ตอนที่ 119-1
การแก้แค้นช่างเดินทางมาถึงไวนัก!
วันถัดไป
มู่ชิงเกอตื่นขึ้นมาท่ามกลางแสงแดดที่ปกคลุม เมื่อคืนนางนอนดึกมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยังไม่คุ้นชินกับสถานที่ หรือเป็นเพราะข้างกายไม่มีใครคนหนึ่ง
นั่งอยู่บนเตียง มู่ชิงเกอส่ายหน้าอย่างรุนแรง และตัดความเป็นไปได้ที่สองออกไปให้หมดสิ้น
นางจะไม่เป็นอันนอนเพียงเพราะไม่มีอ้อมกอดของใครคนหนึ่งได้อย่างไรกัน
“ต้องเป็นเพราะไม่คุ้นที่เป็นแน่!” มู่ชิงเกอพูดด้วยนํ้าเสียงที่เต็มไปด้วยความแน่วแน่
“ศิษย์ทั้งหลายจงมาเอาชุดและหลักฐานรับรองของพวกเจ้า” นอกบ้านไม้ มีเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างกะทันหัน
มู่ชิงเกอดึงชุดยาวขึ้น พลันเปิดประตูและเดินออกไป ยืนอยู่บนทางเดินข้างนอก นางมองลงไป เห็นเพียงแค่ศิษย์ชุดขาวแปลกหน้าสองคนที่ยืนถือเสื้อผ้าเอาไว้ ในขณะที่นางเดินออกมา คนอื่น ๆ บนบ้านไม้ก็ล้วนเดินออกมาเช่นกัน และมองไปที่ผู้มาเยือน
“มู่เกอ เราไปรับเสื้อผ้ากันเถิด” เว่ยฉีที่พักอยู่บนบ้านไม้หลังที่อยู่ทางซ้ายมือของมู่ชิงเกอพูดขึ้น และกระโดดลงจากบ้านไม้ไป
มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มจางๆ และรีบตามไป
หลังจากที่รับเสื้อผ้าและใบรับรองมาแล้วมู่ชิงเกอจึงพบว่าใบรับรองที่ว่านี้ แท้จริงแล้วเป็นหยกสีขาวบริสุทธิ์ หยกนี้เป็นรูปทรงกลม บนและล่างมีลวดลายดอกไม้ ตรงกลางมีรูปหอยอดแหลมทั้งสามของโรงโอสถสลักอยู่
ด้านหลัง มีตัวหนังสือสลักอยู่สองบรรทัด
บรรทัดบน ระบุระดับขั้นเอาไว้ เช่น แผ่นที่อยู่ในมือของ มู่ชิงเกอตอนนี้เขียนว่า [ระดับต่ำ] ส่วนที่อยู่ในมือของ สุ่ยหลิงเขียนว่า [ระดับกลาง]
บรรทัดล่าง เป็นตัวเลขที่เป็นหมายเลขประจำตัว
ที่คล้ายกับรหัสนักศึกษาที่นางรู้จักเมื่อชาติที่แล้ว
เรื่องที่สุ่ยหลิงเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับกลาง นางรู้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ว่า สุ่ยหลิงก็เพิ่งจะเข้าสู่ระดับกลาง ยาที่ปรุงออกมาก็ยังเป็นยาที่มีข้อบกพร่อง และใช่ว่าจะสามารถปรุงยาระดับกลางได้ทุกครั้ง
สำหรับฟู่เทียนหลง ก็เหมือนกับมู่ชิงเกอ ล้วนเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับต่ำ แต่ว่ายาที่เขาปรุงออกมานั้นเป็นยาคุณภาพสูง เมื่อเทียบกับยาเม็ดระดับตํ่าแต่คุณภาพยอดเยี่ยมที่มู่ชิงเกอปรุงออกมาก็ยังคงสู้ไม่ได้
พี่น้องตระกูลเว่ยต่างอยู่ในสถานะคนงาน สิ่งที่รับรองสถานภาพของพวกเขาจึงเป็นหยกรูปวงรีแผ่นหนึ่ง ด้านบนไม่ระบุระดับขั้น มีเพียงตราสัญลักษณ์ของโรง โอสถ แม้กระทั่งหมายเลขก็ยังไม่มี
ในความเข้าใจของมู่ชิงเกอ คนงานยังถือเป็นคนนอก สำหรับโรงโอสถ และไม่สามารถเข้าสู่ภายในของโรงโอสถได้
เมื่อทุกคนได้รับเสื้อผ้าและป้ายแสดงสถานะของตนเอง ก็เก็บป้ายไม้เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าของตนเอง
ต้องบอกว่า ชุดศิษย์ของโรงโอสถนั้นช่างสร้างมาอย่างพิถีพิถันและประณีตเป็นอย่างมาก
มู่ชิงเกอถอดชุดสีแดงเจิดจ้าที่ตนเองใส่จนคุ้นชินออก แล้วสวมชุดสีขาวดังหิมะตัวหลวม ทั้งชายเสื้อและแขนเสื้อล้วนใช้ด้ายสีเงินปักลวดลายอย่างประณีต เล็กน้อย ทว่าหรูหรา
หลังจากที่เปลี่ยนแล้ว นางรู้สึกว่าตนเองสะอาดสะอ้านมากและดูสูงส่งมากขึ้นเป็นพิเศษ
แขวนป้ายแสดงสถานะเอาไว้บนเอว มู่ชิงเกอผลักประตูออกแล้วเดินออกไป
เพิ่งจะเดินเข้าไป นางก็สัมผัสได้ว่าสายตาที่แฝงการพินิจหลายสายตาที่หยุดอยู่บนตัวของนาง เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ผู้ที่อยู่ในสายตาของนางคือทั้งเก้าคนที่เป็นเพื่อนร่วมเรือนของนาง และศิษย์ชุดขาวของโรงโอสถอีกสองคนที่รอพวกเขาเปลี่ยนชุด
เมื่อเห็นว่าพวกเขามองตนเองด้วยท่าทางอึ้งๆ มู่ชิงเกอจึงก้มมองตนเองตัวจรดเท้าด้วยความฉงนใจแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “ทำไมหรือ”
“ไม่มีอะไร!” เว่ยฉีได้สติเป็นคนแรก จึงอธิบายว่า “เห็นมู่เกอสวมชุดสีแดงจนชินตา ไม่คิดว่าเมื่อชุดสีขาวอยู่บนตัวของท่านก็ดูผ่อนคลายและงดงามสบายตาเป็นอย่างมาก”
มู่ชิงเกอกระตุกมุมปาก ไม่รู้จะตอบอย่างไร จึงพูดเพียงว่า “ชุดสีขาวไม่ว่าอย่างไรก็ทำให้ดูสะอาดสะอ้านอยู่แล้ว”
นางกลับไม่รู้สึกว่าตนเองสวมชุดสีขาวแล้วจะงดงามมากถึงเพียงใด
ในใจคิดถึงใครบางคนในชุดสีขาวอย่างห้ามไม่ได้ มู่ชิงเกอพลันรู้สึกว่าเป็นเพราะวิสัยทัศน์ของพวกเว่ยฉีนั้นยังน้อยเกินไปต่างหาก!
“อะแฮ่มๆ หากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราจะพาพวกเจ้าไปยังพื้นที่ที่เป็นห้องปรุงยา ภารกิจของเราก็ถือว่าเสร็จสิ้น” ลูกศิษย์แห่งโรงโอสถส่งเสียงไอก่อนจะตะโกนเสียงดัง
“แล้วคนงานอย่างเราล่ะ” เว่ยกว่านกว่านถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นโดยไม่สนใจสายตาที่ฉายความเหยียดหยามของทั้งห้า
“คนงานอย่างนั้นหรือ” หลังจากที่ลูกศิษย์แห่งโอสถที่เงียบมาโดยตลอดมองเว่ยฉีและเว่ยกว่านกว่านอย่างพินิจแวบหนี่ง แล้วพูดด้วยนํ้าเสียงที่แฝงความเย็นชา “คนงานให้ไปรายงานตัวที่สวนสมุนไพรด้วยตนเอง เมื่อถึงที่นั้นแล้ว จะมีคนคอยบอกพวกเจ้าว่าต้องทำอะไร”
พูดจบ ก็หันหลังและเดินออกไปอย่างเย่อหยิ่ง
“คนผู้นี้ทำไมเป็นแบบนี้เนี่ย” เว่ยกว่านกว่านทำปากเบ้ และพึมพำอย่างไม่พอใจ
เว่ยฉีตบไหล่นางทีหนึ่ง แล้วปลอบใจว่า “หากเราสามารถเลื่อนขั้นขึ้นไปเป็นอาจารย์ปรุงยาได้ เขาก็จะไม่ เป็นเช่นนี้”
มู่ชิงเกอเองก็บอกกับนางว่า “พยายามให้ดีที่สุด การพัฒนาตนเองสำคัญกว่าคำพูดอื่นใด”
เว่ยกว่านกว่านพยักหน้าอย่างแรง และยืนยันกับมู่ชิงเกอว่า “ข้าจะพยายาม! มู่เกอโปรดรอข้าก่อน อีกไม่นานข้าจะเป็นอาจารย์ปรุงยาได้แน่”
“ข้าเชื่อ” มู่ชิงเกอยิ้มจางๆ แล้วกล่าวลาทั้งสอง
ในวินาทีนี้ มู่ชิงเกอยังไม่รู้ว่า ชื่อของตนเอง ได้เป็นที่รู้จักไปทั่วโรงโอสถแล้ว
ความแข็งแกร่งทางพลังจิตที่นางได้แสดงออกมาในหอแห่งสติปัญญา และผลการปรุงยาในภายหลังที่สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน ทำให้เรื่องที่นางจะเป็น อัจฉริยะหรือว่าเป็นคนธรรมดายังคงเป็นเรื่องที่คอยโต้เถียงกัน
พื้นที่ในเขตห้องปรุงยา เป็นห้องที่โล่งและกว้างเป็นอย่างมาก
ห้องปรุงยาในแต่ละห้อง เป็นดั่งรังผึ้งที่ติดกันทั้งในแนวนอนและแนวตั้ง ทั้งหน้าผา โดยทุก ๆ ชั้นก็เชื่อมกัน ทุกคนสามารถขึ้นลงได้โดยใช้พลังจิตของตนเอง
ภายนอกห้องปรุงยา มีภาพวาดแผนผังรูปหนึ่ง ด้านบนมีเลขที่ตั้งของห้องต่าง ๆ ห้องปรุงยาระดับตํ่าและระดับสูงเหล่านี้ล้วนแยกออกจากกัน ทำให้ห้องที่ถูกแบ่งออก เป็นชั้น ๆ นี้ยาวลงดั่งนํ้าตก
“เอาเถิด เราจะนำทุกคนมาถึงแค่ที่นี่ ที่เหลือขอให้พวกเจ้าค่อยๆ ทำความคุ้นเคย” พูดจบ ลูกศิษย์ทั้งสองก็หันหลังแล้วเดินออกไป ราวกับไม่อยากจะอยู่ที่นี่ต่อแม้ แต่วินาทีเดียว
ห้าคนนั้นโค้งคำนับลูกศิษย์สองท่านนั้นอย่างนอบน้อม และเว้นระยะห่างกับพวกของมู่ชิงเกอในทันที และเริ่มหาตำแหน่งห้องปรุงยาของตนเอง
แต่ทว่า สายตาที่มองฟู่เทียนหลงนั้น มีความเยาะเย้ยแฝงอยู่
ราวกับว่า พวกเขาจะคิดไม่ถึงว่าทั้งสามที่ ‘ทะเลาะวิวาท’ ในการทดสอบด่านแรกเมื่อวานนี้จะมารวมอยู่ด้วยกัน
เห็นการอยู่ร่วมกันของพวกเขาแล้ว และใบหน้าของฟู่เทียนหลงที่เต็มไปด้วยความโกรธเคือง ช่างเหมือนชายที่ราวกับกำลังทวงความยุติธรรมจากสังคมอย่างนั้น
สายตาของคนเหล่านั้นทำให้ฟู่เทียนหลงไม่ชอบใจ จึงกำหมัดแน่น ราวกับกำลังจะลงมือ
“ฟู่เทียนหลง เจ้าคิดจะทำอะไร” สุ่ยหลิงที่คอยสังเกตเขาอยู่ตลอด เมื่อสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงจึงรีบห้าม
ทันทีที่ได้ยินเสียงของสุ่ยหลิง แรงโทสะของฟู่เทียนหลงก็หายไปในทันที พลันยืนอย่างนิ่งสงบอยู่ข้างๆ มู่ชิงเกอมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสายตาเย็นชา แล้วหันหลัง เตรียมจะเดินจากไป และไม่คิดจะไปดูที่ห้องปรุงยาของตนเอง
” มู่เกอ ท่านจะไปที่ใด” สุ่ยหลิงรีบถาม
ทันใดนั้น ก็พลันรับรู้ถึงแรงโทสะของฟู่เทียนหลงที่อยู่ ข้างๆ ในทันที
มู่ชิงเกอหยุดฝีเท้าและหันหน้ากลับไปเพียงเล็กน้อย “ข้าจะไปที่หอตำรา” พูดจบ นางก็เดินก้าวยาวออกไป โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
ความเด็ดเดี่ยวของมู่ชิงเกอ ทำให้สุ่ยหลิงอึ้งไป
ครู่หนึ่ง นางจึงได้สติ พลางกัดริมฝีปากพลันมองฟู่เทียนหลงและพูดกับเขาว่า “เจ้าตามข้ามา ” พูดจบ นางไม่ได้เดินเข้าห้องปรุงยาไป แต่กลับเดินมุ่งไปยังพื้นที่ที่ สงบและเต็มไปด้วยต้นไม้
ฟู่เทียนหลงตะลึง และเดินตามสุ่ยหลิงไป
‘เรื่องราวอันน่าตื่นเต้น’ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้ผู้คนที่บริเวณโดยรอบ เริ่มวิจารณ์ไปต่าง ๆ นานา
“พวกเจ้าคิดว่า ทั้งสองจะคุยเรื่องอันใดกัน หรือว่าแม่นางสุ่ยหลิงผู้งดงามจะทำให้เรื่องจบจะได้ใปอยู่ในอ้อมกอดของมู่เกอ”