ตอนที่ 202-3
เลือกแผ่นป้าย เข้าสู่เศษซากโบราณ
นางมาถึงตรงหน้าของหยินเฉินในทันที มองเห็นแค่เพียงจิ้งจอกสีทองเงินม้วนตัวเป็นก้อน หลับตาสนิท จุดสีแดงงดงามที่หว่างคิ้วนั้นดุจดั่งแสงของเปลวไฟ
“เหตุใดจึงยังสลบไม่ฟื้นอีก?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเอ่ย
“ชิงเกอ-!” เสียงออดอ้อนดังขึ้นมาในทันใด
มู่ชิงเกอหันกลับไปมอง เห็นสาวงามร่างงูไป๋สี่เคลื่อนมาทางตนเอง
กว่าจะทำให้ไป๋สี่เปลี่ยนคำเรียกได้ก็ทำให้นางวุ่นวายไปไม่น้อย ในท้ายที่สุดถึงจะทำให้นางเปลี่ยนจาก ‘ท่านแม่’ เป็น ‘ชิงเกอ’ ได้ มิเช่นนั้นนางคงจะกลืนอาหารไม่ลงเป็นแน่หากสาวงามร่างงูที่รูปร่างดูดึงดูดกว่านางเรียกว่า ท่านแม่
“เจ้ากินอิ่มแล้วไม่นอนพักหรือ? เหตุใดจึงมาได้?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
ไป๋สี่ทำตัวไร้กระดูกปีนขึ้นมาบนตัวของมู่ชิงเกอ สองมือพาดบนไหล่ของนาง หัวก็วางไว้บนไหล่ของนาง หางงูรัดมู่ชิงเกอเบาๆ เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เดิมทีข้าก็กำลังจะนอน แต่อยู่ดีๆ ก็ได้กลิ่นอายของเจ้า ข้าจึงมา”
หากเปลี่ยนเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ไป๋สี่ก็เพียงพอที่จะปลุกไฟในตัวผู้ชายทุกคนได้ แต่ว่า มู่ชิงเกอรู้สึกเพียงอึดอัด นางผลักไป๋สี่ออก เอ่ยอย่างเอือมๆ ว่า “ช่วยสำรวมบ้างได้ไหม”
แต่ว่า นํ้าเสียงออดอ้อนของไป๋สี่กลับดูไม่ยอม “สำรวม เป็นเรื่องของมนุษย์ข้าไม่ต้องการ ข้าชอบเจ้าถึงได้รัดเจ้า”
“แต่ว่า ข้าเป็นคน ไม่ใช่ต้นไม้!” มู่ชิงเกอกัดฟันเอ่ย
เห็นมู่ชิงเกอไม่ยินยอมจริงๆ ไป๋สี่ถึงได้คลายหางงูอย่างหมดหนทาง รักษาระยะห่างจากมู่ชิงเกอ
“เหมิงเหมิงล่ะ?” เข้ามาตั้งนานแล้วกลับไม่เจอเหมิงเหมิง นี่ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกแปลกใจ
ไป๋สี่จัดการผมยาวของตนเองไปพลางเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เจ้าของเล็กๆ นั่นนับจากที่หยวนหยวนออกไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าไปเล่นอะไรคนเดียว”
พูดถึงหยวนหยวนที่ควบคุมไม่อยู่ด้านนอกแล้ว ดวงตาสีม่วงทองของไป๋สี่ก็เปล่งประกาย ใช้นํ้าเสียงออดอ้อนพูดกับมู่ชิงเกอ “ชิงเกอ— ข้าก็อยากออกไปบ้าง ที่นี่น่าเบื่อมาก!”
“อย่า เจ้าอยู่ที่นี่จะดีกว่า” มู่ชิงเกอปฏิเสธ
อะไรจะเกิดขึ้นถ้าจอมเขมือบออกไป หากว่าไม่ระวัง กินเทียนตูไปครึ่งหนึ่งจะทำอย่างไร? นางจะเอาอะไรไปชดใช้ให้จักรพรรดิหยวน?
“เจ้าจะขังข้าไว้อีกนานแค่ไหน!” ไป๋สี่เอ่ย
มู่ชิงเกอรู้สึกปวดหัว มองไปที่หยินเฉิน เอ่ยถามอย่างเป็นกังวล “พวกเจ้าเป็นสัตว์อสูรวิญญาณเหมือนกัน รู้สถานการณ์ของเขาในตอนนี้หรือไม่?”
ไป๋สี่กวาดตามองไปที่หยินเฉิน เชิดคางขึ้น “สายเลือดชั้นต่ำเช่นนี้จะมาเทียบกับข้าได้อย่างไร?”
ประโยคนี้ทำให้สีหน้าของมู่ชิงเกอครึ้มลง
สายตาที่นางมองไปทางไป๋สี่ฉายแววเยียบเย็น ทำเอาไป๋สี่ชะงักไป
“ไปสี่ มีบางอย่างที่เจ้าต้องจดจำเอาไว้ ไม่ว่าสายเลือดของเจ้าจะเป็นอย่างไรในเมื่อมาอยู่กับข้าที่นี่แล้ว สำหรับข้าแล้วก็ไม่มีอะไรแตกต่าง หากว่าถามถึงความรู้ สึก หยินเฉินนั้นอยู่กับข้ามาก่อนเจ้า ร่วมเป็นร่วมตายกับข้ามานับครั้งไม่ถ้วน ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเขานั้นไกลจากเจ้ามากนัก พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็น เพื่อน ยิ่งเป็นเพื่อนร่วมศึก ส่วนเจ้า ถ้าหากว่าติดตามข้าไปตลอดก็จะเป็นเช่นนี้ ดังนั้น ข้าไม่คาดหวังให้เจ้าแบ่งแยกสูงตํ่ากับหยินเฉิน เจ้าเข้าใจหรือไม่?” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างจริงจัง
นัยน์ตาสีม่วงทองของไป๋สี่ฉายแววตกตะลึง
ดูเหมือนจะคิดไม่ถึงว่ามู่ชิงเกอจะพูดเช่นนี้ นางนิ่งไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็หัวเราะขำขึ้นมา เอ่ยด้วยเสียงออดอ้อนที่แฝงความอันตราย “ถ้าหากข้าบอกว่าไม่ล่ะ?”
“เช่นนั้นก็เชิญเจ้าจากไป” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างไม่ลังเล
ประโยคนี้ทำให้นัยน์ตาของไป๋สี่เผยไอสังหารออกมา
มู่ชิงเกอไม่สนใจเอ่ยว่า “ที่นี่ของข้า อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหนล้วนต้องมีการปรับตัว ไม่ใช่ให้กลุ่มปรับตัวเข้าหา หากว่าเจ้าสามารถรับระบบเช่นนี้ได้ ข้าก็ยินดีต้อนรับ แต่หากเจ้ารับไม่ได้ข้าก็ไม่ฝืน นับจากนี้ต่อไปก็ทางใครทางมัน”
การตัดสินใจของมู่ชิงเกอ ทำให้ไอสังหารในนัยน์ตาของไป๋สี่เกิดรอยแตกร้าว
นานพักหนึ่ง ไอสังหารในนัยน์ตาของนางถึงได้หายไป เผยรอยยิ้มออกมา “ชิงเกอ เจ้าช่างไม่เหมือนกับคนทั่วไปจริงๆ เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว”
ไป๋สี่พูดจบ ก็เลื้อยไปพันที่เสา ครึ่งตัวอยู่บนคาน หาวแล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “จิ้งจอกตัวนี้มอบให้ข้าเถอะ เจ้าวางใจไปทำเรื่องของเจ้าดีกว่า ข้ารับรองว่าเขาจะไม่มีปัญหา”
ท่าทีที่เปลี่ยนไปของไป๋สี่ทำให้มู่ชิงเกอประหลาดใจ
นางไม่สงสัยในคำพูดของไป๋สี่ เพราะว่าสถานะของไป๋สี่ นางไม่พูดโกหก
แต่ว่านางยังคงไม่วางใจในสถานการณ์ของหยินเฉิน เอ่ยถามไปอีกประโยค “เจ้ารู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างไหม?”
ไป๋สี่เอ่ยอย่างเกียจคร้าน “สายเลือดเช่นเขาผ่านเคราะห์เป็นตายเพื่อกลายเป็นสัตว์อสูรเทวะ เป็นการเปลี่ยนผลัดสายเลือด ชีพจรรวมถึงกระดูก หนังและความ สามารถ นี่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการส่วนสุดท้ายแล้ว เมื่อเขาผลัดเปลี่ยนเสร็จก็ต้องรับเคราะห์อัสนี ถึงจะสามารถกลายเป็นสัตว์อสูรเทวะที่แท้จริง กลายร่างเป็นคนได้”
“เคราะห์อัสนี?” มู่ชิงเกอตกตะลึง
ไป๋สี่พยักหน้า อธิบายให้มู่ชิงเกอฟัง “แต่ว่า ช่องว่างของเจ้านี้เป็นเอกเทศจากภายนอก ไม่มีวิธีที่จะดึงดูดสายฟ้า ดังนั้นรอเขาผลัดเปลี่ยนเสร็จแล้ว ค่อยหาสถานที่ให้เขาต้านรับเคราะห์อัสนี”
“ข้าเข้าใจแล้ว” มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงเข้ม
มองหยินเฉินอีกครั้ง มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไป๋สี่ “รบกวนแล้ว”
“เจ้ากับข้ายังต้องเกรงใจขนาดนั้น?” ไป๋สี่หัวเราะแต่เสียงก็ฟังดูแปร่งๆ นัก
มู่ชิงเกอหัวเราะ หันกายจากไป
นางต้องไปดูเหมิงเหมิง ดูว่านางทำตัวลับๆ ล่อๆ อะไรอีก
ระหว่างมู่ชิงเกอและเหมิงเหมิงนั้นมีการเชื่อมต่อ จึงพบนางอย่างง่ายดาย
ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็มองเห็นเหมิงเหมิงหันหลังให้นาง ส่ายก้นไปมาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร
“เหมิงเหมิง” มู่ชิงเกอร้องเรียก
เสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เหมิงเหมิงตกใจ
นางรีบเก็บของที่อยู่ในมือ ไพล่ซ่อนไว้ด้านหลัง หันไปหามู่ชิงเกอ
การเคลื่อนไหวที่ดูผิดปกติของนางนี้ทำให้มู่ชิงเกอสงสัย จ้องไปยังสองมือที่อยู่ด้านหลังของนาง “ในมือของเจ้า ถืออะไรอยู่?”
“ไม่มีอะไร!” เหมิงเหมิงตื่นตะลึง เอ่ยในทันที
นี่ทำให้มู่ชิงเกอยิ่งสงสัยมากขึ้น
นางเดินไป ยื่นมือออกไปหาเหมิงเหมิง “เอาออกมา”
เหมิงเหมิงกัดริมฝีปาก ก้มหน้า มือไม่ขยับ
“เหมิงเหมิง” นํ้าเสียงของมู่ชิงเกอเข้มงวดขึ้น
รู้สึกได้ว่ามู่ชิงเกอโมโหแล้ว เหมิงเหมิงถึงได้ค่อยๆ เอาของที่ซ่อนไว้อยู่ด้านหลังออกมา
เมื่อมองเห็นของในมือเหมิงเหมิงแล้ว มู่ชิงเกอก็เอ่ย อย่างประหลาดใจว่า “นี่คืออะไร?”
เหมิงเหมิงเงยหน้าขึ้น เบิกดวงตากว้าง กะพริบตามอง นาง “เจ้านาย ท่านลืมไปแล้วหรือว่า หลังท่านเลื่อนสู่ขั้นกักเก็บแล้วช่องว่างก็จะปลดผนึกไปอีกส่วน”
มู่ชิงเกอกะพริบตา นางยังคงลืมไปจริงๆ!
ลืมสนิทเลย!
อา นี่ไม่อาจโทษนางได้ ช่วงนี้มีหลายเรื่องเกิดขึ้น นางถึงได้ลืมเรื่องใหญ่เรื่องนี้ได้!
“ปลดผนึกอะไรออกมาบ้าง?” มู่ชิงเกอสนใจในทันที
“อา ครั้งนี้ปลดผนึกยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติกองหนึ่ง แล้วก็ยังมีตำหนักอีกบางแห่ง รวมทั้งทักษะสงครามระดับสูงขึ้น แต่ทว่า…” อยู่ดีๆ เหมิงเหมิงก็หยุดพูด
“แต่ทว่าอะไร?” มู่ชิงเกอกำลังฟังอย่างออกรส เหมิงเหมิงกลับหยุดลงอย่างกะทันหัน ทำให้นางต้องไต่ถาม
“แต่ว่ามีห้องหนึ่งที่ใช้สำหรับเก็บวัสดุสำหรับหลอมยุทธภัณฑ์ไม่รู้ว่าทำไมถึงเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า เหลือไว้ เพียงสิ่งนี้” เหมิงเหมิงเอาของดำๆ ดูเหมือนของที่ถูกเผา ที่อยู่ในมือของตนเองยื่นไปตรงหน้าของมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น นัยน์ตามองไปยังหินสีดำที่มีขนาดยาวเท่าแขน
“หลังจากที่ข้าพบเห็นก็ศึกษามาโดยตลอดว่าสิ่งนี้คืออะไร แต่ว่ายังไม่ได้ข้อสรุป” เหมิงเหมิงเอ่ย
แม้แต่เหมิงเหมิงก็ดูไม่ออกว่าเป็นอะไร?
มู่ชิงเกอยื่นมือออกไปรับหินสีดำ ในใจคิดว่า ‘หรือว่าจะเป็นวัสดุบางชนิดที่ใช้หลอมยุทธภัณฑ์?’
แน่นอนว่าในตอนที่นางสัมผัสโดนหินสีดำๆ นั้น ในหัวก็เกิดความเจ็บปวดอย่างกะทันหัน ความเจ็บปวดอย่างกะทันหันนี้ ไม่มีการเตือน มู่ชิงเกอรับมือไม่ทันร้องออกมา คลายหินสีดำในมือออก ทำให้มันตกลงบนพื้น
หนีจากหินดำได้ ความเจ็บปวดในหัวของมู่ชิงเกอก็คลายหายไป