ตอนที่ 168-4
ตีจนมังกรกลายเป็นหนอน
การต่อสู้ระหว่างโรงโอสถกับสำนักจิงเหมินยังคงดำเนินต่อไป โหลวชวนป่าย เหมยจื่อจ้งแล้วก็ยังมีจ้าวหนานซิงกลับถอยออกมาจากการต่อสู้มาคุ้มครองซางจื่อซู
ไม่นานนัก องครักษ์เขี้ยวมังกรก็มาถึง และเข้าสู่การต่อสู้ ทำให้สำนักจิงเหมินพ่ายแพ้ถอยกลับไป
เซี่ยเทียนอู๋หาโดยรอบ แต่ก็หาเงาร่างของหัวชางซู่ไม่พบ
“ผู้อาวุโสเซี่ย ที่นี่ไม่จำเป็นต้องใช้พวกข้าแล้ว พวกข้าจะไปหากบฏหัวชางซู่กับท่าน!” บรรดาผู้คุมกฎโรงโอสถสาขาย่อยค่อยๆ เดินมาด้านข้างของเซี่ยเทียนอู๋แล้วเอ่ยกับเขา
เซี่ยเทียนอู๋พยักหน้า นำบรรดาผู้คุมกฎออกค้นหาหัวชางซู่
ในเวลานี้ มู่ชิงเกอก็ได้พบกับจิงอู๋ตี้ที่ออกตระเวนหานางจนทั่วแล้ว
“เป็นเจ้าที่ทำลายเรื่องดีๆ ของข้า?” จิงอู๋ตี้เอ่ยพร้อมมอง มู่ชิงเกออย่างดูถูก
มู่ชิงเกอมองดูเขาด้วยท่าทางที่ดูเย็นชาแล้วเอ่ยขึ้น “สามารถเข้าสู่ระดับพลังชั้นสีม่วงได้ เจ้าถือว่ามีความสามารถ แต่น่าเสียดาย วันนี้เจ้าอยู่ในมือของข้า ก็ถูก กำหนดไว้แล้วต้องอยู่ในโลงศพสุนัข”
“เจ้าเด็กสามหาว!” จิงอู๋ตี้จ้องนางด้วยสายตาอำมหิต “ข้าจะจับเจ้าแล่เนื้อเป็นชิ้นๆ ให้สุนัขกิน”
มู่ชิงเกอยกมือขึ้นมองเขาอย่างไม่แยแส
ทันใดนั้น แรงกดดันก็หลงไหลออกมาจากร่างกายของนางและพุ่งไปบดขยี้จิงอู๋ตี้“ไม่มีใครบอกเจ้าหรือว่า ความแตกต่างระหว่างระดับพลังชั้นสีม่วงขั้นต้นและขั้น กลางนั้นมีช่องว่างขนาดใหญ่น่ะ!”
“อั๊ก!” จิงอู๋ตี้ถูกมู่ชิงเกอใช้พลังกดดันจนกระอักเลือดออกมา
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป มองนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าอยู่ระดับพลังขั้นสีม่วงขั้นกลาง!”
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหรี่เล็กลง พลังกดดันบนร่างยิ่งหนาแน่นขึ้น กดจนกระดูกในร่างของจิงอู๋ตี้เกิดเสียงดัง
‘แคร๊ก’ เส้นชีพจนบนกล้ามเนื้อระเบิด ผิวหนังก็เปลี่ยนเป็นสีม่วงแดง
เขากัดฟัน พยายามต่อด้านแรงกดดันจากมู่ชิงเกอ จ้องมองนางด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยเลือดแดงกํ่า
“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นมังกรอย่างนั้นหรอ?” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างดูแคลนไปประโยคหนึ่ง เงาร่างพลิ้วไปปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของจิงอู๋ตี้ในเวลาที่เขาเบิกตากว้างอย่างตก ตะลึง ก็ชกเข้าที่กรามของเขา
“อ้าก—–!”
จิงอู๋ตี้ร้องโหยหวน ฟันหักที่เต็มไปด้วยเลือดถูกพ่นออกมา
“เจ้ากล้าล่วงเกินศิษย์พี่ของข้าอย่างนั้นหรือ?”
กร๊อก!
เสียงกระดูกแตกดังขึ้น กระดูกไหล่ซ้ายของจิงอู๋ตี้ถูกมู่ชิงเกอดึงออก
กร๊อก!
กระดูกไหล่ขวาถูกดึงออก
กร๊อก!
กระดูกขาซ้ายถูกหัก
กร๊อก!
กระดูกขาขวาถูกหัก
“อ้า อ้า อ้า อ้า—–! ข้าจะฆ่าเจ้า!” จินอู๋ติ้ร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวด
“ต้องการลองยาพิษของข้าหรือไม่?” มู่ชิงเกอกระตุกปากขึ้นอย่างเย็นชา เอาเม็ดยาในมือใส่เข้าไปในปากของจิงอู๋ตี้
จิงอู๋ตี้หน้าซีด “เจ้าให้ข้ากินอะไร?!”
“รู้สึกให้ดีๆ วางใจได้ไม่ถึงตายหรอก” ดวงตาเยียบเย็นของมู่ชิงเกอหรี่ลง มุมปากเผยรอยยิ้มที่ดูโหดเหี้ยม
“อ้า—–! อ้า—–! พลังของข้า—–!” จิงอู๋ตี้รู้สึกว่าพลังในร่างของตนเองเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว บนร่างเกิดความเจ็บปวดดุจดั่งถูกมดเป็นหมื่นรุมกัด
ระดับพลังชั้นสีม่วง ระดับพลังชั้นสีนํ้าเงินชั้นสูงสุด
ระดับพลังชั้นสีนํ้าเงินชั้นสูง ระดับพลังชั้นสีนํ้าเงินชั้น
กลาง ระดับพลังชั้นสีนํ้าเงินชั้นต้น ระดับพลังชั้นสีคราม ชั้นสูงสุด ระดับพลังชั้นสีเขียวชั้นด้น ระดับพลังชั้นสี เหลืองชั้นสูงสุด
เพียงพริบตาเดียว ระดับพลังยุทธ์ของจิงอู๋ตี้ก็ตกลงจนถึงระดับพลังชั้นสีแดง
ร่างกายของเขาก็เปลี่ยนเป็นแก่ชราลงอย่างรวดเร็ว ผมสีดำเปลี่ยนเป็นสีขาวเทา ผิวก็เปลี่ยนเป็นเหี่ยวย่น
นัยน์ตาขุ่นมัว ดูเหมือนคนชราที่ผ่านโลกมามาก
แน่นอนว่าฉากภาพนี้ปรากฏอยู่เพียงครู่เดียว หลังจากนั้นเนื้อเลือดของเขากลับมาเต่งตึงดังเดิม เพียงแต่ผิวหนังกลายเป็นสีแดงเข้ม ภายในผิวหนังเหมือนมีแมลง เล็กๆ มากมายชอนไชอยู่ไม่หยุด
ดูเหมือนว่าที่เขาถูกเติมเต็มก็เป็นเพราะแมลงเหล่านี้
“อ้า—–!” จิงอู๋ตี้เจ็บปวดจนล้มลงกับพื้น กลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น
อาศัยระดับพลังระดับพลังชั้นสีม่วงของเขา ที่จริงก็ไม่สมควรถูกมู่ชิงเกอโจมตีจนตอบโต้ไม่ได้เช่นนี้ จะโทษก็ต้องโทษที่เขาประมาทศัตรูในตอนเริ่มต้น จึงถูกมู่ชิงเกอได้โอกาสทำให้เขาไม่สามารถต่อต้านได้เช่นนี้
ประกอบกับระดับพลังของมู่ชิงเกอที่สูงกว่าเขา ร่างกายก็ไม่รู้ว่าแข็งแกร่งกว่าเขากี่เท่า ถึงได้ถูกซ้อมจนพ่ายแพ้ยับเยินเช่นนี้
การเคลื่อนไหวของมู่ชิงเกอนั้นรวดเร็วมาก เพียงไม่กี่กระบวนท่าก็ทำให้จิงอู๋ตี้ทรมานได้แล้ว
จิงอู๋ตี้ใช้การไม่ได้แล้ว คนของสำนักจินเหมินก็เป็นเหมือนเศษผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนผืนทราย ไม่ต่อต้านอีกต่อไป คิดแต่จะหลบหนีออกไปข้างนอก
แต่ว่า ข้างนอกนั้นมีคนของกองทหารพันเพลิง พวกเขาจะสามารถหนีไปที่ไหนได้?
กลุ่มคนที่รวมตัวกันอยู่ที่เมืองซางจื่อ หลังจากได้รับสัญญาณจากหัวชางซู่แลัวก็เริ่มเคลื่อนไหว แต่กองทัพใหญ่ของแคว้นอวี๋ก็มาถึงพอดี
ที่แท้ทหารยามที่ถูกส่งออกไปหากองทัพผู้นั้น โชคดีไปเจอกองทหารฝึกที่กำลังเดินทางจากค่ายทหารมาเมืองซางจื่อเข้าพอดี เขารีบอาศัยจังหวะนั้น เรียกคนเหล่านี้ ให้เดินทางรุดมา จึงประหยัดเวลาไปมาก
ในโรงโอสถ มู่ชิงเกอหิ้วจิงอู๋ตี้ที่ดูเหมือนดั่งสุนัขตายไป แล้วปรากฏตัวที่ตรงหน้าของทุกคน โยนเขาลงไปตรงหน้าของซางจื่อซู
“เป็นเขา!” นัยน์ตาของจ้าวหนานซิงมีความเกรี้ยวโกรธ พวยพุ่งออกมา โกรธแค้นจนอยากจะสับจิงอู๋ตี้เป็นหมื่นๆ ชิ้น
ในตอนนี้ ซางจื่อซูก็ค่อยๆ ลุกชิ้นมา ยื่นมือไปทางจ้าวหนานซิงแล้วเอ่ย “เอามีดให้ข้า”
จ้าวหนานซิงชะงัก ในใจเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ยังทำตามความต้องการของนาง ส่งมีดเล่มหนึ่งให้นาง ซางจื่อซูกำมีดแน่น ค่อยๆ เดินไปทางจิงอู๋ตี้
จิงอู๋ตี้ยิ้มอย่างบ้าคลั่ง สายตาที่มองซางจื่อซู ยังคงฉายแววคุกคามนางอยู่
ดวงตาของซางจื่อซูแดงก่ำ ความเกลียดชังพวยพุ่งออกมา นางร้องขึ้น สองมือกำมีดแน่น แทงเข้าไปในร่างของจิงอู๋ตี้
นางร้องตะโกน คุกเข่าลงกับพื้น มีดในสองมือแทงเข้าไปในร่างของจิงอู๋ตี้ เลือดจากบาดแผลสาดไปบนเสื้อผ้า มือ ใบหน้า และเส้นผมของนาง แต่ก็ไม่ได้ทำให้นางถอยแม้แต่น้อย
ดูเหมือนว่าความอัปยศบนร่างนาง ต้องอาศัยเลือดของชายคนนี้ถึงจะล้างออก
พวกมู่ชิงเกอยืนอยู่ข้างกายของนาง พวกเว่ยฉีสี่คนก็เดินตามมา ทุกคนล้วนแล้วแต่เงียบไม่เปล่งเสียง ไม่มีใครห้ามความบ้าคลั่งของนาง ปล่อยให้ได้นางระบายมันออกมา
จิงอู๋ตี้ตายแล้ว จบชีวิตในแบบที่ทำให้เขารู้สึกอับอาย ขายหน้า ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นราวกับว่าเขาตายตาไม่หลับ
เนื้อบนร่างของเขาถูกซางจื่อซูแทงจนเละไปนานแล้ว แต่ซางจื่อซูก็ยังไม่หยุด สองมือแทงลงไปไม่หยุดอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดจ้าวหนานซิงก็ทนดูต่อไปไม่ไหว พุ่งเข้าไปโอบกอดร่างที่เปื้อนเลือดของซางจื่อซูไว้ กระซิบข้างหูของนางว่า “พอแล้ว จื่อซู พอแล้ว พอแล้ว…อย่าเป็นเพราะคนผู้นี้จนทำร้ายตัวเองอีกเลย…”
แต่ว่าซางจื่อซูยังคงปิดหูปิดตา ยังคงลงมือต่อไปไม่หยุดการเคลื่อนไหว
มู่ชิงลอบถอนหายใจในใจ เดินไปวางมือลงที่ไหล่ของนาง ทำให้นางสลบไป
จ้าวหนานซิงโอบซางจื่อซูเอาไว้แน่น เงยหน้ามองมู่ชิงเกอ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ
มู่ชิงเกอมองท่าทางที่ดูเจ็บปวดของโหลวชวนป่าย ในที่สุดก็ตอบคำถามก่อนหน้านี้ของเขา “อาจารย์โปรดวางใจ ข้าไปทันเวลา”
ใช่แล้ว นางไปได้ทันเวลา ไม่ได้ทำให้ซางจื่อซูรับความเจ็บปวดถึงขั้นสุดท้าย ถือว่ายังคงรักษาความบริสุทธิ์ของนางเอาไว้ได้ แต่ว่าความอัปยศที่นางได้รับมาก่อน นั้นก็จะไม่นับแล้วหรือ?
เพียงแต่ตอนนั้นนางได้แต่ทำเช่นนี้เพื่อปลอบโยนเหล่าคนที่โทษตัวเองเพราะเรื่องซางจื่อซูเหล่านี้เท่านั้น
“หัวชางซู่! เจ้ายังคิดจะหนีไปไหน?”
หัวชางซู่คิดจะอาศัยโอกาสช่วงวุ่นวายพาลูกศิษย์หนีไป สุดท้ายก็ยังถูกสกัดไว้ที่หน้าประตูของหอเก็บโอสถ…