ตอนที่ 184-2
ต่อยตีศัตรูที่เข้ามาป่วน
ภายใน ‘กรง’ ที่มู่ชิงเกออยู่นั้น ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางก็เป็นนักรบผู้หนึ่งจากแคว้นอวี่ พละกำลังอยู่ระดับพลังชั้นสีครามขั้นสูงสุด ดูจากระดับความสามารถของแคว้นระดับสองแล้ว คนผู้นี้ถือเป็นผู้นำของคนหนุ่มสาวรุ่นหลัง
เขายืนอยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกอ ในระหว่างที่มู่ชิงเกอสาวเท้าก้าวเข้าไปอย่างเรื่อยเฉื่อยนั้นสีหน้าของเขาก็พลันถอดสี
คล้ายกับว่า เขาจะไม่คิดว่าคู่ต่อสู้ของเขาจะเป็นมู่ชิงเกอ เมื่อครั้งที่มาเทียนตูแรกๆ เขาก็ติดตามบรรดาราชทูตเข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับที่จักรพรรดิหยวนจัดขึ้น แม้ว่าในงานเลี้ยงทุกคนจะถูกมู่ชิงเกอดึงดูดสายตาไป ไม่มีโอกาสให้เขาได้เผยโฉมออกไป
แต่ว่าเขาก็เห็นภาพที่มู่ชิงเกอปล่อยหมัดใส่นายน้อยสำนักหมื่นอสูรจนถลาออกไปกับตาตนเอง
พละกำลังการต่อสู้ของเขาไม่สูงเท่าไท่สื่อเกา หากวันนี้พบกับมู่ชิงเกอ จุดจบสุดท้ายจะเป็นอย่างไรยังต้องคิดอีกรึ?
มู่ชิงเกอก้าวเท้าเข้ามาช้าๆ ขาทั้งสองข้างของเขาสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เลือดในกายพลันลดอุณหภูมิถึงจุดเยือกแข็ง แม้แต่พลังจิตที่เดิมทีเติมเปี่ยมก็ราวกับลด ฮวบลงทันที ไม่สามารถไหลเวียนได้ในเส้นชีพจร
เหงื่อเม็ดเท่าไข่มุกอาบไล้ไปตามแนวเครา เปียกชุ่มเสื้อของเขา
เมื่อมู่ชิงเกอยืนตั้งหลักมั่น ขาทั้งสองข้างก็พลันอ่อนยวบ ทรุดลงไปกับพื้น ร่างดุจตะแกรงสั่นไปหมด มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว นางไม่ได้ปล่อยพลังออกมาแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่ได้ลงมือ เหตุใดคู่ต่อสู้ล้มลงไปเสียแล้ว?
“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามด้วยความจริงใจ
แต่ว่ากลับทำให้นับรบระดับพลังชั้นสีครามขั้นสูงสุดจาก แคว้นอวี่ตกใจกลัวจนฉี่ราด ล้มลุกคลุกคลานวิ่งออกไปทางประตูเหล็กทมิฬ ร้องตะโกนออกมาไม่หยุด “ข้าแพ้แล้ว! ข้าแพ้แล้ว!”
นํ้าเสียงของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ในสมองของเขาปรากฏภาพที่มู่ชิงเกอสู้กับไท่สื่อเกาจนเขากระอักเลือดออกมาไม่หยุดวนไปมา เขาไม่ใช่ไท่สื่อเกา หากได้รับบาดเจ็บขึ้นมาไม่มีผู้ใดยอมมอบเม็ดโอสถมารักษาให้เขาเป็นแน่ เขาเองก็ยังไม่อยากตาย เพื่อการแข่งขันหนึ่งด่านถึงกับส่งตัวเองไปตาย
คล้ายกับว่าหาเหตุผลที่จะหนีจากการแข่งขันให้ตัวเองได้แล้ว เขาก็รีบร้อนพุ่งตัวไปยังประตูเหล็กทมิฬที่เปิดออกกะทันหัน
มู่ชิงเกอมองแผ่นหลังของเขาที่กำลังหลบหนีด้วยสภาพทุลักทุเลด้วยท่าทีคลุมเครือ ไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรลงไป หรือว่าตนเองมีรูปลักษณ์ที่ทำให้ผู้อื่นตกใจกลัว?
ชนะไปเช่นนี้หนึ่งด่าน? แม้แต่ตัวมู่ชิงเกอเองยังไม่อยากเชื่อ
ชนะด้วยวิธีนี้ก็ออกจะง่ายดายเกินไป!
นางก้มหน้าลงอย่างลำบากใจ ยกมือขึ้นมาปัดจมูกตัวเองเบาๆ
“จบเช่นนี้น่ะหรือ!” เจียงหลีทุบหมัดลงบนที่เท้าแขน เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด
หวงฝู่ฮ่วนหันสายตากลับมาด้วยความสงสัยแกมประหลาดใจ สายตามองไล่ไปตั้งแต่มือที่กำหมัดของนางไล่ไปจนถึงใบหน้างดงามไม่เป็นสองรองใครด้านข้างของนาง “เหตุใดฟังจากนํ้าเสียงของฮ่องเต้เจียง แล้วเหมือนกับว่าท่านไม่หวังให้มู่ชิงเกอชนะ?”
“ท่านจะไปรู้อะไร! ยังไม่ได้สู้ก็ยอมแพ้เสียแล้ว คนจากแคว้นอวี่ผู้นี้ก็ออกจะขี้ขลาดตาขาวอยู่บ้าง! คนเขาอยากดูมู่ชิงเกอแกล้งคนอยู่นะ!” เจียงหลีเอ่ยด้วยนํ้าเสียงโกรธเคือง
หวงฝู่ฮ่วนมุมปากกระตุกยิกๆ
เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่า ความสามารถของ ‘อำนาจและเงินตราที่จะช่วยได้ในทุกเรื่องราว’ ไม่สามารถรับมือกับความคิดของฮ่องเต้เจียงได้
ในขณะที่มู่ชิงเกอเป็นยอดฝีมือผู้เงียบเหงาอยู่นั้น บริเวณประตูเหล็กทมิฬก็มีผู้หนึ่งเดินเข้ามา มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมอง บนร่างของผู้ที่เข้ามามีตราสัญลักษณ์แคว้นตี๋ติดอยู่ ดูแล้วคนผู้นี้คงเป็นนักรบจากแคว้นตี๋ เมื่อเทียบกับนักรบแคว้นอวี่ที่ไม่ทันรบก็ล่าถอยผู้นั้นแล้ว นักรบแคว้นตี๋ผู้นี้มีความองอาจห้าวหาญกว่า เขาก้าวเท้ายาวๆ มาหยุดลงตรงหน้ามู่ชิงเกอ หว่างคิ้วฉายชัดถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ เขาประสานมือคำนับมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายมู่ ข้ารู้ว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน แต่ก็อยากจะขอลองดู โปรดชี้แนะ!”
ท่าทีไม่หวาดหวั่นของเขา ทำให้มู่ชิงเกอชื่นชม นี่สิถึงจะเป็นท่าทีที่ทหารควรมี ถึงแม้ภารกิจจะยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด ก็จะต้องมีจิตใจมุ่งมั่นที่จะพิชิตความ ยากลำบากทั้งหมด!
‘แคว้นตี๋เป็นแคว้นที่ประชาชนล้วนเป็นทหาร!’ คนตรงหน้านางควรค่าแก่การให้ความเคารพ แม้ว่าเขาจะเปราะบางในสายตานางก็ตาม
“เชิญ!” มู่ชิงเกอยืดหลังตรง เอ่ยเชิญเขา
ดวงตานักรบแคว้นตี๋เคร่งขรึม กำหมัดจนบนหมัดนั้นเกิดเป็นแสงสีครามขึ้นชั้นหนึ่ง
“หมัดเงาวายุ!” เขาเปล่งเสียงตะโกน เหวี่ยงหมัดโจมตีใส่มู่ชิงเกอ
ระดับพลังชั้นสีครามชั้นกลาง!
สายตาของมู่ชิงเกอเป็นประกายเรืองแสงพาดผ่าน ตัดสินพลังของคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย ระดับพลังชั้นสีครามชั้นกลางยังอยู่ห่างจากนักรบแคว้นอวี่ก่อนหน้านี้ อยู่สองชั้น
แต่ว่า ความห้าวหาญเช่นนี้กลับชนะคนก่อนหน้านี้ไปไกลไม่เห็นฝุ่น
มู่ชิงเกอกล้ายืนยันว่าหากทั้งสองคนนี้เจอกัน ผู้พ่ายแพ้ก็ยังคงเป็นนักรบแคว้นอวี่อยู่ดี เพราะว่าเขาขาดจิตใจมุ่งมั่นของผู้กล้า
มู่ชิงเกอยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้หลบหลีก แรงลมที่มาจากหมัดนั้นพัดพาเส้นผมของนางปลิวไสวกลางอากาศ
เงาหมัดขนาดใหญ่ ทาบทับลงมาจากร่างของนักรบแคว้นตี๋ในสายตาคนนอกเห็นแค่เพียงเงาแสงสีครามดุจสายลมจู่โจมเข้ามา แต่ในสายตาของมู่ชิงเกอกลับเห็น เงาหมัดมากมายเปลี่ยนแปลงรูปร่างไม่ขาดสายพุ่งเข้ามาจู่โจมตนเอง คล้ายกับว่าไม่สามารถจะหลบหลีกได้
“หมัดเงาวายุนี่เป็นทักษะสงครามที่แทบทุกคนในกองทัพแคว้นตี๋ต้องฝึกฝน แม้ว่าจะเป็นทักษะสงครามระดับทมิฬ แต่อานุภาพกลับรุนแรงโหดเหี้ยม เมื่อออกหมัด เงาหมัดนับพันนับหมื่นก็ปิดหนทางล่าถอย บังคับให้คู่ต่อสู้รับมือทางตรง แต่ว่าหากรับมือทางตรงก็ย่อมต้องรับการโจมตีของหมัดนับไม่ถ้วน ดูท่าว่าผู้เข้าแข่งขันจากแคว้นตี๋ผู้นี้ก็รู้ว่าพลังจิตของตนเองสู้มู่ชิงเกอไม่ได้ ดังนั้น เมื่อลงสนามก็เปิดด้วยกระบวนท่าที่ตนเองคุ้นเคยและมีโอกาสที่สุด” จักรพรรดิหยวนหวงฝู่เฮ่าเทียนพยักหน้า กล่าวชม
ในขณะเดียวกัน ในแววตาเขาก็ฉายแววรอคอย รอคอยว่ามู่ชิงเกอจะใช้กระบวนท่าใดมารับมือ
“น่าสนใจ” ท่านผู้เฒ่าโรงโอสถหรี่ตาลง เผยรอยยิ้มมีนัยยะไม่ชัดเจน
แล้วก็ไม่รู้ว่าประโยคที่เขาเอ่ยขึ้นมานี้ กล่าวถึงผู้ใด
มู่ชิงเกอยืนอยู่ที่เดิม ราวกับปะการังที่ถูกคลื่นโหมซัดสาด แน่นิ่งไม่ไหวติง แรงหมัดนับพันนับหมื่นสายเหล่านั้นในสายตากระจ่างใสของนางสุดท้ายก็รวมตัวกันอยู่ แห่งเดียว กลายเป็นกำปั้นมหึมาพุ่งเข้าใส่ใบหน้าตนเองตรงๆ
ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็ขยับตัว นางยกมือขวาขึ้นอย่างช้าที่สุด ทุกคนต่างเห็นวิถีชัดเจน พุ่งเข้ารับกำปั้นมหึมานั้น
“จะรับมือทางตรงจริงหรือนี่? แบบนี้จะต้องรับแรงกดดันเป็นพันเท่าหมื่นเท่า! ไม่มีความมั่นใจว่าตนเองแข็งแกร่ง ย่อมไม่มีทางใช้กลยุทธ์โต้กลับเช่นนี้เด็ดขาด!” แววตาหวงฝู่เฮ่าเทียนตกตะลึงแกมสงสัยครู่หนึ่ง
หมัดของมู่ชิงเกอเมื่อเทียบกับนักรบแคว้นตี๋แล้ว คล้ายกับว่าจะเล็กกว่ามาก และก็คล้ายกับว่าเปราะบางอ่อนแอกว่ามาก
แต่ว่ากลับแฝงไว้ด้วยพลังงานมหาศาล
เมื่อหมัดทั้งสองเข้าใกล้กัน ดวงตาของนักรบแคว้นตี๋ก็พลันเบิกกว้างขึ้นในแววตาฉายชัดถึงความเหลือเชื่อ
ปัง!
เลียงปะทะรุนแรงดังขึ้นใน ‘กรง’
กำปั้นมหึมาสีครามกับหมัดเล็กสีขาวของมู่ชิงเกอปะทะเข้าด้วยกัน เกิดเป็นระลอกคลื่นพลังจิตซัดเข้าใส่ตัวกำแพงสูงทั่วทุกทิศทาง กระหนํ่าใส่อย่างรุนแรง
เมื่อเห็นฉากนี้ สายตาของเจียงหลีก็เป็นประกาย ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้นกับหวงฝู่ฮ่วนที่อยู่ข้างๆ ว่า “ข้าว่าข้ารู้แล้วว่า เหตุใดกำแพงเหล่านี้ถึงสร้างเป็นทรงกลม เพราะว่ารูปร่างเช่นนี้ถึงจะลดแรงได้หากเป็นทรงเหลี่ยมเช่นปกติ เกรงว่ากระบวนท่านี้คงทำให้กำแพงพังทลายแล้ว” หวงฝู่ฮ่วนพยักหน้าชื่นชม ไม่ตระหนี่คำชม “ฮ่องเต้หญิงช่างสายตาหลักแหลม”
เจียงหลีเบ้ปาก นางไม่ชอบคำชมจอมปลอมเช่นนี้เป็นที่สุด หากไม่เห็นว่าหวงฝู่ฮ่วนผู้นี้นิสัยไม่เลวละก็ นางคงขี้เกียจไปสนใจไยดี
ในกรงคลื่นพลังก่อเกิดเป็นฝุ่นตลบ บดบังสายตาผู้คนบนระเบียงทางเชื่อม
เมื่อฝุ่นผงตกลงบนพื้น มู่ชิงเกอก็เก็บคืนหมัดไปนานแล้ว ยืนเอามือไพล่หลัง ส่วนนักรบแคว้นตี๋ที่อยู่ตรงหน้านางก็ ยืนอยู่ที่เดิมมือทั้งสองปล่อยลงข้างตัว ดูไม่ออกว่าผลการต่อสู้เป็นเช่นไร
สายลมที่พัดเข้ามาในกรงจากด้านบนซึ่งไม่มีที่ปกคลุม พัดหมุนทรายสีทองบนพื้นขึ้นไปบนอากาศครู่หนึ่งก่อน ตกลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ข้าแพ้แล้ว” นักรบแคว้นตี๋เม้มริมฝีปากแน่น ในที่สุดก็โพล่งประโยคนี้ออกมา
มู่ชิงเกอมองหน้าเขา อารมณ์สงบนิ่ง ไม่ได้มีท่าทียินดีและผยองจากการได้รับชัยชนะ นางเอ่ยกับนักรบแคว้นตี๋ว่า “เจ้าไม่เลวทีเดียว”
ประโยคนี้ ทำให้นักรบแคว้นตี๋รู้สึกปลอดโปร่งใจ
เขาเงยหน้าเดินไปที่ประตูเหล็กทมิฬ ขณะที่เดินผ่านมู่ชิงเกอก็หยุดเท้าเอ่ยเบาๆ ว่า “ขอบคุณคุณชายที่ยั้งมือไว้ไมตรี”
พูดจบก็สาวเท้าก้าวออกไป ไม่ได้มองมู่ชิงเกออีก
เมื่อประตูเหล็กทมิฬเปิดออก จิตใจที่แขวนอยู่กลางอากาศของเขาก็สงบลง ใครไม่เป็นเขาก็ไม่รู้ถึงอันตรายที่ประมือกับมู่ชิงเกอเมื่อครู่นี้
อานุภาพหมัดนั้นของมู่ชิงเกอ เขาไม่มีทางต้านทานได้
เงาหมัดเหล่านั้นที่ตกบนร่างมู่ชิงเกอคล้ายกับไร้ประโยชน์ใดๆ เขาไม่สามารถจินตนาการความแข็งแกร่งของมู่ชิงเกอ รู้เพียงว่าหากตอนท้ายมู่ชิงเกอไม่ได้ยั้งแรงไว้ทันเวลา เกรงว่าตอนนี้เขาคงต้องนอนพะงาบหายใจรวยรินให้คนหามออกไปแล้ว
เขาแพ้แล้ว แต่แพ้อย่างยอมรับได้หมดใจ!
มู่ชิงเกอชนะสองตารวด ทำให้กรงที่นางอยู่กลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามที่ไม่มีใครกล้าแหยม
รออยู่ครู่ใหญ่ มู่ชิงเกอเห็นว่าไม่มีใครเข้ามา ก็หมุนตัวเดินออกไป
พอนางออกมาก็มีสองคนถลาเข้าไปในกรงทันที เริ่มการต่อสู้ต่อไป
หัวเราะอย่างจนปัญญา มู่ชิงเกอทำได้เพียงกลับไปที่พักผ่อน นั่งขัดสมาธิ
ตอนนี้จ้าวหนานซิงกับฟ่งอวี๋เฟยไม่อยู่ข้างนอก คาดว่าคงไปแข่งขันที่กรงอื่น