุ่งออกไปก็จะทำอะไรได้? ไปทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บก็เท่านั้น ไม่มีวิธีเปลี่ยนเรื่องจริงที่ซางจื่อซูถูกนำตัวไปแล้วได้

“แค่ก แค่ก อาจารย์” ฝ่ามือที่เหมยจื่อจ้งโดนหนึ่งฝ่ามือนั้นหนักมาก ทุกครั้งที่ไอก็จะมีเลือดทะลักออกมา เขาไม่อาจลุกขึ้นได้ทำได้เพียงแต่คลานไปข้างกายของโหลวชวนป่ายและพยุงประคองกันและกันขึ้นเท่านั้น

พี่น้องตระกูลเว่ยและคนอื่นๆ อีกสี่คนทนดูต่อไปไม่ไหว พุ่งออกมาจากฝูงชน พยุงอาจารย์และศิษย์คู่นั้นขึ้นมาจากพื้น น่าเสียดายที่ร่างกายไร้ซึ่งโอสถสำหรับรักษาบาดแผล

ส่วนโหลวชวนป่ายกับเหมยจื่อจ้งไม่มีพลังจิต แม้แต่กระเป๋าจัดเก็บบนร่างก็ไม่อาจเปิดได้

“อาจารย์โหลว ศิษย์พี่เหมย พวกท่านไม่เป็นไรใช่ไหม” เว่ยฉีเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

โหลวชวนป่ายกัดฟันส่ายหน้า

นัยน์ตาของเหมยจื่อจ้งฉายแววเยียบเย็นขึ้นเป็นครั้งแรก เขามองไปที่หัวชางซู่ ต่อว่า “ปล่อยศิษย์น้องซาง แล้วอยากจะฆ่าจะแกงก็แล้วแต่เจ้า!”

หัวชางซู่กลับสบถออกมาคำหนึ่ง เอ่ยอย่างอวดดีมากขึ้นเรื่อยๆ “ยังมีคนฉลาดอยู่อีกหรือไม่? หรือว่าพวกเจ้าล้วนแต่ไม่กลัวตาย?”

ภายใต้การคุกคามของเขา มีหลายคนที่สะดุ้งและวิ่งออกมาจากห้องโถง ออกมาคุกเข่าสั่นๆ อยู่ข้างนอก

“ด้านล่างของต้นไม้ใหญ่เย็นดีจริง ๆ!” เมื่อหลีกเลี่ยงทหารยามชั้นนอกของโรงโอสถได้สำเร็จ จ้าวหนานซิงก็ยกหัวแม่มือให้มู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอยิ้ม ๆ มองไปยังหมอกขาวในป่าลึก ขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา

“เป็นอะไรไป?” จ้าวหนานซิงเอ่ยถาม

“เงียบเกินไป” คนที่ตอบนั้นไม่ใช่มู่ชิงเกอ แต่เป็นเซี่ยเทียนอู๋

หรือไม่ก็เป็นเพราะระดับพลังจ้าวหนานซิงอยู่แค่เพียงระดับพลังชั้นสีคราม ส่วนมู่ชิงเกอและเซี่ยเทียนอู๋นั้นคนหนึ่งอยู่ระดับพลังชั้นสีม่วง อีกคนหนึ่งอยู่ระดับพลังชั้นสีนํ้าเงิน ดังนั้น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างภายในอากาศ

“เงียบเกินไปอย่างนั้นหรือ?” จ้าวหนานซิงมองไปรอบๆ อย่างไม่เข้าใจ “ที่นี่ห่างออกจากโรงโอสถระยะหนึ่ง มักไม่มีผู้ใดถูกส่งมาเพื่อเฝ้ายาม ที่นี่จึงสงบเงียบเสมอมา” มู่ชิงเกอมองไปที่เขา แล้วเอ่ยถามขึ้นทันใด “ศิษย์พี่จ้าว ทางที่จะไปสู่โรงโอสถสาขาย่อยเพียงทางเดียวถูกปิดผนึก ท่านคิดว่าภายในโรงโอสถจะไม่ได้รู้สึกถึงอะไรเลยหรือ?”

จ้าวหนานซิงตะลึง เอ่ยอย่างจริงจังขึ้นว่า “ความหมายของเจ้าก็คือโรงโอสถไร้การควบคุมดูแลอย่างนั้นหรือ?”

เขาใช้คำว่า ‘ไร้การควบคุมดูแล’ ด้วยนํ้าเสียงที่เคร่งขรึม ความหมายแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าหากเป็นอย่างที่พวกเขาคิดจริงๆ เช่นนั้นโรงโอสถก็จะต้องเกิดเรื่องขึ้น อะไรก็เกิดขึ้นได้

“พวกเรารีบไป!” จ้าวหนานซิงเอ่ยกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอพยักหน้า ทั้งสามคนรีบเร่งเดินทางเข้าไปใกล้โรงโอสถสาขาย่อย

“ถ้าหากว่าข้างในไร้การควบคุมอย่างที่พวกเราคิดกันจริง ๆ กลัวว่าประตูใหญ่คงไม่น่าจะเดินผ่านได้แล้ว” เซี่ยเทียนอู๋หันมองมู่ชิงเกอแล้วเสนอปัญหาข้อหนึ่งออกมา

มู่ชิงเกอพยักหน้า เอ่ยกับจ้าวหนานซิงว่า “ศิษย์พี่จ้าว ท่านเป็นคนที่คุ้นเคยกับโรงโอสถมากที่สุดในพวกเราสามคน พอรู้หรือไม่ว่ามีทางอื่นที่สามารถใช้แทนเพื่อเข้าสู่โรงโอสถได้หรือไม่?”

ทางอื่น…

จ้าวหนานซิงขบริมฝีปากคิด เงยหน้าขึ้นมาเอ่ยกับมู่ชิงเกอกับเซี่ยเทียนอู๋ว่า “ที่จริงก็มีอีกทางที่สามารถเข้าไปได้ แต่ว่า…”

จ้าวหนานซิงพูดๆ หยุดๆ จนมู่ชิงเกอมองเห็นทางเล็กๆ ที่เขาพูดถึงแล้วถึงเข้าใจ

“รูสุนัขลอด!” มู่ชิงเกอชี้ไปที่รอยแตกใต้กำแพงแล้วมองจ้าวหนานซิง

ท่าทางของจ้าวหนานซิงดูอดสูเล็กน้อย ก่อนจะอธิบายว่า “ไม่ถือว่าเป็นรูสุนัขลอด ที่นี่เพราะหลังจากพังแล้วก็ยังไม่ได้รับการซ่อมแซม”

มู่ชิงเกอและเซี่ยเทียนอู๋หัวเราะในใจอย่างหมดหนทาง

“ไปเถอะ” มู่ชิงเกอม้วนเสื้อเอ่ย

“รอก่อน” เซี่ยเทียนอู๋ยกมือขึ้นหยุดยั้งในทันใด

มู่ชิงเกอมองเขา ในแววตาเกิดคำถาม

จ้าวหนานซิงก็เปิดปากพูด “ผู้อาวุโสเซี่ยมีอะไรหรือ?” เซี่ยเทียนอู๋ลดเสียงลงเอ่ย “หลังจากเข้าไป พวกเราแยกกันเคลื่อนไหวเถอะดูก่อนว่าด้านในเกิดเรื่องอะไรขึ้น อย่าได้วู่วาม จากนั้นก็นัดสถานที่และเวลารวมตัวกัน ปรึกษาถึงวิธีแก้ไข”

การวางแผนเช่นนี้ มู่ชิงเกอกับจ้าวหนานซิงก็ไม่มีความคิดเห็นอื่น

สามคนแยกย้ายกันเคลื่อนไหว

เพราะว่าเซี่ยเทียนอู๋ไม่คุ้นเคยกับโรงโอสถสาขาย่อยมากกว่าใคร จึงไปทางหอทั้งสามของโรงโอสถ หอทั้งสามของโรงโอสถกลางกับหอทั้งสามของโรงโอสถสาขาย่อยน่าจะเหมือนๆ กัน ส่วนพื้นที่ที่เหลือ จ้าวหนานซิงก็ไปที่ห้องหลอมโอสถและที่พักของศิษย์โรงโอสถสาขาย่อย ส่วนมู่ชิงเกอไปยังที่อื่นๆ

หลังจากตกลงกันดีแล้ว ทั้งสามคนก็เคลื่อนย้ายเข้าไปใน ‘ทางสุนัขลอด’ เข้าไปในโรงโอสถสาขาย่อย

เมื่อเข้าไปแล้วทั้งสามคนก็แยกย้ายกันทันที นัดกันไว้ หลังจากนี้หนึ่งชั่วยาม ให้รวมตัวกันด้านในหอสติปัญญา เพราะว่ามีเพียงแต่ที่นั้นเท่านั้นที่ไม่มีคนอยู่

“ปล่อยข้านะ!” ซางจื่อซูดิ้นรนขัดขืน สีหน้าดูซีดขาวเป็นอย่างมาก

พลังของนางถูกพิษในร่างกายทำให้สลายไป ตอนนั้นนางไม่ต่างไปจากหญิงสาวธรรมดา จะขัดขืนสำเร็จได้อย่างไร?

“คิดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีสาวงามชั้นยอดเช่นนี้อยู่ด้วย!” ชายหน้าบากยิ้มอย่างบ้าคลั่ง นัยน์ตายิ่งฉายแววหื่นกามออกมาอย่างไม่ปกปิด

ออกแรงถีบประตูห้อง ซางจือซูถูกเขานำเข้าไปในห้องว่างห้องหนึ่ง

ดูจากการตกแต่ง ก็ไม่รู้ว่าเป็นที่พักของศิษย์คนไหน

เตียงไม้กลางห้องเป็นเป้าหมายของชายคนนั้น เขาโอบซางจื่อซูไปที่ข้างเตียงแล้วก็โยนนางลงไป

เมื่อตกลงไปอย่างกะทันหัน แรงกระแทกทำให้ซางจื่อซูรู้สึกวิงเวียน ไหล่รู้สึกปวดขึ้น นางตะเกียกตะกายไปมาบนเตียง เงยใบหน้าอันเยียบเย็นขึ้นไปมองก็เห็นเข้ากับ ริมฝีปากของชายที่อำมหิตดั่งปีศาจคนนั้น นางไม่ได้เอ่ยขอร้องอีก แต่ดวงตากลับแสดงถึงความหมายมั่นอย่างชัดเจน

“อย่าใช้แววตาเช่นนั้นกับข้าอีก” ชายคนนั้นใช้มือจับคางของนาง ออกแรงลากนางมาที่หน้าของตนเอง นํ้าเสียงฉายแววเย็นชา ทันใดนั้น ชายคนนั้นก็แลบลิ้นที่เปียกออกมา เลียไปบนหน้าของซางจื่อซู หลับตาชิมรสชาติ การกระทำในครั้งนี้ ทำให้ซางจื่อซูหยุดหายใจ ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้าง นัยน์ตาฉายแววโกรธเกรี้ยว ร่างกายที่แข็งทื่อรู้สึกชา นางมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไรกัน?

ที่น่าโมโหก็คือ แม้แต่พลังที่จะขัดขืนนางก็ไม่มี!

“หอมจริงๆ!” ชายคนนั้นเอ่ยขึ้น

เขาลืมตา ดวงตาที่มองซางจื่อซูก็ยิ่งดูดุดันขึ้น

ซางจื่อซูพยายามข่มความรังเกียจในใจ เอ่ยเตือนเขา “หากว่าเจ้ากล้าบังคับข้า ข้าก็จะขอตาย!”

เพี๊ยะ—–!

ซางจื่อซูถูกตบจนล้มลงไปบนเตียง อาการปวดร้อนแผ่ซ่านมาจากแก้ม มันกลายเป็นสีแดงและบวมขึ้น มุมปากก็มีเลือดซึมออกมา

“กล้าขู่ข้าหรือ!” ชายคนนั้นเอ่ยอย่างแข็งกร้าว

ท่าทางดูบ้าคลั่ง เกิดจิตสังหาร ดูคล้ายกับจะสามารถฆ่าซางจื่อซูให้ตายได้ตลอดเวลา

ซางจื่อซูกัดฟัน นัยน์ตาหลุบลง เงยหน้าขึ้นมาพร้อมความเกลียดชัง ภายในความเคียดแค้นก็แฝงไว้ด้วยความหวาดกลัว นางกลัว กลัวจริงๆ ว่าความบริสุทธิ์ของ นางจะถูกชายอำมหิตผู้นี้ทำลายลงไป หากเป็นเช่นนั้นแล้วละก็ นางจะยังมีหน้าอาศัยอยู่บนโลกนี้ต่อไปได้อย่างไร?

“ข้าขอบอกเจ้าไว้ว่า หากว่าเจ้าตั้งใจปรนนิบัติข้า ต่อไปหลังจากที่งานใหญ่ของข้าสำเร็จ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะสามารถเป็นเจ้านายแห่งวังหลัง! แต่หากว่าเจ้าไม่รักดี ข้าเล่นกับเจ้าเสร็จแล้ว ก็จะมอบให้แก่บรรดาลูกน้องของข้า พวกเขานั้นดุจดังหมาป่าและเสือที่หิวกระหาย!”

คำพูดที่โหดร้ายของชายคนนั้น ทำให้ร่างกายของซางจื่อซูสั่นสะท้าน

หากเป็นเช่นนั้น นางก็จะขอตายตอนนี้!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version