Skip to content

พลิกปฐพี 184-1

ตอนที่ 184-1

ต่อยตีศัตรูที่เข้ามาป่วน

ชานเมืองเทียนตู โอบล้อมด้วยขุนเขามากมาย

ท่ามกลางหุบเขาโอบล้อมแห่งหนึ่ง มีกำแพงดินสูงเป็นชั้นๆ ที่ถูกสร้างขึ้นจากพลังจิตโดยยอดฝีมือไร้เทียมทาน ที่มีกำลังแข็งแกร่งท่านหนึ่ง ที่แห่งนี้ถูกเรียกว่า ‘กรง’

ยอดเขาที่ล้อมรอบหุบเขาเชื่อมต่อกันด้วยระเบียงทางเชื่อม ในระเบียงทางเชื่อมถูกเรียงด้วยโต๊ะเก้าอี้ สำหรับให้ผู้ชมการแข่งขันที่ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมต่อสู้ไว้ใช้งาน

ที่แห่งนี้คือสนามประลองในด่านที่สองของงานชุมนุมใหญ่หลินชวน

แท่นประลองทรงกลมด้านในกำแพงดินก็คือเขตแดนของผู้แข่งขัน ท่ามกลางหุบเขาด้านหลังกำแพงดินก็มีแท่นประลองทรงกลมเดียวกันนี้ทั้งหมดห้าแห่ง หรือ กล่าวได้ว่าการประลองทั้งห้าสนามนี้สามารถดำเนินการพร้อมกันได้

กติกาการประลองในด่านที่สองนี้ก็แสนง่ายดาย ให้แต่ละแคว้นส่งตัวแทนหกคนนัดหมายต่อสู้ได้ตามใจชอบ ฝ่ายที่ชนะจะได้รับคะแนนสะสมสองแต้ม ส่วนฝ่ายที่แพ้ก็โดนหักสองแต้ม

เวลาการประลองยังคงเป็นเจ็ดวันเช่นเดิม ภายในเจ็ดวันนี้ไม่จำกัดรอบการแข่งขัน เพียงแค่เจ้าคิดว่าตัวเองลงประลองไหวก็สามารถลงสนามได้ขอเพียงไม่ถึงแก่ชีวิต ก็ไม่มีกฎกติกาห้ามใดๆ ทั้งสิ้น

ส่วนกำแพงสูงที่สร้างขึ้นมาจากพลังจิตเหล่านั้น ก็สามารถต้านทานการโจมตีจากระดับพลังชั้นสีม่วงที่แข็งแกร่งที่สุดได้ รับประกันได้ว่าการแข่งขันระหว่างทั้งสองฝ่ายจะไม่ถูกรบกวน

เนื่องจากการประลองในด่านที่สองนี้จะมีศิษย์จากสี่ตระกูลใหญ่เข้าร่วมด้วย ดังนั้นหากแคว้นใดเจอกับศิษย์จากลี่ตระกูลแล้วชนะ ก็จะได้รับคะแนนสะสมสามแต้ม แต่ถ้าแพ้ก็จะไม่หักคะแนนแต่อย่างใด

สุดท้ายดูคะแนนสะสมมาจัดอันดับ รับรางวัลคะแนนพิเศษในการประลองรอบนี้

บรรดาผู้ชมที่นั่งตามโถงระเบียงภูเขา สามารถมองเห็นการประลองทั้งห้าสนามภายในหุบเขาได้ทั้งหมด เห็นอยู่ในสายตา

มู่ชิงเกอนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงมุมของหุบเขา ข้างๆ นางก็มีองครักษ์เขี้ยวมังกรผู้หนึ่งนั่งอยู่ ส่วนจ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยรวมถึงคนที่พวกเขาพามาก็นั่งอยู่ใกล้ๆ นาง

ภายในกำแพงสูงที่อยู่ไม่ไกลออกไป มีเสียงอาวุธกระทบกันลอยแว่วมาไม่ขาดสาย แม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่ก็สามารถเดาได้จากเสียงว่าการประลองภายในดุเดือดเพียงใด

ทันใดนั้น ประตูเหล็กทมิฬด้านล่างกำแพงสูงก็ถูกเปิดออก ใบหน้าที่มู่ชินเกอคุ้นเคยเดินออกมา

ต้านหลังของเขามีบุรุษแคว้นหรงผู้หนึ่งที่ขณะนี้ นอนหายใจรวยรินอยู่บนเปลถูกหามออกมา เขาเดินเข้ามาหามู่ชิงเกอด้วยท่าทางสงบนิ่ง ส่วนมุมอีกด้านหนึ่งมีชายหนุ่มจากแคว้นหรงมองมาที่เขาด้วยสายตาเคียดแค้น รีบรับเพื่อนตนเองไปเข้ารับการรักษาอย่างเร่งรีบ

“คุณชาย เสร็จสิ้นภารกิจตามที่ได้รับมอบหมายขอรับ” เขาเดินไปหยุดลงข้างๆ มู่ชิงเกอ ประสานมือคำนับ มู่ชิงเกอพยักหน้าลงเล็กน้อย ปรายตามองมายังพื้นที่ ว่างข้างกาย “พักผ่อนเถอะ”

องครักษ์เขี้ยวมังกรที่ได้รับชัยชนะนายนี้รีบเดินไปนั่งขัดสมาธิอยู่อีกด้านหนึ่งของมู่ชิงเกอทันทีโดยไม่มีท่าทีลังเล หลับตาลงเข้าสู่การฟื้นฟูพลัง

หลังจากที่เขาพักผ่อนแล้ว องครักษ์เขี้ยวมังกรอีกนายหนึ่งที่เดิมนั่งอยู่ข้างๆ มู่ชิงเกอก็ลุกขึ้นมาทันที หลุบตาก้มศีรษะให้มู่ชิงเกอ จากนั้นก็หันหลังเดินไปตรงประตูเหล็กทมิฬที่เปิดอยู่ มู่ชิงเกอมองเขาเดินเข้าไปข้างในด้วยอาการสงบนิ่ง ไม่มีแววหนักใจเลยแม้แต่น้อย

ฝ่ายแคว้นหรงเมื่อเห็นว่าคนของมู่ชิงเกอเดินเข้าไปอีกครั้ง ผู้ที่มีอุปนิสัยมุทะลุดุดันก็คิดที่จะเข้าไปใน ‘กรง’ แก้แค้นให้เพื่อน แต่ก็ถูกเพื่อนคนอื่นๆ รั้งตัวไว้ ยับยั้งการกระทำอันหุนหันพลันแล่นของเขา

ในขณะที่ลังเลใจอยู่นั้น ทางฝั่งแคว้นตี๋ก็มีคนผู้หนึ่งสาวเท้ายาวๆ ก้าวเข้าไปใน ‘กรง’ นั้น ประตูเหล็กทมิฬค่อยๆ ปิดสนิทเข้าหากัน ปิดกั้นสายตาของคนที่อยู่ด้านนอก มีเพียงผู้ที่นั่งอยู่บนเฉลียงระเบียงบนยอดเขาเท่านั้นถึงจะสามารถรับรู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น หวงฝู่ฮ่วนเดินไปหยุดลงข้างๆ เจียงหลี เห็นนางกินผลไม้อยู่โดยไม่สนใจเรื่องราว

ดวงตาอ่อนโยนนุ่มนวลของเขาแฝงรอยยิ้มอ่อนๆ เอ่ยถามขึ้นว่า “เหตุใดวันนี้ฮ่องเต้เจียงถึงไม่ไปอยู่ข้างกายคุณชายมู่กันเล่า?” เจียงหลีเงยหน้าขึ้นมองเขาวูบหนึ่ง กัดผลไม้ที่อยู่ในมือไปคำหนึ่ง เอ่ยขึ้นด้วยเสียงอู้อี้ว่า “เขาไปประลอง ข้าจะ ไปทำไม?”

“ข้าหลงนึกว่าฮ่องเต้เจียงจะกังวลเรื่องผลการแข่งขันของคุณชายมู่เสียอีก” หวงฝู่ฮ่วนนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ เจียงหลี อยู่สนทนาเป็นเพื่อนนาง

เจียงหลีส่งเสียงเยาะหยันขึ้นมาคราหนึ่ง “หากเขาพ่ายให้กับคนเหล่านี้ ข้าคงไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา!”

“ฮ่องเต้เจียงช่างมีความเชื่อมั่นในคุณชายมู่เหลือเกิน” หวงฝู่ฮ่วนระบายรอยยิ้มอ่อนๆ พลางเอ่ยขึ้น

“นั้นย่อมต้องแน่นอน!” ดวงตาสีทองของเจียงหลีเป็นประกายวาววับระยิบระยับ ราวกับแสดงถึงความเชื่อนั้นที่นางมีต่อมู่ชิงเกอ

ท่ามกลางหุบเขา จ้าวหนานซิงลุกขึ้นยืนเดินไปที่มู่ชิงเกอ ก่อนจะนั่งลงบนที่ว่างข้างกายนางอย่างสบายอารมณ์

“องครักษ์เขี้ยวมังกรลงมือเอง ความจริงแล้วเจ้าไม่ต้องร่วมแข่งขันในด่านที่สองก็ได้” จ้าวหนานซิงมองหน้ามู่ชิงเกอและเอ่ยขึ้น

มู่ชิงเกอพยักหน้า “ความจริงข้าเองก็ไม่คิดจะเข้าร่วม แต่ว่ามีคนส่งสาล์นท้ารบ หากข้าไม่มาจะไม่เป็นการทำลายเจตนาดีของผู้อื่นหรือ?”

“สาส์นท้ารบ?” น้ำเสียงของจ้าวหนานซิงฉายแววประหลาดใจ

“อืม หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ เฉินปี้เฉิงแห่งตระกูลเฉิน” มู่ชิงเกอตอบด้วยท่าทางไมู่ยี่หระ

เฉินปี้เฉิง!

“ผู้ที่ถูกเรียกขานว่าเจ้าบ้าเฉินผู้นั้นหรือ?” สายตาจ้าวหนานซิงจริงจัง นํ้าเสียงขึงขังขึ้นหลายส่วน

“เขานั่นแหละ” มู่ชิงเกอน้ำเสียงราบเรียบ แม้แต่แววตาก็ยังคงฉายแววสงบนิ่ง

จ้าวหนานซิงขมวดคิ้วพลางเอ่ยขึ้นว่า “มิใช่ว่าก่อนหน้านี้เจ้ากับเขาได้ต่อสู้ไม่แบ่งแพ้ชนะกันไปแล้วรอบหนึ่ง ตอนอยู่ในวังหลวงหรอกหรือ? เหตุใดยังมาตอแยเจ้าอยู่อีก?”

มู่ชิงเกอกดยิ้มมุมปากเบาๆ “เขารู้สึกว่าครั้งนั้นสู้กันไม่สะใจ” ในความเป็นจริงแล้วนางเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ตอนนั้นสถานที่คือวังหลวงของอาณาจักรเซิ่งหยวน ทั้งยังมีสายตาจับจ้องจากจักรพรรดิหยวนและคนอื่นๆ พวกเขาสองคนไม่ได้ลงไม้ลงมือกันเต็มที่

“เขารู้สึกไม่สะใจก็ต้องฟังเขาหรืออย่างไร? ประสาทจริง! เจ้ายักษ์ปักหลั่นบ้าพลัง!” จ้าวหนานซิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขณะกล่าว

มู่ชิงเกอเป็นไพ่ตายสำคัญในการมาอาณาจักรเซิ่งหยวนของพวกเขาในครั้งนี้พูดตามหลักเหตุผลแล้ว เขาไม่หวังให้มู่ชิงเกอเปิดเผยความสามารถของตัวเองออกมาเร็วนัก

ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็เคยได้ยินมู่ชิงเกอบรรยายลักษณะของเฉินปี้เฉิงมาบ้าง ว่าเป็นผู้คลั่งไคล้การต่อสู้ผู้หนึ่ง ถึงอย่างไรมู่ชิงเกอก็เป็นสตรี หากได้รับบาดเจ็บจากการแข่งขันขึ้นมา เขาจะมีหน้าไปพบอาจารย์ศิษย์พี่และจื่อซูได้อย่างไร?

“ไม่ได้! ในเมื่อพละกำลังของพวกเจ้าทั้งสองคนสูสีกัน สู้กันไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด เจ้าไม่ต้องไปหรอก” จ้าวหนานซิงเอ่ยแสดงความคิดเห็น

มู่ชิงเกอกลับยืดอกหลังตรง รอยยิ้มแฝงการรอคอยอยู่หลายส่วน “ก็เพราะพละกำลังสูสีกันนี่แหละ ถึงค่อยรู้สึกเลือดลมสูบฉีดขึ้นมาบ้าง”

นัยน์ตานางเปล่งประกายแพรวพราวสดใส รอคอยสงครามครั้งใหญ่สุดหฤหรรษ์ที่จะฝึกฝนทักษะและประสบการณ์ของตนเอง

“ดูท่าว่าเจ้าตัดสินใจไปแล้ว” จ้าวหนานซิงเอ่ยอย่างจนปัญญา มู่ชิงเกอพยักหน้ารับ

จ้าวหนานซิงส่ายหน้าและเอ่ยขึ้นว่า “ข้าพูดไม่ชนะเจ้า ทำได้เพียงปล่อยให้เจ้าไป ยังไงก็ดูแลตัวเองให้ดี อย่าหักโหมเกินไป อีกอย่างเจ้าก็เป็นปรมาจารย์ปรุงยาระดับจิตวิญญาณ หากเกิดอะไรขึ้นมาจำไว้ว่าให้กินยาระดับจิตวิญญาณ อย่าไปคิดเรื่องความยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม มันไม่ยุติธรรมตั้งแต่ที่เจ้าเฉินปี้เฉิงนั่นส่งสาส์นท้ารบให้เจ้าแล้ว”

จากนํ้าเสียงของจ้าวหนานซิงก็พอจะฟังออกถึงความไม่พอใจ มู่ชิงเกออดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม

นางย่อมฟังออกว่าสิ่งที่จ้าวหนานซิงพูดว่า ‘ไม่ยุติธรรม’ ในช่วงท้ายประโยคนั้นหมายความว่าอย่างไร หลังจากที่ศิษย์พี่จ้าวผู้นี้ทราบเพศที่แท้จริงของนางแล้วก็ไม่เคยมองนางเป็นบุรุษอีกเลย ดังนั้นในสายตาของสุภาพบุรุษเช่นเขา การที่เฉินปี้เฉิงบุรุษอายุยี่สิบกว่าปีส่งสาสน์ท้ารบให้สตรีอายุสิบแปดสิบเก้ามันก็ไม่ยุติธรรมอยู่แล้ว เหตุใดต้องเกรงใจเขาด้วย?

ความหวังดีของจ้าวหนานซิง มู่ชิงเกอไม่ได้โต้แย้งออกมาซึ่งหน้า

แต่ว่า ในใจนางกลับไม่รู้สึกว่าการนัดต่อสู้กับเฉินปี้เฉิงเป็นเรื่องไม่ยุติธรรมแต่อย่างใด

“เอ๊ะ?” จ้าวหนานซิงกวาดตามองไปรอบๆ ขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นด้วยความไม่พอใจว่า “เจ้าบ้าแซ่เฉินผู้นี้ เป็นคนส่งสาส์นท้ารบเองแท้ๆ เหตุใดป่านนี้จึงยังไม่เห็นมา?”

“ไม่มีปัญหา” มู่ชิงเกอไม่ใส่ใจสะบัดผ้าที่ปูไว้บนหัวเข่า ลุกขึ้นยืนเอามือไพล่หลัง “เขาจะมาเมื่อไร ถึงที่สุดก็ต้องมา ตัวข้าเองเมื่อลงชื่อแล้วย่อมต้องช่วยแคว้นฉินของเราโกยคะแนน ถือเป็นการอุ่นเครื่องก่อนการแข่งขัน” พูดจบ นางก็สาวเท้ายาวๆ ตรงเข้าไปที่ประตูเหล็กทมิฬที่เพิ่งเปิดออกมา

มองดูแผ่นหลังนางเดินจากไป จ้าวหนานซิงเกิดความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

มู่ชิงเกอที่เป็นคนง่ายๆ สบายๆ ไม่ยึดติดพิธีการเช่นนี้ ถึงแม้จะรู้ว่านางเป็นสตรี แต่จ้าวหนานซิงยังคงไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีสตรีเช่นนี้อยู่บนโลกใบนี้ ดวงตาของนางสุกสกาว เทียบได้กับบุรุษมากมาย สาดส่องแสงอาทิตย์บนท้องฟ้า

จ้าวหนานซิงแหงนหน้ามองผ่านขุนเขาขึ้นไปบนดวงอาทิตย์ที่สาดแสงแรงกล้าบนท้องฟ้า แสงทิ่มแทงเช่นนั้น ทำให้ผู้คนไม่สามารถมองตรงๆ ได้ แต่กลับทำให้ผู้คนรู้สึกไว้ใจ สามารถพึ่งพิงได้อย่างง่ายดาย เป็นความรู้สึกเช่นเดียวกับมู่ชิงเกอ

ประตูเหล็กทมิฬค่อยๆ ปิดสนิท กั้นปีศาจนั้นไว้ใน ‘กรง’

ชั่วขณะที่มู่ชิงเกอเดินเข้าไป บรรดาผู้ชมที่อยู่ตรงบริเวณทางเชื่อมขุนเขาต่างก็พากันคึกคักขึ้นมา แววตาเจียงหลีเป็นประกาย ดวงตากลมโตสดใสยิ้มโค้งแลคล้ายพระจันทร์เสี้ยว

นางนั่งเอาขาไขว้กัน เขย่าเท้าน้อยๆ พลางทอดถอนใจ เอ่ยขึ้นว่า “นั่งเบื่อมาตั้งนาน ในที่สุดก็มีอะไรน่าดูสักที”

หวงฝู่ฮ่วนเอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “น่าดู? ข้าไม่คิดว่าคนที่นี่จะเป็นคู่ต่อสู้ของมู่ชิงเกอ” เขาเคยเห็นการต่อสู้ระหว่างมู่ชิงเกอกับเฉินปี้เฉิงมากับตาตัวเอง

ดังนั้นเขาค่อนข้างมั่นใจว่าในเทียนตูหรือพูดได้ว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันที่เข้าร่วมในงานชุมนุมใหญ่หลินชวน ครั้งนี้นอกจากการต่อสู้ระหว่างเฉินปี้เฉิงและมู่ชิงเกอแล้ว คนอื่นๆ ก็เป็นเพียงการมีอยู่ของคราบเขม่าควันเพียงเท่านั้น

“ใครบอกท่านว่าจะดูการต่อสู้แบบตัวต่อตัวกัน?” เจียงหลีมองเขาอย่างไม่ไยดี ในสายตาฉายแววเย้าหยอก

หวงฝู่ฮ่วนชะงักงัน คล้ายกับไม่เข้าใจความหมายของเจียงหลี

เจียงหลีเอ่ยอธิบายตามมาว่า “ดูมู่ชิงเกอกลั่นแกล้งคนอื่นก็เป็นความสนุกอย่างหนึ่ง!”

คำพูดตรงๆ ของเจียงหลีทำเอาหวงฝู่ฮ่วนชะงักอยู่กับที่ ไม่มีสิ่งใดจะกล่าว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version