ตอนที่ 119-2
การแก้แค้นช่างเดินทางมาถึงไวนัก!
“หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างไร ทุกคนล้วนเห็นความแตกต่างระหว่างฟู่เทียนหลงและมู่เกอ หากข้าเป็นหญิง ข้าก็จะเลือกคนหลัง”
“เหอะ ศิษย์ใหม่รุ่นเรานี้ ได้มีเรื่องให้สนุกปากกันแล้ว” มีคนทนเห็นการนินทาเหล่านี้ไม่ไหว จึงได้พูดว่า “พอเถิด มีเวลามานั่งวิจารณ์เรื่องของผู้อื่นเช่นนี้รีบไปหาห้องปรุงยาของตนเองจะดีกว่าหรือไม่ จะได้ทำสัญลักษณ์เอาไว้ จากนั้น เรายังต้องไปรายงานตัวที่สวนสมุนไพร และดูว่าฝั่งนั้นจะมีคำสั่งอย่างไร”
“ก็จริง เรื่องของตนเองเรายังจัดการไม่เรียบร้อยเลย จะไปยุ่งเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ของชายหญิงไปเพื่อการใด”
ทุกคนต่างแยกย้ายและเดินไปยังห้องของตนเอง
ในอีกฝั่งหนึ่ง สุ่ยหลิงพาฟู่เทียนหลงมาอยู่ในป่าลึก หลังจากที่แน่ใจแล้วว่ารอบข้างไม่มีใคร สุ่ยหลิงจึงมองเขาด้วยสายตาที่แฝงโทสะเล็กน้อย
“สุ่ยหลิง เรียกข้ามา มีเรื่องอันใดหรือ” ฟู่เทียนหลงถาม ด้วยนํ้าเสียงที่แฝงความอึดอัด
สุ่ยหลิงเม้มปาก พลางกัดฟันและพูดว่า “ระหว่างข้า และมู่เกอไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด ต่อไปอย่าได้ไปหาเรื่องเขา เรื่องของเราสองคนอย่าได้ดึงเขาเข้ามาข้องเกี่ยว”
“ที่เจ้าเรียกข้ามา ก็เพราะเจ้าหน้าขาวนั่นหรือ” ฟู่เทียนหลงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาในทันที
สุ่ยหลิงโมโหจนสับเท้า และพูดอย่างโหดเหี้ยมว่า “ในสายตาเจ้า ข้าเป็นผู้หญิงหลายใจหรือ”
“ไม่! ไม่ใช่! เจ้าไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น” เมื่อฟู่เทียนหลงเห็นว่าสุ่ยหลิงโมโหจึงรีบพูดอย่างตื่นตระหนกว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนแบบนั้น แต่เจ้าตระกูลมู่หน้าขาวนั้นไม่ใช่คนดี”
“บอกแล้วไง ว่าไม่เกี่ยวกับคนอื่น!” สุ่ยหลิงโกรธจนแขนทั้งสองข้างเริ่มสั่น เมื่อเห็นความงุนงงบนใบหน้าของฟู่เทียนหลง นางก็กำหมัดแน่น พูดพร้อมไหล่ทั้งสองข้างที่ยังคงสั่นอยู่ “มู่เกอไม่ได้คิดอะไรกับข้า และข้าก็ไม่ได้มีความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดกับเขา เจ้าเข้าใจหรือยัง!”
“สุ่ยหลิง…” ฟู่เทียนหลงยืนอึ้งอยู่กับที่
วินาทีนี้ สุ่ยหลิงในสายตาของฟู่เทียนหลง เป็นดั่งเด็กหญิงตัวน้อยที่ถูกทำร้ายจนเจ็บชํ้า
ท่าทางเช่นนี้ เหมือนเมื่อครั้งที่มีคนเข้าใจผิดว่านางปีนต้นไม้ไปขโมยผลไม้ของบ้านอื่นตอนนางยังเด็ก เพราะการคาดคั้นของอีกฝ่าย ทำให้นางจำต้องยอมรับว่าตนเองเป็นคนขโมย
เขารู้ว่าสุ่ยหลิงเป็นคนที่มีอุปนิสัยเช่นนี้
ข้าบอกว่าข้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่ท่านไม่เชื่อ หากท่านคิดว่าข้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะเป็นในสิ่งที่ท่านอยากให้ข้าเป็น
เขายังจำได้อีกว่า หลังจากที่สุ่ยหลิงยอมรับว่าขโมยผลไม้ ในคืนนั้นเอง นางก็ได้ไปเด็ดผลไม้ทั้งหมดที่อยู่ในสวน และเหยียบจนเละทั้งหมด โดยไม่เก็บเป็นของตนเองเลยแม้แต่ลูกเดียว
หลังจากนั้นมีคนมาเอาความถึงที่บ้าน นางกลับพูดอย่างเย็นชาว่า “ท่านบอกว่าข้าขโมยผลไม้ในสวนบ้านท่านมิใช่หรือ หากข้าไม่ทำเช่นนั้นหรือจะเป็นการ มองข้ามการใส่ความของท่านมิใช่หรือ”
และสุ่ยหลิงที่อยู่ในสายตาของฟู่เทียนหลงในตอนนี้ ราวกับได้หวนกลับไปเมื่อครั้งยังเด็ก
เขากล่าวหาว่านางและมู่เกอมีความสัมผัสที่ลึกซึ้งต่อกัน นางปฏิเสธ หากว่าเขาไม่เชื่อ ไม่แน่ว่านางอาจจะทำ เรื่องนี้ให้เป็นจริงขึ้นมา
ความกลัวได้เกิดขึ้นในใจของฟู่เทียนหลง เขารีบยื่นแขนทั้งสองข้างออกไปกอดสุ่ยหลิงเอาไว้ และกระซิบข้างหูนางว่า “ข้าเชื่อๆ สุ่ยหลิง ข้าเชื่อเจ้า เจ้าบอกว่าไม่มี อะไรก็คือไม่มีอะไร ข้ารับปากกับเจ้าว่าข้าจะไม่ไปหาเรื่องเจ้าตระกูลมู่อีก ข้าจะเชื่อฟังทุกอย่าง”
อยู่ ๆ ก็ถูกกอดเอาไว้แน่น ทำให้สุ่ยหลิงขัดขืนในตอนแรก
แต่ทว่า นํ้าเสียงที่แฝงความตื่นตระหนกของฟู่เทียนหลง และคำพูดที่ทำให้นางพูดอะไรไม่ออกได้ห้ามการขัดขืนของนางเอาไว้ และยอมให้เขากอด
ครู่ใหญ่ นางจึงค่อย ๆ ยกมือขึ้น กอดแผ่นหลังอันกว้างใหญ่ของฟู่เทียนหลงเอาไว้ นัยน์ตาเปียกชื้น
ชายผู้นี้ นางรักมากจนไม่อาจบรรยายได้
แต่ว่า นางก็ยังไม่รู้ว่าความห่วงใยที่เขามีให้นั้นมาจากใจจริงหรือเป็นเรื่องสัญญาการหมั้นหมายนั้น นํ้าตาที่แฝงความโศกเศร้าไหลลงจากดวงตาของสุ่ยหลิง นางคิดในใจว่า ‘ตาทิพย์นะตาทิพย์ เจ้าทำให้ข้าสามารถมองเห็นการอำพรางทั้งปวงบนโลกใบนี้ได้ เหตุใดจึงไม่ทำให้ข้ารู้ใจคนได้บ้าง’
“ห้องตำรา” มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองป้ายที่แขวนอยู่ด้วยความสงสัย
นี่มันหอชัดๆ เหตุใดจึงเรียกว่าห้อง
นางแบะปากทีหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไป
และเพิ่งจะเดินเข้าไป นางก็สัมผัสได้ถึงพลังหนึ่งที่วนเวียนรอบตัวนาง และหลังจากที่กวาดผ่านป้ายแสดงสถานะที่ห้อยอยู่บนเอวของนาง พลังนั่นจึงค่อย ๆ หายไป ราวกับมั่นใจในสถานะของนางแล้ว
จากนั้น นางก็ได้ยินเสียงที่แฝงความเคร่งขรึมเสียงหนึ่งที่ดังจากด้านบน “อาจารย์ปรุงยาระดับต่ำ สามารถเข้าถึงได้เพียงหนังสือในชั้นหนึ่งและสอง และมีเวลาใน การอ่านหนังสือเพียงครั้งละสองชั่วยาม เชิญเข้า”
ท่ามกลางความแปลกใจ มู่ชิงเกอเดินเข้าห้องตำราไป นางรู้สึกราวกับว่า ตนเองจะคิดผิดเสียแล้ว นางคิดไม่ถึงว่าระดับขั้นของการปรุงยาและสิทธิ์ในโรงโอสถนั้นสัมพันธ์กัน
ปรมาจารย์แห่งการปรุงยาระดับตํ่า เข้าถึงได้เพียงแค่หนังสือบนชั้นหนึ่งและสอง และเวลาในการอ่านก็มีจำกัด หากต้องการเวลาที่มากกว่านี้ และยังจะขึ้นไปอ่านตำราที่อยู่ขั้นบนกว่านี้ ก็ต้องรอให้เข้าสู่ขั้นที่สูงกว่านี้
ทันใดนั้น มู่ชิงเกอพลันรู้สึกว่า ที่ที่ตนเองควรไปไม่ใช่หอตำราแต่เป็นที่ทดสอบระดับความสามารถ และเปลี่ยนสถานะระดับขั้นในการปรุงยาของตนเองเสียใหม่
“อย่างไรก็เข้ามาแล้ว ลองดูก่อนก็แล้วกัน” มู่ชิงเกอพูดขึ้น และเดินเข้าไปในหอตำราอันเงียบสงบ
ภายในตึกเป็นรูปแปดเหลี่ยม
ทั่วทั้งบริเวณมีชั้นวางหนังสือจำนวนมาก ชั้นวางทุกชั้นสามารถหมุนได้ และจัดเรียงเป็นรูปแปดเหลี่ยมทั้งในและนอก โดยบรรจุหนังสือให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าด้วยความสามารถของมู่ชิงเกอในตอนนี้ จะสามารถเข้าถึงเพียงแค่ชั้นหนึ่งและสอง แต่จากจำนวนตำราในชั้นหนึ่งนี้แล้วก็มากจนน่าทึ่ง แม้ว่าจะนั่งศึกษาตำราอยู่ที่นี่ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน หากต้องการจะอ่านตำราทุกเล่ม ก็ยังต้องใช้เวลาหลายเดือน และนี่เป็นการคาดเดาสำหรับผู้ที่คล่องแคล่วในการศึกษาตำรา มู่ชิงเกอเดินเข้าไปตามแนวของชั้นวางหนังสือ และมองหนังสือบนชั้นหนึ่งอย่างผ่านตา
ในชั้นหนึ่งนี้ ส่วนมากเป็นตำราเกี่ยวกับการแนะนำสมุนไพร และการแบ่งประเภทของยา และตำราในด้านอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่ง
“ตำราสูตรยาอาจจะอยู่อีกชั้นหนึ่ง” มู่ชิงเกอพึมพำ
ชนิดของยาสมุนไพรในหัวของนาง มีไม่น้อยกว่าหมื่นชนิด เพราะฉะนั้น ตำราในชั้นหนึ่งนี้ ไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากนางมากนัก
เมื่อนึกได้ว่าตนเองมีเวลาเพียงสองชั่วยาม และตอนนี้ก็ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว นางจึงตัดสินใจเดินออกจากชั้นหนึ่ง และขึ้นไปดูชั้นสอง เดินขึ้นไปตามบันได ในที่สุดมู่ชิงเกอก็ขึ้นมาอยู่บนชั้นสอง
แน่นอนว่า เป็นดังที่นางคาดการณ์เอาไว้ ตำราสูตรยาระดับตํ่าจำนวนหนึ่ง ถูกเก็บเอาไว้บนชั้นสอง นอกจากนั้น ยังมีการแนะนำส่วนเกี่ยวพันของยาสมุนไพรชนิดต่างๆเอาไว้
รวมทั้ง ตำราเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้จากการปรุงยา
ตำราเหล่านี้เป็นตัวช่วยลูกศิษย์ที่ไม่ถูกอาจารย์รับเอาไว้อย่างไม่มีข้อสงสัย และเป็นโอกาสที่ดีในการศึกษาด้วยตนเองอีกวิธีหนึ่ง แม้ว่า ตำราสูตรยาระดับตํ่าจะไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากมู่ชิงเกอได้มากนัก แต่นางยังคงอยู่บนชั้นสอง เพื่อดูตำราที่อยู่ในชั้นนี้ แต่ทว่าตำราส่วนใหญ่ที่นางเลือกอ่านเป็นตำราเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้จากการปรุงยา และวิธีการแก้โรคที่รักษาได้ยาก
ภายในหอตำรายามีผู้คนไม่มากนัก
บนชั้นสองมีประมาณสิบถึงยี่สิบคน และแต่ละคนก็จมอยู่ในกองหนังสือ ต่างไม่รบกวนซึ่งกันและกัน
มู่ชิงเกอศึกษาตำราจนลืมตัว จนผู้คนที่เข้ามาในนี้ก่อนนางต่างทยอยออกจากที่นี่โดยที่นางไม่รู้ตัว บนชั้นสองเหลือเพียงนางคนเดียวที่ยืนอยู่หน้าชั้นวางหนังลือ และ ถือตำราที่เขียนโดยศึษย์พี่ท่านหนึ่ง พลางอ่านรายละเอียดที่อยู่ในตำรา
แสงที่สาดลงจากด้านบน ปกคลุมตัวนางเอาไว้ ราวกับได้สร้างเกราะบาง ๆ รอบกายนางเอาไว้
ในขณะที่ซางจื่อซูเดินลงมาจากด้านบน ก็ได้เห็นภาพที่น่าประหลาดใจนี้
นางไม่เคยเห็นชายใดที่งดงามได้มากจนไม่อาจจะละสายตาได้เช่นนี้ เปลี่ยนจากชุดสีแดงเจิดจ้ามาเป็นชุดสีขาวสะอาดสะอ้าน เขายังคงแฝงความบ้าคลั่งและความสูงส่ง ราวกับว่า เขาคือผู้ที่สามารถเอาชนะสรรพสิ่งบนโลกใบนี้จนไม่มีใครสามารถทำอะไรเขาได้ ดวงตาของเขาสว่างไสวเป็นที่สุด แต่ยังคงแฝงความเจ้าแผนการ ท่าทางที่สง่าผ่าเผย ราวกับมีกระดูกที่แข็งแกร่ง แม้ฟ้าถล่มทลายลงมาก็ไม่สามารถทำให้มันงอลงได้
เมื่อสัมผัสได้ว่าถูกจับตามอง มู่ชิงเกอก็เงยสายตาขึ้น สบกับสายตาที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ของซางจื่อซู
ท่ามกลางการสบตาในเสี้ยววินาทีนี้ ซางจื่อซูราวกับสัมผัสได้ถึงความเฉียบคมที่สะท้อนออกจากสายตาอันสว่างคู่นั้น และผ่าลงกลางหัวใจของนาง ทำให้ภูมิต้าน
ทานทั้งหมดในร่างกายของนางถูกทำลายลง ในดวงตางดงามและไร้ซึ่งความรู้สึกของนาง คงเป็นครั้งแรกที่มีความตื่นตระหนกปรากฏอยู่ ถึงขั้นว่านางเองก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป
มู่ชิงเกอค่อยๆ ปิดตำราลง และพยักหน้าเบาๆ “ศิษย์พี่ซาง”
“เจ้ารู้จักข้า?” ซางจื่อซูพูดออกมาโดยไม่คิด แต่ทว่าหลังจากที่พูดออกไปแล้ว นางพลันรู้สึกฉงนใจอีกหน
ก่อนหน้านี้ เพื่อนร่วมสำนักเอ่ยเรียกนาง นางเคยตอบกลับด้วยหรือ
เมื่อรู้สึกไม่ชอบใจกับความผิดปกติของตนเอง สายตาของซางจื่อซูก็มีความเย็นเยียบเข้ามาแทนที่ คล้ายสาวงามแห่งธารน้ำแข็งที่รํ่าลือมากกว่าเคย
“ศิษย์พี่ซางได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่งดงามที่สุดในโรงโอสถ รวมทั้งยังเป็นอันดับสามของโรงโอสถ แม้ว่าข้าจะเพิ่งเข้ามาอยู่ที่นี่ แต่ก็พอจะได้ยินมาบ้าง” มู่ชิงเกอพูดด้วยท่าทางอันแนบนิ่ง บริเวณมุมปากราวกับมีรอยยิ้มจางๆ ซ่อนอยู่
แม้นคำพูดจะดูนอบน้อม แต่ทว่าซางจื่อซูกลับไม่เห็นความระมัดระวังและการชื่นชมบูชาอันใดจากใบหน้าของมู่ชิงเกอเหมือนกับศิษย์แห่งโรงโอสถคนอื่นที่มองนางเลย ราวกับว่า ในสายตาของมู่ชิงเกอ นางไม่ต่างอะไรกับสุนัขหรือแมวที่ไม่ได้มีความพิเศษประการใดเลย
ความรู้สึกเช่นนี้ ทำให้นางมองมู่ชิงเกอด้วยความประหลาดใจ แต่ทว่า ก็ได้เก็บสายตาเช่นนั้นอย่างไม่ทิ้งร่องรอย
พยักหน้าเบาๆ ทีหนึ่ง ซางจื่อซูเดินลงบันไดไป และจากไปจากสายตาของมู่ชิงเกอ
หลังจากที่มองซางจือซูจนลับสายตาไป มู่ชิงเกอก็เคลื่อนสายตาไปอยู่บนตำราในมืออีกหน