ตอนที่ 170-2
อาหารของหยวนหยวนจอมตะกละ!
“ท่านผู้เฒ่า ข้ากลับมาแล้ว”
หลังจากที่เข้าไปในบ้านไม้ฟู่เทียนหลงก็แสดงความเคารพต่อผู้เฒ่าร่างกายผ่ายผอม หลังโค้งงอผู้หนึ่งที่นั่งหันหลังให้พวกเขา
มู่ชิงเกอลอบพิจารณา ผู้เฒ่าที่อยู่เบื้องหน้านี้ให้ความรู้สึกราวไม้ใกล้ฝั่ง ถึงช่วงสุดท้ายของชะตาชีวิต
“แค่ก แค่ก เทียนหลงกลับมาแล้วรึ” เสียงแหบห้าว ของชายชราลอยมา แต่ไม่ค่อยน่าฟังอีกทั้งเต็มไปด้วยความแหบพร่า
“ขอรับ” ฟู่เทียนหลงเดินขึ้นหน้า คุกเข้าอยู่ข้างกายเขา ลูบหลังให้เขาด้วยความระมัดระวัง
ราวกับว่าท่านผู้เฒ่าเผ่าหูพักผ่อนเพียงพอแล้ว ค่อยๆหายใจโล่งขึ้น ทอดถอนใจพลางเอ่ยขึ้นว่า “พาเพื่อนกลับมาด้วย ไม่เลว ไม่เลว เจ้ากลับมาครั้งนี้ถูกต้องแล้ว หากกลับมาช้ากว่านี้เกรงว่าข้าจะไม่ได้อยู่รอเจ้าแล้ว”
“ท่านผู้เฒ่า ท่านพูดอะไรกัน?” ฟู่เทียนหลงเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน
มือที่ผ่ายผอมและเหี่ยวย่นค่อยๆ ยกขึ้นมา โบกมือเบาๆ “เวลาชีวิตมีวันสิ้นสุด แม้แต่เทพมารยังไม่อาจหลีกหนี แล้วนับประสาอะไรกับปุถุชนคนธรรมดาอย่างพวกเราล่ะ?”
เทพมาร?
สายตาของมู่ชิงเกอแข็งค้าง เมื่อได้ยินคำว่า ‘เทพมาร’ อีกครั้งจากปากของท่านผู้เฒ่า นางไม่รู้ว่าเป็นเพียงการบรรยายอย่างหนึ่ง หรือว่าท่านผู้เฒ่านี้จะรู้เรื่องอะไร เกี่ยวกับเทพมารทั้งสองเผ่าพันธุ์
“เจ้าอยากถามอะไรก็ถามมาเถอะ” เสียงของท่านผู้เฒ่าลอยแว่วมา ดึงความคิดของมู่ชิงเกอให้กลับมา
ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา ราวกับว่าหากมู่ชิงเกอไม่ถามออกมา เขาก็จะไม่มีโอกาสได้พูดออกมาแล้ว
มู่ชิงเกอกะพริบตา ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แสดงความเคารพต่อเบื้องหลังท่านผู้เฒ่า จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ผู้น้อยมาที่นี่ด้วยเรื่องพญาเพลิงปาฮวงซูคง”
“พญาเพลิงปาฮวงซูคงหรือ ” ท่านผู้เฒ่าเอ่ยซํ้าประโยคของมู่ชิงเกอเบาๆ คล้ายกับว่าตกอยู่ในภวังค์ความทรงจำเมื่อนานมาแล้ว
มู่ชิงเกอไม่ได้เร่งรัดแต่อย่างใด รอคอยด้วยความอดทน
ฟู่เทียนหลงกลับเป็นฝ่ายแสดงอาการร้อนใจ เอ่ยแก่ท่านผู้เฒ่าว่า “ท่านผู้เฒ่า พญาเพลิงปาฮวงซูคงสำคัญต่อมู่เกอมาก หากท่านรู้อะไรก็บอกเขาเถอะ”
มือที่ผ่ายผอมนั้นตกลงบนไหล่ของฟู่เทียนหลง ตบเบาๆ สองที
ถึงแม้ว่ามู่ชิงเกอจะไม่เห็นอารมณ์ของท่านผู้เฒ่า แต่ก็เดาได้ว่าเขาจะต้องเป็นคนใจดีเป็นแน่ แต่แน่นอนว่า ความใจดีนั้นไม่ได้มีให้นาง แต่มีให้ฟู่เทียนหลง
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ท่านผู้เฒ่าจึงได้เอ่ยปากขึ้น ย้อนนึกถึงส่วนลึกของความทรงจำและเล่ามันออกมา “นานมาแล้ว ข้าเองก็จำไม่ได้ว่าเก้าร้อยกว่าปีหรือว่าเป็นพันปี จำได้เพียงว่าตอนนั้นข้ายังเป็นเด็กตัวเล็กๆ มีอยู่วันหนึ่ง มีแสงอันเจิดจ้าตกลงมาที่เทือกเขาเดียวดายเทือกเขาหนึ่ง เทือกเขาแห่งนั้นต่อมาก็คือเทือกเขาปาฮวง แสงอันเจิดจ้านั้นวนเวียนอยู่สามเดือนเต็ม เหล่าผู้กล้าในชนเผ่ามุ่งหน้าไปตรวจดูแต่ก็ไม่ได้กลับมา พ่อของข้าเป็นผู้กล้าคนแรกในชนเผ่า หลังจากกลับมาจากการพเนจรแล้วรู้เรื่องเข้าก็อาสาสมัครจะไปสืบข่าวและตามหาร่องรอยของเหล่าผู้กล้าที่หายสาบสูญไป เขาไปทีเป็นเดือนกว่าๆ ตอนที่กลับมาผิวหนังก็ถูกแผดเผาไปทั่วร่าง เหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย ก่อนที่จะตายเขาพูดเพียงประโยคเดียวว่า ‘พญาเพลิงปาฮวงซูคง’ ก่อนจะสิ้นชีพไป จากนั้นก็สลายหายไปท่ามกลางสายตาของคนในชนเผ่าราวกับถูกความว่างเปล่ากลืนกินไป”
หลังจากที่เล่าเรื่องราวความเป็นมานี้จบ ท่านผู้เฒ่าก็ไออย่างรุนแรง
บรรยากาศในห้องตกอยู่ในความหดหู่
มู่ชิงเกอแสดงออกถึงความจริงจังอยู่บ้าง
จวบจนท่านผู้เฒ่าหายใจสะดวกขึ้นแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “สหายน้อย เจ้ารู้ถึงความร้ายกาจของพญาเพลิงปาฮวงซูคงหรือไม่?”
มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้น ขบริมฝีปากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่เอ่ยขึ้นตามตรงว่า “ไม่ค่อยชัดเจนนัก” การจัดอันดับพญาเพลิงของหานฉายไฉ่ เพียงบรรยายพญาเพลิงที่ติดห้าอันดับแรกเท่านั้น ไม่ได้เขียนอธิบายมากนัก
อีกทั้งก่อนหน้านั้นนางก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องเผชิญกับพญาเพลิงปาฮวงซูคง ดังนั้นจึงไม่ได้ทำการตรวจสอบใดๆ
พูดให้จริงจังหน่อยก็คือที่นางมาตามหาพญาเพลิงปาฮวงซูคงในครั้งนี้ก็เพราะว่าจะหาแหล่งพลังงานให้หยวนหยวนก็เท่านั้น หยวนหยวนหากอยากจะเจริญเติบโตก็จะต้องไม่หยุดกลืนกินพญาเพลิง เพื่อเพิ่มระดับและความสามารถของตนเอง
ท่านผู้เฒ่าถอนหายใจ คล้ายกับจะตำหนิมู่ชิงเกอที่มีความคิดกล้ามาสู้กับพญาเพลิงปาฮวงซูคงโดยที่ไม่รู้อะไรแน่ชัด
แต่ก็ยังคงบอกสิ่งที่ตนเองรู้และเข้าใจออกมา “คำพูดของพ่อก่อนตายนั้นฝังแน่นในใจข้ามาโดยตลอด หลังจากนั้นเมื่อแสงหายไป ชนเผ่าต้องการจะเตือนคนในเผ่า จึงได้ตั้งชื่อมันว่าเทือกเขาปาฮวง หลังจากที่ข้าโตเป็นผู้ใหญ่ก็พะวงเรื่องพญาเพลิงปาฮวงซูคงอยู่ในใจตลอดมา จึงคิดหาวิธีไปทำความเข้าใจ ข้อมูลที่ได้มาไม่ได้มากมายอะไรแต่ก็พอใช้ได้อยู่ ”
พอพูดมาถึงตรงนี้ท่านผู้เฒ่าก็หยุดไปชวครู่เหมือนกับ ว่ากำลังเรียบเรียงคำพูดอยู่ ผ่านไปสักพักเขาก็เอ่ยขึ้นว่า “พญาเพลิงปาฮวงซูคง เปลวเพลิงของมันมีความ สามารถในการทำให้ทุกอย่างว่างเปล่า”
ตอนที่ท่านผู้เฒ่าเอ่ยประโยคนี้นํ้าเสียงฉายความดุดันขึ้นหลายส่วน ฟู่เทียนหลงมองเห็นแววตาเย็นชาฉายออกมาจากดวงตาพร่ามัวคู่นั้น
“เปลวเพลิงมีความสามารถในการทำให้ทุกอย่างว่างเปล่า?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วเล็กน้อย คล้ายกับว่าไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำกล่าวนี้
ท่านผู้เฒ่าพยักหน้า “เปลวเพลิงของมัน เพียงแค่ถูกตัวก็ยากที่จะสลัดพ้น มันจะแผดเผาผิวหนังของเจ้า กลืนกินเลือดเนื้อและกระดูกของเจ้า จากนั้นก็จะเผาไหม้ร่างของเจ้าจนกลายเป็นเถ้าถ่าน สุดท้ายถูกความว่างเปล่าเข้ากลืนกิน กลายเป็นแหล่งพลังงานเพิ่มพลังให้กับมัน”
ฟู่เทียนหลงฟังแล้วหนาวสันหลัง เขาหน้าเปลี่ยนสีเอ่ยกับท่านผู้เฒ่าว่า “ท่านผู้เฒ่า พญาเพลิงปาฮวงซูคงนี่น่ากลัวเพียงนี้เชียวหรือ?”
ท่านผู้เฒ่าหัวเราะเยือกเย็น “นี่ยังไม่เท่าไรนะ? ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ เปลวเพลิงของมันไม่มีสี ไม่มีอุณหภูมิ ไปเข้าใกล้ตอนไหนก็ไม่อาจรู้ได้ แม้ว่าเจ้าจะระวังตัวดีแค่ไหน ก็จะถูกเปลวเพลิงเข้ากลํ้ากราย”
‘เป็นพวกที่เหมาะที่จะใช้ในการลอบทำร้ายจริงๆ ด้วย’ มู่ชิงเกออุทานในใจ
วิธีการเช่นนี้พาให้ผู้คนนํ้าลายไหล
ทันใดนั้น เสียงที่ค่อนข้างจะจริงจังของท่านผู้เฒ่าก็ลอยมา “ในเมื่อน่ากลัว แล้วเจ้าจะไปหาพญาเพลิงปาฮวงซูคงทำไมกัน?”
มู่ชิงเกอนิ่งชะงัก กระตุกยิ้มมุมปาก “ท่านผู้เฒ่าโปรดวางใจ ผู้น้อยไม่กระทำการด้วยความมุทะลุแน่นอน” คำกล่าวนี้ไม่ได้เอ่ยอย่างขอไปที เหมิงเหมิงเคยพูดว่านางจะเข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างพญาเพลิงด้วยกันไม่ได้ ดังนั้นหน้าที่ของนางคือรับผิดชอบตามหาพญาเพลิงปาฮวงซูคง จากนั้นจะสามารถกลืนกินพญาเพลิงปาฮวงซูคงได้หรือไม่ ก็ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของหยวนหยวนแล้ว
“เฮ้อ!” คำตอบของมู่ชิงเกอทำให้ท่านผู้เฒ่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ คล้ายกับว่ามู่ชิงเกอทะนงตนเกินไป ทำให้เขารู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง “ท่านผู้เฒ่า ท่านรู้เรื่องอะไรอีกบอกมู่เกอไปเถิดขอรับ เขาร้ายกาจมาก โชคดีอีกต่างหาก ไม่มีทางเกิดเรื่องได้” ฟู่เทียนหลงออกหน้าพูดแทนมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอได้ยินเช่นนั้นก็อดที่จะฉีกยิ้มไม่ได้
แต่ว่าจะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ เอาเถอะ โชคของนางไม่เลวจริงๆ นั้นแหละ!
ราวกับศีรษะของท่านผู้เฒ่าขยับเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็อยู่ท่าเดิม เนิ่นนานก่อนเอ่ยว่า “พญาเพลิงปาฮวงซูคงอยู่ที่เทือกเขาปาฮวงจริงๆ และดูเหมือนว่าจะหลับใหล มาเกือบพันปี เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ จากการวิเคราะห์ของข้า น่ากลัวว่าจะเป็นเพราะประสบสงครามครั้งใหญ่จนได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงต้องหลับใหลเพื่อฟื้นฟู ส่วนที่ว่ามันจะตื่นขึ้นมาเมื่อใด พละกำลังเป็นเช่นไร ข้าก็ไม่อาจทราบได้ ”
หลับใหลจากการได้รับบาดเจ็บ?
ดวงตาของมู่ชิงเกอเป็นประกาย นางจำได้ว่าตอนแรก หานฉายไฉ่พูดว่า พญาเพลิงเมฆสุริยาหลับใหลเนื่องจากได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กันของพญาเพลิง ส่วนพญาเพลิงปาฮวงซูคงนี่ก็หลับใหลเพราะได้รับบาดเจ็บ? อะไรจะบังเอิญขนาดนี้? คงไม่ใช่ว่าเป็นการต่อสู้ของพวกมันทั้งสอง แล้วสุดท้ายได้รับบาดเจ็บหนักทั้งสองฝ่ายนะ?
เรื่องของเวลาล่ะ? เวลาเทียบกันได้หรือไม่?
พันปี พันปีก่อน ไม่มีที่ราบลั่วรื่อ
นัยน์ตามู่ชิงเกอเปล่งประกายยิ่งขึ้น ก่อนหน้านี้หานฉายไฉ่เคยเล่าเกี่ยวกับที่ราบลั่วรื่อ ในห้วงความคิดของนางค่อยๆ ปรากฏพญาเพลิงปาฮวงซูคงที่ท่านผู้เฒ่าเล่าให้ฟังรวมอยู่ด้วยกัน
พญาเพลิงสองสายปรากฏตัวขึ้นเมื่อพันปีก่อนเช่นเดียวกัน เพียงแต่สายหนึ่งอยู่ที่ที่ราบลั่วรื่อ อีกสายหนึ่งปรากฏอยู่ในหุบเขาแคว้นปา พญาเพลิงทั้งสองสายต่างก็ได้รับบาดเจ็บ บอบชํ้า อยู่ในภาวะหลับใหลเพื่อพักฟื้นพลังชีวิต
ความบังเชิญมากมายนี่ มีความเป็นไปได้ที่จะคืนความจริงให้กับเมื่อพันปีก่อน พญาเพลิงที่ต่อสู้กับพญาเพลิงเมฆสุริยา ก็น่าจะเป็นพญาเพลิงปาฮวงซูคงนี่แหละ พญาเพลิงปารวงซูคงจัดอยู่ในอันดับเหนือว่าพญาเพลิงเมฆสุริยา ดูแล้วไม่น่าจะพ่ายแพ้และได้รับบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย
แต่ว่ามีความเป็นไปได้หนึ่งที่สามารถเป็นไปได้มากที่สุด พญาเพลิงเมฆสุริยาได้เข้าสู่ช่วงร่วงโรยแล้ว นั้นก็เท่ากับว่าเมื่อพันปีก่อนมันก็น่าจะอยู่ในช่วงเจริญวัย มันสามารถสู้กับพญาเพลิงปาฮวงซูคงอย่างเอาเป็นเอาตาย สองฝ่ายต่างพ่ายแพ้และได้รับบาดเจ็บ เช่นนั้นก็อธิบายได้ว่าพญาเพลิงปาฮวงซูคงในตอนนั้นยังอยู่ในช่วงกำลังเจริญเติบโต
หลับใหลร่วมพันปี คาดว่าพญาเพลิงปาฮวงซูคงน่าจะเข้าสู่ช่วงโตเต็มวัย มู่ชิงเกอตาแข็งค้างในใจรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา หยวนหยวนเพิ่งจะเปลี่ยนจากวัยแรกเกิดเข้าสู่วัยกำลังเจริญเติบโต หากปะทะกับพญาเพลิงปาฮวงซูคงที่อยู่ในวัยโตเต็มที่เกรงว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้