Skip to content

พลิกปฐพี 203-2

ตอนที่ 203-2

เก็บสมบัติจนแขนชา!

อีกด้านของรูสีดำเป็นทะเลทรายที่ไร้ขอบเขตแห่งหนึ่ง เพิ่งจะเข้ามาถึงก็ทำให้คนรู้สึกถึงกลิ่นอายของความแห้งแล้ง แล้วก็ยังมีอากาศที่ร้อนจัด

บรรยากาศที่โหดร้ายทำให้ทุกคนล้วนแต่รู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก

เพียงแต่ว่า มีกู่หยายืนอยู่ ใครก็ไม่กล้าบ่น

ใต้เท้าทมิฬข้างกายของมหาปราชญ์ก็ไม่ควรล่วงเกิน!

ไม่นาน ซือมัวก็ปรากฎตัว

เขาเดินตรงเข้าไปหามู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอก็ถามออกไปว่า “ทำไมถึงนานขนาดนี้?”

ซือมั่วเอ่ยว่า “สั่งการกับพวกเขาไปไม่กี่ประโยค”

ระหว่างที่ทั้งสองคนพูดคุยกัน คนทุกคนล้วนแต่หลบออกไปเอง ใครกล้าแอบฟัง? ตำหนิว่าชีวิตยาวเกินไปงั้นหรือ?

“สั่งการอะไร?” มู่ชิงเกอซักถามอย่างสงสัย นางมีความรู้สึกว่าคำพูดของซือมั่วนั้นเกี่ยวกับนาง ซือมั่วก็ไม่ปิดนาง เอ่ยกับนางว่า “ข้าบอกพวกเขาว่า ถ้าหากว่านับแต่นี้ไป ตระกูลมู่เกิดเรื่องขึ้น ข้าก็จะให้ทั้งหลินชวนต้องชดใช้”

“เจ้าพูดอย่างนั้นจริงๆ น่ะหรือ?” มู่ชิงเกอตกตะลึง

ซือมั่วพยักหน้า

วิธีการของซือมั่ว ทำให้นางรู้สึกเหนือความคาดหมาย และก็ซึ้งใจมาก

คนที่ฉลาดอย่างนางจะไม่เข้าใจถึงสาเหตุที่ซือมั่วทำเช่นนี้ได้อย่างไร?

นางห่างจากการออกจากหลินชวนอีกไม่นานแล้ว แต่ก็ไม่อาจนำท่านปู่และท่านอาไปด้วยได้นางต้องไปตามทางของนาง ไม่สามารถบังคับให้ท่านปู่และท่านอาไปกับนางได้

ดังนั้น คนในครอบครัวที่นางใส่ใจมากที่สุดจึงรั้งอยู่ในหลินชวนต่อไป

นี่เป็นโซ่ตรวนที่ใหญ่ที่สุดและกังวลมากที่สุดของนาง วิธีการของซือมั่ว ได้ให้การป้องกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแก่นาง ทำให้นางเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่ต้องกังวลถึงความปลอดภัยของคนในครอบครัว

นางเชื่อว่า มีประโยคนี้ของซือมั่ว อยู่ที่นี่นับแต่นี้ต่อไป หากยังมีคนจากนอกแดนมาสร้างความวุ่นวายแก่ตระกูลมู่ ขุมกำลังทั้งหมดในหลินชวนก็ล้วนแต่ไม่อาจจะอยู่เฉยไม่ยอมช่วยได้

แน่นอนว่า ก่อนที่นางจะจากไป จะพยายามพัฒนาความสามารถของกองทัพตระกูลมู่ ส่งเสริมความสามารถของท่านปู่

ที่พึ่งพิงได้มากที่สุดก็คือความสามารถของตนเอง!

“ขอบคุณ” มู่ชิงเกอเอ่ยเบาๆ กับซือมั่ว ขอบคุณเขาที่คิดทุกอย่างเพื่อตนเอง ขอบคุณสิ่งที่เขาลอบทำให้

ไม่ว่าจะเป็นวิชาต้องห้ามหวนคืนก่อนหน้านี้หรือว่าการพูดข่มขู่ให้ในตอนนี้ ล้วนแต่ทำเพื่อนาง ถ้าหากไม่เป็นเพราะนาง ซือมั่วก็จะยังคงเป็นมหาปราชญ์ผู้สูงส่งไม่สนใจในสิ่งใดๆ เช่นเดิม

เพราะนางจึงทำให้เขาต้องลงมาคลุกคลีกับเรื่องราวบนโลก

ซือมั่วยกมือขึ้น นิ้วเรียวยาวจับปอยผมยาวที่ตกลงมาที่หน้าผากของมู่ชิงเกอขึ้น ยิ้มเอ่ยกับนางว่า “หากต้องการจะขอบคุณข้าจริงๆ ก็ไม่สู้รีบแต่งให้ข้าดีกว่าไหม?”

มู่ชิงเกอชะงัก ยิ้มขึ้น นางตบๆ หน้าอกของซือมั่ว ให้คำสัญญากับเขาไปว่า “วางใจเถอะ ไม่ช้าก็เร็วข้าจะต้องแบกเกี้ยวแปดคนหามที่ประดับประดาอย่างงดงามไป รับเจ้าแต่งเข้ามาอย่างแน่นอน!”

พูดแล้ว นางก็หัวเราะเดินไปหากลุ่มคน

ซือมั่วชะงัก ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดถึงข้อผิดพลาดในคำพูดของมู่ชิงเกอ

จากนั้น ในดวงตาสีอำพันของเขาก็ฉายแววขบขันในใจ เอ่ยว่า “ดี ข้าจะรอเสี่ยวเกอเอ๋อร์มาแต่งข้า”

“ที่นี่คือที่ไหน?” มู่ชิงเกอเดินไปถึงข้างกายของเจียงหลี แล้วเอ่ยขึ้น

เจียงหลีมองนางแวบหนึ่ง เอ่ยตอบว่า “ทะเลทรายท่องวิญญาณ”

“ทะเลทรายท่องวิญญาณ? สุดเขตแดนเหนือของหลินชวน?” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างประหลาดใจ

พวกนางเพียงแค่เข้ามาในรูสีดำอันหนึ่ง แต่กลับมาปรากฏตัวในที่ๆ ห่างออกไปไกลหมื่นลี้ได้!

ซือมั่วนำพวกนางมาที่นี่ หรือว่าเศษซากโบราณจะอยู่ในทะเลทรายท่องวิญญาณ? แต่ว่า…

มู่ชิงเกอรีบมองไปรอบด้าน ในสายตาเห็นแต่ทะเลทรายที่อ้างว้าง ไม่ได้มีอาคารใดๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซากปรักหักพัง

คนที่มีข้อสงสัยไม่ได้มีเพียงแค่มู่ชิงเกอคนเดียว เพียงแต่ว่ามีกู่หยากับซือมั่วอยู่ พวกเขาก็ไม่กล้าพูดคุย ตอนนี้กู่หยาก็เดินเข้ามาเอ่ยกับทุกคนว่า “พักผ่อนที่นี่” พูดแล้วเขาก็หันกายจากไป

“พักผ่อนที่นี่?” เจียงหลีมองไปทะเลทรายรอบด้าน สถานที่ที่แห้งแล้งเช่นนี้ทำให้นางไม่พอใจ นางสะกิดแขนของมู่ชิงเกอ เอ่ยเบาๆ ว่า “นี่ ไปถามเทพบ้านเจ้า หน่อยสิ พวกเราต้องรออยู่ที่นี่ถึงตอนไหน”

มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก “ในเมื่อต้องรอ ก็ต้องมีเหตุผล เจ้าก็สงบใจรอเถอะ”

“เจ้านี่ยังไม่แต่งก็เอนออกไปหาข้างนอกแล้วหรือ?” เจียงหลีเอ่ยอย่างโมโห

มู่ชิงเกอกลับขมวดคิ้วสูง ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ใครว่าข้าจะแต่งออกเล่า? คุณชายผู้นี้จะแต่งเข้าต่างหาก!”

เจียงหลีตกตะลึงเบิกตากว้างมองนาง ในที่สุดก็พูดไม่ออก ทำได้เพียงแต่ยกนิ้วโป้งให้นาง

ในเมื่อต้องพักผ่อนที่นี่ ทุกคนก็ค่อยๆ ทยอยพากันนั่งลง ที่นั่งอยู่กับมู่ชิงเกอนั้นแน่นอนว่ามีเจียงหลี จ้าวหนานซิง ฟ่งอวี๋เฟยและคนอื่นๆ หวงฝู่ฮ่วนอยากมานั่งด้วยแต่ กลับถูกเจียงหลีส่งสายตาพิฆาตไปให้

มีมหาปราชญ์คอยกดดัน ใครก็ไม่กล้าพูดจาเหลวไหล ดังนั้นจึงเลือกที่จะฝึกปรือนั่งสมาธิไปเงียบๆ รอคอยเวลาไป

นานมาก มู่ชิงเกอค่อยๆ เบิกตาขึ้น มองไปทางจ้าวหนานซิง ฟ่งอวี๋เฟยแล้วก็ยังมีเจียงหลี สามคน เอ่ยว่า “เศษซากโบราณ ทุกคนสามารถนำของออกมาได้เพียง สามชิ้น พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องฝืน และก็ไม่จำเป็นต้องแย่งชิงกับคนอื่น ทุกอย่างถือเอาความปลอดภัยของตนเองเป็นหลัก”

คำพูดของนาง ทำให้พวกเขาสงสัยอยู่บ้าง

แต่ว่ามู่ชิงเกอก็ไม่ได้อธิบาย นางไม่สามารถบอกพวกเขาได้ว่านางเตรียมจะใช้ช่องว่างเก็บกวาดเศษซากโบราณรอบหนึ่ง

มียุทธภัณฑ์ชั้นเทวะที่โกงได้เช่นนี้ เพื่อนของนางก็ไม่จำเป็นต้องต่อสู้เป็นตายกับคนอื่นเพื่อสมบัติ เพราะรอออกมาแล้ว นางก็จะเอาสมบัติที่ได้เลือกออกมาให้พวกเขาอยู่แล้ว

“รู้แล้ว” ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายของมู่ชิงเกอ แต่ฟ่งอวี๋เฟยก็ยังคงเชื่อใจอย่างเต็มที่

ไม่ได้ถามมากความ ทำตามก็พอ

คิดแล้วคิดอีก มู่ชิงเกอก็เพิ่มเติมอีกประโยคว่า “หลังจากเข้าไปแล้ว พวกเราอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ทุกคนก็ไม่ต้องตามหาข้า รีบตักตวงเวลาฝึกฝนก็พอ หากว่าพบเจออันตรายก็ไม่ต้องสนใจการศึก ถอยออกมาที่เขตปลอดภัยรอเวลากลับ”

ไม่กี่คนพยักหน้า

เจียงหลีรู้สึกทนไม่ไหวพูดออกมา “ข้าเริ่มสงสัยจริงๆ แล้วว่าภายในเศษซากโบราณแห่งนั้นมีสมบัติอะไร”

“พวกเราสามารถอยู่ในเศษซากโบราณได้แค่ครึ่งเดือน ต้องระมัดระวัง” มู่ชิงเกอยํ้าเตือน

ท่าทีของนาง ทำให้เจียงหลีเกิดความสงสัย

จ้าวหนานซิงเอ่ยว่า “ชิงเกอ เจ้ากำลังกังวลใจเรื่องอะไร?”

เจียงหลีเอ่ยว่า “เหตุใดจึงเปลี่ยนเป็นมีลับลมคมในล่ะ?”

แม้แต่สายตาที่ฟ่งอวี๋เฟยส่งมาก็มีความไม่เข้าใจและเป็นห่วง

มู่ชิงเกอยิ้มๆ ไม่ได้อธิบาย เพราะว่านางไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร นับจากที่รู้ว่าคนเบื้องหน้าล้วนแต่ได้เคยตายไปหนึ่งรอบแล้ว นางก็ไม่คาดหวังให้พวกเขาเกิด เหตุไม่คาดฝันต่อหน้าของตนเองอีก

สิ่งที่สูญเสียไปแล้วได้กลับคืนมาเช่นนี้ก็ยากที่จะอธิบายนัก

ทะเลทรายท่องวิญญาณในตำนานบอกว่าเป็นทางเข้าอีกแห่งหนึ่งที่สามารถเข้าไปยังโลกแห่งยุคกลาง ตามที่ได้ยินมาเพียงแค่เดินออกจากทะเลทรายก็สามารถเข้าสู่โลกแห่งยุคกลางได้

แต่ว่า นี่ไม่ใช่เส้นทางที่มู่ชิงเกอเลือกไป นางเลือกที่จะไปทางทะเลแห่งทุกข์ของแคว้นกู่วู่

เพราะในบันทึกบอกว่ามีคนสำเร็จในการเข้าสู่โลกแห่งยุคกลางผ่านทางทะเลทรายท่องวิญญาณเพียงแค่สองครั้งส่วนเข้าไปทางทะเลแห่งทุกข์นั้นสำเร็จถึงเจ็ดครั้ง

การเปรียบเทียบเช่นนี้ทำให้นางเลือกไปทางทะเลแห่งทุกข์อย่างไม่ลังเล

แน่นอนว่า นางก็สามารถเลือกให้ซือมั่วไปส่งนางเข้าโลกแห่งยุคกลางได้ แต่ว่าหากทำเช่นนั้น นางก็จะเสียโอกาสในการพัฒนาตนเองในช่วงที่จากไป และทำให้เวลาในการฝึกปรือพลังของนางสั้นลง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพึ่งพิงซือมั่วไม่ใช่ความแข็งแกร่งที่นางต้องการ

ตัวซือมั่วเองมีเรื่องของตนเองที่ต้องทำ ส่วนนางก็จำเป็นต้องอาศัยตนเองเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นทีละขั้น!

ภายในทะเลทรายท่องวิญญาณ ทุกคนนิ่งเงียบรอคอย

อย่างรวดเร็ว หนึ่งวันหนึ่งคืนผ่านไป

ในวันที่สองแสงแรกอรุณค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า ในตอนที่แสงอาทิตย์สาดแสงสีทองลงมา ในที่ๆ ไกลออกไป ก็พลันมีสิ่งก่อสร้างสีเทาโผล่ออกมา

ดูเหมือนว่ามันกำลังเคลื่อนไหว ลอยไปไม่หยุด

“เตรียมตัว!” กู่หยาตะโกนขึ้น

ทุกๆ คนหยุดการฝึกปรือ ยืนขึ้น

พวกเขามองเห็นสิ่งก่อสร้างสีเทาที่ขยับส่ายไปมาเช่นเดียวกัน ดวงตาล้วนเต็มไปด้วยความตกตะลึง อาคารเหล่านี้ ดูเหมือนจะปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ดูเลือนรางไม่มั่นคง พลิ้วลอยไปยากจะไล่ตามทัน

“นี่ก็คือเศษซากโบราณงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอพึมพำออกมาประโยคหนึ่ง

ทันใดนั้นเอง แรงดึงดูดอันมหาศาลก็ดูดพวกเขาเข้าไป ราวกับอยู่ในพายุหมุนยังไงยังงั้น

มู่ชิงเกอมองไปทางซือมั่ว จ้องดวงตาสีอำพันของเขา เขายิ้มให้นาง ก่อนที่นางจะพยักหน้าให้เขาครั้งหนึ่ง

ในเวลานั้นสายตาของทุกคนถูกปิดเหมือนกับถูกทรายสีเหลืองโอบเอาไว้ ม้วนตัวพวกเขาขึ้นสู่อากาศ

มู่ชิงเกอได้ยินเสียงร้องตกใจที่ข้างหู รู้สึกได้ว่าร่างกายของตนเองกลายเป็นไร้นํ้าหนัก

ภาพตรงหน้าเปลี่ยนเป็นมืดลงในทันใด ไร้ความรู้สึกและสัมผัสใดๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version