ตอนที่ 59
ทดลองหลอมโอสถ
หลังจากที่กลับจากป่าดอกท้อ มู่ชิงเกอก็สั่งให้โย่วเหอและฮวาเยวี่ยเฝ้าประตูเรือนไว้ให้ดี ห้ามผู้ใดเข้ามารบกวน อาหารทั้งสามมื้อก็ต้องมาส่งในห้องของนาง พอนางรับประทานเสร็จแล้วค่อยมาเก็บออกไป
ในห้องปีกข้างของมู่ชิงเกอ เป็นห้องที่มีขนาดไม่กว้างมากนัก เต็มไปด้วยตู้ยาทั้งสามฝั่งของผนังห้อง
ในทุกลิ้นชักต่างก็เขียนชื่อยาสมุนไพรชนิดนั้นๆ กำกับเอาไว้
กลางห้องมีกระถางสามขาและโต๊ะยาวตัวหนึ่งที่เตรียมเอาไว้สำหรับใช้แบ่งยาและปรุงยา
มู่ชิงเกอที่ยืนอยู่ในห้องนี้เดินไปเดินมารอบหนึ่งแล้ว พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
สิ่งที่เทพโอสถสืบทอดมาให้แก่นาง บอกไว้ว่าถ้าหากจะเรียนการหลอมโอสถ สิ่งที่จำเป็นต้องทำเป็นลำดับแรก คือเรียนรู้การปรุงยาขั้นพื้นฐาน
ให้เตรียมสมุนไพรหลายชนิดในปริมาณที่แตกต่างกัน แล้วเริ่มใช้พลังจิตในการเริ่มพัฒนาไปตามระดับขั้นตอน เพื่อผ่านกระบวนการปรุงยา
ต้องฝึกปรุงยาไปสักประมาณสิบครั้ง เมื่อถึงครั้งที่สิบ สัดส่วนของยาเข้ากันไม่ขาดไม่เกินแล้ว จึงจะถือว่าเชี่ยวชาญขั้นตอนการปรุงยาขั้นพื้นฐาน
ต้องผ่านขั้นนี้ไปให้ได้เสียก่อน จึงจะเข้าสู่การขั้นตอนขั้นพื้นฐานของการหลอมโอสถและเริ่มฝึกหลอมโอสถระดับต่ำออกมาได้
ที่เรียกว่าโอสถระดับต่ำนั้น ก็คือยารักษาบาดแผลทั่วไปที่มู่ชิงเกอรู้จัก ซึ่งไม่ต่างอะไรกับยาหัวเซี่ยซ่าน (ยาแดง ยารักษาแผลชนิดหนึ่งในปัจจุบัน) หากจะพูดให้เห็นภาพมากขึ้นก็คือยาสามัญประจำบ้านที่ทุกบ้านต้องมี เช่น ยาแก้หวัด ยาล้างแผลเป็นต้น
แม้จะเป็นโอสถขั้นตํ่าสรรพคุณธรรมดาๆ แต่ก็ไม่ค่อยมีในแคว้นฉิน พูดได้ว่าในแคว้นฉินจะมีเป็นแบบยานํ้าหรือแบบแผนโบราณแต่ไม่มีโอสถเป็นเม็ด
เพราะว่าในแคว้นฉินไม่ค่อยมีนักปรุงยา ที่มีอยู่ไม่กี่คนก็ถูกเชื้อพระวงศ์และตระกูลที่มีอำนาจเอาตัวไปเป็นหมอประจำตระกูลของตนเองหมดแล้ว ยาที่พวกเขาหลอมออกมาได้ก็เป็นโอสถระดับกลางถึงระดับตํ่า โดยในจำนวนทั้งหมดนั้นมีขั้นต่ำมากกว่า ขั้นกลางถือว่ามีน้อยมาก
โอสถที่มู่ซงมอบให้กับมู่ชิงเกอในตอนนั้น แคว้นฉินแห่งนี้ไม่มีผู้ใดสามารถปรุงออกมาได้อย่างแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการมีไว้ในครอบครอง
เมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จสิ้น มู่ชิงเกอก็บิดขี้เกียจเหมือนกำลังจะลงมือทำการใหญ่
นางหันหน้าไปมองมั่วหยางที่เตรียมทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่เสร็จแล้ว นางจึงพูดว่า “งานนี้ถือว่าทำได้ดี แต่จำไว้ว่าต้องเก็บเป็นความลับ แม้แต่นายผู้เฒ่าก็ห้ามบอก”
“ขอรับ” มั่วหยางพยักหน้าอย่างไม่ลังเล
ในเรื่องที่ทำตามคำสั่งนั้น เขาทำได้ดีกว่าโย่วเหอและ ฮวาเยวี่ย
มู่ชิงเกอยกมือขึ้นโบกไล่แล้วพูดว่า “เจ้าออกไปก่อน ถ้าหากข้าไม่เรียกเจ้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามอย่าได้เข้ามาเด็ดขาด”
มั่วหยางรับคำสั่งแล้วหันหลังกลับเดินออกจากห้องไปพร้อมปิดประตู
ภายในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นยาสมุนไพรนานาชนิด ทำให้มู่ชิงเกอเองก็รู้สึกไม่คุ้นชินนัก แต่สุดท้ายก็ต้องอดทนเอาไว้ “ก็แค่ฝึกปรุงยาและหลอมโอสถไม่ใช่หรือ ข้าไม่คิดว่ามันจะยากขนาดนั้น!” มู่ชิงเกอยืดเส้นยืดสายแล้วเดินไปยังหน้าโต๊ะยาว เริ่มระลึกถึงการเข้าสู่การฝึกปรุงยาขั้นพื้นฐาน
“ปรุงยาก่อนแล้วค่อยแบ่งยาชั่งนํ้าหนัก บดให้เป็นผง หลังจากนั้นก็หลอมเป็นเม็ด!”
พอท่องวิธีการหลอมโอสถได้ขึ้นใจแล้ว มู่ชิงเกอก็ดึงแขนเสื้อขึ้นลงมือปฏิบัติ
ยาที่นางจะปรุงคือยาที่ง่ายที่สุดอย่างชิงชินซ่าน (จิตใจปลอดโปร่ง)
ยาชนิดนี้มีสรรพคุณเรื่องควบคุมเลือดลมภายในร่างกายและช่วยในด้านระบบประสาท ซึ่งมีสรรพคุณทำให้จิตใจสงบคล้ายกับนํ้ามันหอมระเหยในยุคปัจจุบัน เพราะโชคดีได้รับการถ่ายทอดวิชามาทำให้นางไม่ต้องเสียแรงไปจดจำรูปร่างของสมุนไพรและสรรพคุณชนิดต่างๆ การเสริมและต้านกันของฤทธิ์ยา ความรู้ด้านยา ขั้นพื้นฐานตรงนั้นฝังอยู่ในใจของนางจนยากที่จะลืมได้ลง
พูดได้ว่าจะไม่มีผู้ใดที่มีความรู้ด้านยาไปมากกว่ามู่ชิงเกอแล้ว เพราะแม้แต่นักปรุงยาที่เก่งที่สุดในหลินชวนก็ไม่อาจสู้นางได้
แต่ทว่าถ้าจะแข่งด้านการลงมือปรุงยานั้น แค่ลูกศิษย์ธรรมดาๆ สักคนนางก็สู้ไม่ได้แล้ว
เอายาสมุนไพรที่จะหลอมเป็นขิงชินซ่านออกจากลิ้นชัก แล้วมู่ชิงเกอก็ทำสมองให้โล่งแล้วเริ่มจากการแยกชนิด
หลังจากนั้นก็คัดสรร เด็ดหญ้าและยาสมุนไพรส่วนที่ไม่มีประโยชน์ออก
หลังจากที่คัดสรร แบ่งแยกเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เริ่มชั่งนํ้าหนัก
ในขั้นตอนอันยุ่งยากนี้ มู่ชิงเกอแอบถอนหายใจ ขั้นตอนการปรุงยาและหลอมโอสถนี่เป็นสิ่งที่ต้องพึ่งทั้งพลังกายและพลังใจ แล้วที่สำคัญคือ ต้องอดทนต่อความโดดเดี่ยวให้ได้
เพราะว่าในขั้นตอนการทำนั้นน่าเบื่อเป็นอย่างยิ่ง
มู่ชิงเกอเม้มปาก นางจ้องยาสมุนไพรที่วางอยู่บนตราชั่ง แล้วชั่งยาชุดสุดท้าย
ก่อนหน้านี้ได้เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว และตอนนี้ก็ผ่านมาแล้ว 3 ชั่วยาม
มู่ชิงเกอทานอาหารที่โย่วเหอนำมาให้ในระหว่างที่นางกำลังเตรียมการ แล้วก็นั่งขัดสมาธิรวบรวมพลังจิตอยู่หน้าหม้อหลอมโอสถ
ตามตำรายาแล้วบดยาสมุนไพรต่างๆ ให้เป็นผง และการจะทำให้ยาต่างชนิดกันรวมเป็นเนื้อเดียวกันได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสรรพคุณของยาแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน หากไม่ระวังผสมโดนสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านกันก็อาจทำให้เกิดระเบิด และทำให้การหลอมโอสถเกิดผิดพลาดได้
ดั่งเช่นครั้งนี้ต้องใช้พลังจิตเป็นคู่มือ จึงจะประสบความสำเร็จได้ ต้องแผ่พลังจิตของตนเองไปสู่หม้อหลอมโอสถ เพื่อประสานสัดส่วนของสมุนไพรแต่ละชนิดและทำให้มันหลอมรวมเป็นเนี้อเดียวกัน
เพราะฉะนั้นก่อนที่มู่ชิงเกอจะเข้าสู่ขั้นต่อไปนั้นจะต้องฝึกพลังจิตให้ดีเตรียมพร้อมรับศึกหนัก
หนึ่งก้านธูปผ่านไป มู่ชิงเกอก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น สายตาที่สว่างสดใสมีแสงหนึ่งวาบผ่านเข้ามา ในขณะนั้น พลังจิตของนางก็เต็มเปี่ยมและเตรียมพร้อมที่จะลงมือ นางหยิบส่วนผสมของชิงชินซ่านออกมาวางไว้ตรงหน้าหนึ่งชุดและเปิดฝาหม้อที่จะใช้หลอมโอสถ
นางดึงไต้จุดไฟออกมา แล้วโยนเข้าไปในเตาไฟใต้หม้อ
ทันใดนั้น…ฟืนและนํ้ามันที่อยู่ในเตาไฟตั้งแต่แรกก็ค่อยๆ เผาไหม้ขึ้น
ควันสีส้มแดงลอยขึ้นกลางอากาศ เปลวไฟลามเลียสัมผัสกับหม้อไม่หยุด พอสัมผัสได้ว่าอุณหภูมิในหม้อค่อยๆ สูงขึ้น มู่ชิงเกอก็เอายาสมุนไพรชุดแรกใส่เข้าไปในหม้อ พลังจิตนั้นเป็นนามธรรม ถ้าหากมีคนที่สัมผัสได้ก็จะรับรู้ว่ามันคืออะไร แต่คนที่ไม่สามารถสัมผัสได้ไม่ว่าใครจะอธิบายอย่างไร ก็ไม่สามารถรับรู้ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่
สำหรับมู่ชิงเกอแล้ว พลังจิตนั้นไม่ใช่สิ่งที่แปลกใหม่อะไร
พลังจิตอันโปร่งแสงที่แตกกิ่งก้านสาขาค่อยๆ ออกมาจากบริเวณหว่างคิ้วของนาง เข้าไปในหม้อต้มยา กลายเป็นมือเล็กๆ ที่มีขนาดเท่ามือของเด็กแรกเกิดคนยาที่อยู่ ในหม้อต้ม