Skip to content

พลิกปฐพี 202-1

ตอนที่ 202-1

เลือกแผ่นป้าย เข้าสู่เศษซากโบราณ

“นี่คืออะไร?”

มู่ชิงเกอมองถาดตรงหน้าที่มีแผ่นป้ายหลายแผ่นวางอยู่ มองไปที่ซือมั่วอย่างไม่เข้าใจ

ซือมั่วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “หวงฝู่เฮ่าเทียนส่งมา บอกว่าให้เจ้าเลือกที่เหลือ เป็นสิทธิ์ในการเข้าสู่เศษซากโบราณ”

มู่ชิงเกอไร้คำจะกล่าวไปชั่วขณะ ความรู้สึกที่มีเบื้องหลังใหญ่โตนี้ช่างพิเศษจริงๆ

ลำดับรายชื่อของงานชุมนุมใหญ่แผ่นดินหลินชวนเมื่อไหร่กันที่ต้องอาศัยนายน้อยผู้มาจากแคว้นระดับสามเป็นผู้ตัดสิน?

มู่ชิงเกอพลิกแผ่นป้ายบนถาดไปมา บนนั้นเขียนรายชื่อของทั้งหกแคว้น ก็หมายถึงแคว้นทั้งหกที่เข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่หลินชวน

แคว้นระดับสาม สามแคว้น แคว้นระดับสอง สามแคว้น

“รอเดี๋ยว” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกายขึ้น หยิบแผ่นป้ายที่เขียนว่าแคว้นฉินขึ้นมา ส่ายไปมาตรงหน้าของซือมั่ว ท่าทางดูแปลกประหลาดเอ่ยว่า “ส่วนนี้ สามารถเขียนผิดได้ด้วยหรือ?”

ซือมั่วเงยหน้ามองแวบหนึ่ง ดวงตาสีอำพันกวาดมองอักษรบนแผ่นป้าย

นอกจากแคว้นฉินแล้ว ยังมีอักษรเล็กๆ อยู่อีกเขียนว่า ‘แคว้นระดับสอง’

ที่ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกแปลกใจก็คืออักษรบรรทัดนี้ มุมปากของซือมั่วเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา สบตากับมุ่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “เจ้าหยิบของแคว้นหรงขึ้นมาดู”

มู่ชิงเกอรู้สึกสงสัย เอาแผ่นป้ายที่เขียนว่าแคว้นหรงหยิบขึ้นมาไว้ในมือ ในตอนที่นางกวาดสายตามองลงไป นัยน์ตาก็หดตัวลงขมวดคิ้วขึ้น

สายตาของนางมองไปมองมาระหว่างสองแผ่นป้าย ทันใดนั้นก็รู้สึกขบขันขึ้นมา “เพียงเวลาแค่หนึ่งเดือน แคว้นฉินก็กลายเป็นแคว้นระดับสอง ส่วนแคว้นหรงก็กลายเป็นแคว้นระดับสาม หากจักรพรรดิหยวนใจกว้างจริงๆ แล้วละก็ เหตุใดไม่เอาตำแหน่งแคว้นอันดับหนึ่งให้แก่แคว้นฉินเสียเลย?”

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์หวังจะให้แคว้นฉินเปลี่ยนเป็นแคว้นระดับหนึ่งงั้นหรือ?” อยู่ดีๆ ซือมั่วก็มองมาที่นาง นัยน์ตาฉายแววจริงจัง

มู่ชิงเกอกะพริบตา หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ข้าล้อเล่นเท่านั้น เจ้าอย่าได้ทำเช่นนั้นเด็ดขาด!”

มองเห็นท่าทีที่ดูจริงจังของซือมั่วแล้ว นางกลัวจริงๆ ว่าเขาจะทำจริงๆ เอาแคว้นฉินยกเป็นแคว้นระดับหนึ่ง

“ทำไมรึ?” ซือมั่วถามนางอย่างขี้เล่น

มู่ชิงเกอขบริมฝีปาก เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “อาศัยความสามารถของแคว้นฉิน คิดอยากจะขึ้นสู่แคว้นระดับหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะมีเจ้าหนุนหลัง แต่สุดท้ายก็จะ กลายเป็นเป้าหมายวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคน แคว้นฉินสำหรับข้านั้นเป็นแค่เพียงแผ่นดินเกิด ที่ข้าต้องการก็คือให้ตระกูลมู่ปลอดภัย อีกอย่าง ข้าก็ไม่ใช่ฮ่องเต้แคว้นฉิน เหตุใดต้องไปสนใจระดับของแคว้นฉินด้วย?”

ซือมั่วมองนางอย่างจริงจัง ในส่วนลึกของนัยน์ตาสีอำพันเปล่งประกายดุจดวงดาว

ภายในสายตาของเขามีความอ่อนโยน มีความเอ็นดูและก็มีความรู้สึกที่มู่ชิงเกอไม่เข้าใจ

“เป็นอะไร?” ถูกเขามองจนทำตัวไม่ถูก มู่ชิงเกอลูบแก้มตนเองเบาๆ

ซือมั่วถอนสายตากลับ ยื่นแขนยาวออกไปโอบมู่ชิงเกอเข้ามาในอ้อมอก กระซิบบอกนางว่า “ข้าหัวเราะที่เจ้ามักชอบพูดปากไม่ตรงกับใจ”

มู่ชิงเกอชะงัก

“ตอนนี้เจ้าพูดว่าแคว้นฉินไม่มีความสำคัญ แต่หากมีคนไปล่วงเกินแคว้นฉิน ข้าคิดว่าคนที่จะพุ่งไปคนแรกนั้นก็คงจะเป็นเจ้า” นิ้วเรียวยาวน่ามองของซือมั่วเขี่ยไปที่จมูกของนางเบาๆ

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก เอ่ยว่า “ชัดเจนถึงขนาดนั้นเชียว?” พูดจบแล้ว ท่าทางก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นในทันใด

ในหัวของนางคิดถึงคำพูดของซือมั่ว

จริงๆ ความปลอดภัยของแคว้นฉิน ความปลอดภัยของตระกูลมู่ ถึงแม้ว่านางทำตามใจทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ แต่หากว่าแคว้นฉินมีภัย ตระกูลมู่ได้รับอันตราย นางก็จะพร้อมจะเปลี่ยนแผน แบกรับทุกอย่างไว้

ท่าทางของมู่ชิงเกอในตอนนี้ ทำให้ซือมั่วดูแล้วรู้สึกเอ็นดู

เขาโอบกอดมู่ชิงเกอให้แน่นมากขึ้นใช้นํ้าเสียงที่อ่อนโยนเอ่ยว่า “เจ้าชอบทำเป็นไม่สนใจ ที่จริงแล้ว ที่เจ้าสนใจมากที่สุดก็คือครอบครัว ความจริงเจ้าสนใจมาก เกินไป หากว่าถูกยอมรับว่าเป็นเพื่อนของเจ้า เจ้าก็จะเอาพวกเขาเข้าไปอยู่ใต้ปีกของตนเอง อยู่ในมุมของผู้ปกป้อง ไม่เพียงแต่แคว้นฉิน เกรงว่าแคว้นลี่และแคว้นอวี๋ก็เช่นกัน เพียงแค่พวกเขามีเรื่องขอเจ้า เจ้าก็จะทำให้ฟ่งอวี๋เฟยกับจ้าวหนานซิงอย่างไม่สนใจตนเอง”

“ข้าใจกว้างถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?” มู่ชิงเกอรู้สึกประหลาดใจ

ซือมั่วสายหน้ายิ้มๆ “ไม่ใช่ใจกว้าง เป็นเสี่ยวเกอเอ๋อร์ของข้าให้ความสำคัญกับมิตรภาพมากเกินไป”

มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้น มองไปที่เขา นัยน์ตาทอดมองออกไป ความรักใคร่เกิดขึ้นมา เป็นความรู้สึกที่ยากจะปรากฏในตัวมู่ชิงเกอ พอมองไปยังซือมั่ว มู่ชิงเกอก็ฉีกยิ้มออกมา นางยื่นมือออกไปจิ้มๆ จมูกที่สมบูรณ์ดุจดั่งจิตรกรรมชั้นเอกของเขาแล้วเอ่ยว่า “ไม่เสียทีที่เป็นผู้ชายของข้า เข้าใจข้าดีจริงๆ!”

การเคลื่อนไหวของมู่ชิงเกอ ทำให้ร่างกายของซือมั่วชะงัก ดวงตาสีอำพันเข้มขึ้น เกิดคลื่นลมสั่นไหว

“เสี่ยวเกอเอ่อร์…”

“มาทำเรื่องเป็นการเป็นงานดีกว่า” มู่ชิงเกอขัดจังหวะในการพูดของซือมั่ว กระโดดออกมาจากอ้อมอกของเขา เดินไปทางถาดแผ่นป้ายทั้งหกอีกครั้ง

ความหอมสดชื่นในอ้อมอกหายไป ซือมั่วมองสองมือที่ว่างเปล่าของตนเองอย่างหมดวาจาจะกล่าว

เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาเปลี่ยนเป็นซุกซนแล้ว!

เก็บความรู้สึกที่ถูกมู่ชิงเกอยั่วเย้า ซือมั่วเดินเข้ามา ยืนอยู่ด้านหลังของนาง มองนางจัดการกับป้ายทั้งหกเงียบๆ

“ข้าแน่นอนว่าต้องเข้าไป” มู่ชิงเกอพูดกับตัวเองจบ ก็พลิกเปิดแผ่นป้ายของแคว้นฉิน ทิ้งไว้อีกทาง

ไม่ว่าตัวนางจะพูดเอง หรือว่าดูจากคะแนนของงานชุมนุมใหญ่แผ่นดินหลินชวนเรื่องที่แคว้นฉินได้รับสิทธิ์นั้นเป็นจริงอยู่แล้ว

“ที่เหลืออีกสามรายชื่อ…” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น

เดิมนางคิดว่าจะนำแคว้นลี่และแคว้นอวี๋ไปด้วย แต่ว่าในช่องว่างแห่งการทดสอบครั้งนี้แคว้นลี่และแคว้นอวี๋สูญเสียอย่างหนัก หากยังเข้าสู่เศษซากโบราณอีกพวก เขาจะยังถอนตัวออกมาอย่างปลอดภัยจากความอันตรายที่มากกว่าช่องว่างแห่งการทดสอบได้หรือไม่?

นางนำพวกเขาเข้าไปก็ไม่ได้ตั้งใจอยากจะแบกศพกลับมา!

คิดๆ แล้วมู่ชิงเกอก็ส่ายหน้า นัยน์ตามองไปยังแคว้นตี๋ แคว้นอวี่ แคว้นหรง

แคว้นตี๋มอบความประทับใจให้นางไม่เลว

แม้ว่าในตอนที่นางมีภัย พวกเขาจะไม่ได้ยื่นมือออกมาช่วยเหลือ แต่ท่าทางก็ดูเปิดเผยจริงใจ

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอวาววาบ เอาแผ่นป้ายของแคว้นตี๋ออกมา

สี่สิทธิ์ไปแล้วครึ่งหนึ่ง

ที่เหลืออีกสอง จะต้องมีสองแคว้น

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอกวาดมองไปยังสี่แคว้นที่เหลือ ตั้งแต่เริ่มจนจบตัดสินใจไม่ถูก

เข้าไปในซากปรักหักพังโบราณมีทั้งอันตรายและก็สมบัติมากมาย

มิเช่นนั้นก็คงจะไม่สามารถดึงดูดขุมกำลังทั้งหลินชวนให้มาเข้าร่วมได้

สิ่งที่คิดในตอนนี้คือสิ่งที่จะได้รับและสูญเสีย ต้องการโชคก็ต้องเสี่ยง ปลากับอุ้งเท้าหมีไม่อาจได้รับทั้งสองพร้อมกัน หลักการนี้มู่ชิงเกอเข้าใจดี!

นางลังเลก็คือแคว้นสี่และแคว้นอวี๋จะสามารถรับอันตรายนั้นได้ไหม แล้วก็ยังมี ไม่ค่อยอยากให้โอกาสเสียเปล่า

“หากว่าเสี่ยวเกอเอ๋อร์ลังเล ไม่สู้เปลี่ยนเล็กน้อย แคว้นลี่และแคว้นอวี๋ใช้ป้ายเดียวกัน แคว้นอวี่กับแคว้นหรงใช้ป้ายเดียวกัน เช่นนี้แล้ว ทุกคนก็สามารถเข้าสู่เศษซากโบราณ ทุกคนก็จะได้เท่าเทียมกัน” ซือมั่วเอ่ยขึ้น

“เช่นนั้นสามารถทำได้ด้วยหรือ?” มู่ชิงเกอกะพริบตา ซือมั่วพยักหน้า “กฎเป็นของตาย คนต่างหากที่มีชีวิต การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ ใดๆ ของคนอื่น เพียงแค่แคว้นที่จะรวมกลุ่มกันยินยอม คนอื่นจะว่าอะไรได้?” มู่ชิงเกอขบริมฝีปากครุ่นคิด วางแผ่นป้ายในมือลง เดินไปตรงหน้าของซือมั่ว จัดท่าทีให้ดูสบายๆ เอ่ยถามว่า “ภายในเศษซากโบราณนั้นมีอะไร?”

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์อยากรู้?” ซือมั่วมองนาง นัยน์ตาฉายแววขบขัน

ดูเหมือนว่า เฉพาะต่อหน้านางเท่านั้น ซือมั่วถึงไม่ประหยัดรอยยิ้ม

มู่ชิงเกอพยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้าไม่คิดว่าเจ้าเป็นคนที่มีจิตใจดีมีเมตตา เจ้าไม่ใช่คนของที่นี่ เหตุใดจึงต้องอยู่ที่นี่ เจ้ามีเป้าหมายอะไร? ข้ารู้สึกว่าเป้าหมายของเจ้าเกี่ยวข้องกับเศษซากโบราณ!”

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ฉลาดจริงๆ’’ ซือมั่วชื่นชม หว่างคิ้วฉายแววภาคภูมิใจที่ดูเจิดจ้าบาดตา

มู่ชิงเกอเหลือบตามองเขา เคาะนิ้วลงบนพนักเก้าอี้ เอ่ยว่า “ข้าไม่ได้กล่าวเพื่อให้เจ้าชม”

ซือมั่วมองมู่ชิงเกออย่างมีความสุข ดูเหมือนกำลังมองของรัก “การคาดเดาของเสี่ยวเกอเอ๋อร์ไม่ผิด ข้ามาหลินชวนก็เพราะมีเป้าหมาย ข้าต้องการของบางอย่าง ส่วนของนั่นก็อยู่ในซากปรักหักพังโบราณ”

“ของอะไร? ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่าอยู่ที่ไหน เหตุใดจึงไม่ไปเอามาด้วยตนเอง?” คิ้วของมู่ชิงเกอขมวดเป็นเครื่องหมายคำถาม แต่เพิ่งจะพูดจบ แววตาของนางก็ฉาย แววเยียบเย็น ตอบสนองกลับมาได้ในทันที “เจ้าเข้าไปไม่ได้และก็เอามาเองไม่ได้?”

ซือมั่วพยักหน้ายิ้มๆ

สายตานั่นเห็นได้ชัดว่าพูดว่า ‘เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของข้าช่างฉลาดจริงๆ!’

คำตอบของซือมั่ว ทำให้หว่างคิ้วของมู่ชิงเกอเกิดความเคร่งขรึมขึ้นมา ของอะไรกันที่ซือมั่วเพราะต้องการมันถึงอยู่ในหลินชวนไม่รู้กี่ปีแล้ว?

อีกอย่าง ของชิ้นนี้เขาไม่สามารถเอามาได้ จำเป็นต้องยืมมือคนอื่น?

ทันใดนั้น นัยน์ตาของมู่ชิงเกอก็เปล่งประกาย เรื่องบางอย่างที่ก่อนหน้านี้ไม่เข้าใจ พริบตาเดียวก็เข้าใจทั้งหมด

นางมองไปที่ซือมั่วเอ่ยว่า “ดังนั้นพูดได้ว่า ที่เจ้าควบคุมอาณาจักรเซิ่งหยวนให้คัดเลือกคนที่เหมาะสมในการเข้าสู่ซากปรักหักพังโบราณในงานชุมนุมใหญ่หลินชวนทุกครั้ง ก็เพราะต้องการให้คนพวกนั้นช่วยเจ้าเอาของชิ้นนั้นออกมามอบให้เจ้า?”

ซือมั่วพยักหน้าอีกครั้ง

นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ซือมั่วเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ซากปรักหักพังโบราณเป็นสถานที่ที่มีของตกค้างจากยุคก่อน ถือเป็นด่านฝึกฝนที่ถูกละทิ้ง เพราะว่าช่องมิติและห้วงเวลาแตกหัก มันจึงถูกผนึกไว้ในแผ่นดินหลินชวนและจะปรากฏขึ้นครั้งหนึ่งในบางช่วง ทุกครั้งที่ปรากฏ อาคมต้องห้ามก็จะปรากฏช่องทางที่สามารถเข้าไปได้ แต่ว่า สำหรับคนที่จะเข้าไป มันจะคัดเลือกเอง ถ้าหากพลังฝึกปรือเกินขอบเขตของหลินชวนก็ไม่อาจจะเข้าไปได้”

นิ่งไปครู่หนึ่ง เขาก็อธิบายเป็นพิเศษว่า “แม้ว่าจะกดระดับพลังให้อยู่ในขอบเขตของหลินชวนก็ไม่ได้”

การอธิบายของเขา มู่ชิงเกอเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเขาถึง เข้าไปไม่ได้

เพียงแต่…ยุคก่อนหมายความว่าอย่างไร? ด่านฝึกฝนคือหมายถึงสถานที่ที่ใช้ฝึกฝนวิชางั้นหรือ?

คำศัพท์ที่ดูไม่คุ้นเคยเหล่านี้ ทำให้ในใจของมู่ชิงเกอสับสน ดูเหมือนที่ซือมั่วพูดกับนางก็คือประวัติศาสตร์ที่ถูกผนึกมาอย่างยาวนาน ยุคที่ยิ่งใหญ่ กำลังเปิดเผยต่อหน้านาง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version