ตอนที่ 73
ป๋ายซีเยวี่ยที่คิดมากไป
“แม่นางลวี่จือยาของแม่นางป๋ายจัดไว้เรียบร้อยแล้ว หากไม่มีอะไรแล้วพวกข้าจะคุ้มครองแม่นางทั้งสองกลับจวน” ทหารของตระกูลมู่เดินมาเดินหยุดด้าน
หลังของลวี่จือแล้วพูดขึ้นนิ่งๆ
ลวี่จื่อรีบดึงความคิดของตนกลับมา หันหลังกลับไปพูดพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนพี่ชายด้วย”
“มิกล้า ข้าน้อยเพียงทำตามคำสั่งของคุณชาย” ทหารตอบอย่างมีมารยาท
ป๋ายซีเยวี่ยถูกส่งตัวขึ้นรถม้าของจวนแล้วย้อนกลับไปยังจวนตระกูลมู่โดยมีทหารของจวนคอยอารักขา ส่วนมู่ชิงเกอก็พาฉินอี้เหยากลับไปส่งที่ตำหนักองค์หญิง เพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้ ทันทีที่กลับไปถึงตำหนัก นางก็สั่งให้คนอาบนํ้าเย็นให้กับฉินอี้เหยา แล้วก็ให้นางพักผ่อนอยู่ในห้องคนเดียว จากนั้นก็สั่งให้นางกำนัลในตำหนักองค์หญิงให้เอาเก้าอี้โยกตัวหนึ่งมา และเตรียมนํ้าชาและอาหารเลิศรสไปวางตรงสวนบริเวณเรือนของฉินอี้เหยา
ในขณะนั้นทันทีที่กลับถึงจวน ป๋ายซีเยวี่ยที่นอนอยู่บนเตียงภายในเรือนของตนเองก็ค่อยๆ รู้สึกตัว ภาพตรงหน้าที่ดูคุ้นเคยซึ่งต่างจากภาพก่อนหน้าที่ตนเองจะหมดสติลง ทำให้นางตกใจ พอรู้สึกตัวก็รีบจับเสื้อของตนเองแน่น พอเห็นด้านหลังของลวี่จือที่กำลังยุ่งง่วน อยู่จึงค่อยๆ คลายมือออก
“ลวิ่จือ” ป๋ายซีเยวี่ยเรียกเสียงเบา
ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านตรงทรวงอก ทำให้ความทรงจำอันโหดร้ายก่อนหน้านี้ของตนเองค่อยๆ กลับมา
เสียงที่ดังจากข้างหลัง ทำให้ลวี่จือหันกลับไปมอง
เมื่อเห็นว่าป๋ายซีเยวิ่ยฟื้นแล้ว นางจึงรีบวิ่งเข้าไปอยู่ ข้างๆ พลางพูดอย่างดีใจว่า “คุณหนู ท่านฟื้นแล้วหรือ”
ป๋ายซีเยวี่ยเม้มปากผงกศีรษะ พลางถามว่า “ข้ากลับมาได้อย่างไร” ท่ามกลางความมึนงง นางจำได้ว่าเพียงว่าตนเองถูกมู่ชิงเกออุ้มขึ้นรถม้าของตำหนักองค์หญิง หลังจากนั้นในความทรงจำของนางก็เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายจนถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกมึนๆ อยู่
“แน่นอนว่าบ่าวเป็นคนไปรับท่านกลับมา” ลวี่จือพูดเสียงดัง
หลังจากนั้นก็พูดใส่สีตีไข่ว่า “ท่านไม่รู้หรอกว่าคุณชายทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าท่านบาดเจ็บแต่ก็ยังทิ้งท่านไว้ที่โรงหมอข้างทาง แล้วไปอี๋อ๋อกับองค์หญิงนั้น บ่าวเป็นคนไปรับท่านกลับมาจากโรงหมอเองเจ้าค่ะ”
ในสายตาของป๋ายซีเยวี่ยเย็นชา คำพูดของลวี่จือทำให้ความโกธเกรี้ยวในใจของนางกลบความเจ็บปวดของร่างกายไปหมด
นางถูกมู่ชิงเกอทิ้งไว้ที่โรงหมอข้างทางอย่างไม่ไยดีอย่างนั้นรึ ?!
ไม่สิ!
อยู่ๆ ความทรงจำอันเลือนรางบนรถม้าก็กลับมา ป๋ายซี เยวี่ยจำได้รางๆ ว่าองค์หญิงฉางเล่อพิงอยู่บนตัวของมู่ชิงเกอด้วยท่าทางที่แปลกๆ ส่วนนางนั้น………………………….
ทันใดนั้นใบหน้าของป๋ายซีเยวี่ยก็กลายเป็นสีแดงและเห่อร้อน
นางกลับให้มู่ชิงเกอเห็นด้านที่น่าอับอายของนาง แม้ว่าจะเป็นเพราะผลกระทบจากฤทธิ์ยาก็เถิด แต่ถึงอย่างไรนางเป็นผู้หญิงและขนาดนางทำท่าทีแบบนั้นต่อหน้ามู่ชิงเกอแต่เขาก็ยังทิ้งตนเองเอาไว้ แล้วกระโจนเข้าสู่อ้อมกอดขององค์หญิงฉางเล่องั้นรึ?
ทันใดนั้นแก้มสองข้างอันแดงกํ่าของนางก็เปลี่ยนเป็นขาวซีดและดูน่ากลัว
เขาเห็นร่างกายของนาง…เห็นแล้วแท้ๆ หรือว่าไม่ควรจะแสดงความรับผิดชอบหรือ?
สายตาอันเย็นยะเยือกพลันมีเปลวไฟแห่งความโกรธเกรี้ยวปะทุขึ้น
“คุณหนูท่านเป็นอะไรหรือว่าจะรู้สึกไม่ค่อยสบายอีก ทำไมใบหน้าเดี๋ยวแดง เดี๋ยวซีดเช่นนี้ ให้บ่าวไปตามหมอให้ท่านอีกรอบนะเจ้าคะ” ลวี่จือรีบหันหลังกลับไป
“เจ้าหยุดนะ!” แต่ความเยียบเย็นของป๋ายซีเยวี่ยหยุดยั้งการกระทำของลวี่จือเอาไว้
“คุณหนู?” ลวี่จือหันกลับมามองป๋ายซีเยวี่ยที่นอนเหงื่อโชกบนเตียงอย่างไม่เข้าใจ
ป๋ายซีเยวี่ยมองนางด้วยสายตาน่ากลัว พลางกัดฟันพูดว่า “เจ้าเล่าเรื่องที่ไปรับข้ามาให้หมด ห้ามปิดบังแม้แต่น้อย”
ลวี่จือตกใจ คิดว่าป๋ายซีเยวี่ยรู้ในสิ่งที่ตนเองปกปิดเอาไว้ จึงรีบคุกเข่าลงพลางพูดว่า “คุณหนูใจเย็นๆ ก่อนเจ้าค่ะ ลวี่จือไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังแม้แต่น้อย ลวี่จือแค่โมโหคุณชายที่รู้อยู่แก่ใจว่าคุณหนูบาดเจ็บ แต่ก็ยังมีกะจิตกะใจไปเที่ยวเล่นข้างนอกจึง…”
ป๋ายซีเยวี่ยฟังแล้วขมวดคิ้ว แต่เดาออกว่าลวี่จือเหมือนจะกำลังเข้าใจอะไรผิด
เห็นเจ้านายขมวดคิ้วลวี่จือยิ่งตื่นตระหนก รีบพูดว่า “คือ…คือคุณชายพาคุณหนูเข้าไปรักษาตัวที่โรงหมอ แล้วสั่งคนให้มาเรียกทหารและบ่าวรับใช้ในจวนให้ไปที่โรงหมอด้วย หลังจากที่คุณหนูรักษาตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณชายก็สั่งให้บ่าวดูแลคุณหนูให้ดีและสั่งให้เหล่าทหารไปรับยา จากนั้นให้พาตัวคุณหนูกลับมา”
“สิ่งที่ข้าอยากรู้ไม่ใช่เรื่องนี้” ป๋ายซีเยวี่ยตัดบทคำพูดของลวี่จือในทันที นางไม่สนใจสักนิดว่ามู่ชิงเกอจะจัดการเรื่องนี้ได้รอบคอบเพียงใด แต่เรื่องที่เขาทิ้งนางนั้นเป็นความจริง
“ถ้าอย่างนั้น…แล้วคุณหนูอยากรู้เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ?” ใบหน้าของลวี่จือเต็มไปด้วยความสงสัย
ป๋ายซีเยวี่ยหรี่ตาพูดเสียงแข็งว่า “ตอนเจ้าไปถึงโรงหมอ เจ้าเห็นองค์หญิงฉางเล่อหรือไม่”
เอ่อ…
ลวี่จื่ออึ้ง เหมือนตามความคิดของเจ้านายตนเองไม่ทัน แต่นางก็ยังตอบตามความเป็นจริงว่า “บ่าวไม่เห็นองค์หญิง แต่เห็นรถม้าของตำหนักองค์หญิงจอดอยู่ที่นอกประตูโรงหมอ รอบๆรถม้ามีนางกำนัลและทหารของจวนองค์หญิงรายล้อมอยู่”
“หลังจากที่มู่ชิงเกอออกจากโรงหมอก็ไปขึ้นรถม้าของตำหนักองค์หญิงอย่างนั้นหรือ?” ป๋ายซีเยวี่ยถามขึ้นอีกครั้ง
ลวี่จือพยักหน้าอย่างแรง “บ่าวเห็นเองกับตาว่าคุณชายขึ้นรถม้าของตำหนักองค์หญิงไป พอเขาขึ้นรถ รถม้าก็ออกไปในทันที”
ใบหน้าของป๋ายซีเยวี่ยดูโหดเหี้ยมเป็นที่สุดและไม่สามารถสะกดความโกรธเกลียดในใจเอาไว้ใด้
‘มู่ชิงเกอ เจ้ากล้าทำกับข้าถึงเพียงนี้เลยรึ ตอนนั้น ท่านพ่อของข้าต้องมาสิ้นชีพในสนามรบเพราะช่วยชีวิตปู่ของเจ้า เพราะการตายของท่านพ่อทำให้ท่านแม่สิ้นหวังและตายตามไป ข้าที่ควรจะเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์กลับต้องมาเป็นเพียงแค่เด็กกำพร้าที่อาศัยอยู่ในจวนตระกูลมู่ ตระกูลมู่ติดหนี้ข้าเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว และตอนนี้ข้าและองค์หญิงฉางเล่อโดนยาพิษพร้อมกัน และข้าก็ยังบาดเจ็บโดนยาพิษหนักกว่านาง แต่เจ้ากลับทิ้งข้าไป ไม่ยอมช่วยข้าคิดแต่จะไปช่วยองค์หญิงผู้สูงศักดิ์คนนั้นอย่างนั้นหรอ?’ อยู่ๆ ภายในใจของป๋ายซีเยวี่ยก็ร้อนเป็นไฟ และทำให้นางรู้สึกอ่อนแรงในทันที ความรู้สึกตื่นตระหนกทั้งสองครั้งที่ผ่านมา ทำให้นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“หึๆๆ…” ป๋ายซีเยวี่ยหัวเราะเสียงเย็นด้วยความทุกข์ระทม นางรู้อยู่แล้วว่าพิษนั้นยังไม่ได้รับการถอน
ยาพิษประเภทนั้น หากไม่ได้…กับใครสักคน แล้วจะถอนได้อย่างไร หากนางปล่อยให้นานต่อไปจนสติสัมปชัญญะถูกทำลาย นางควรจะยอมตายหรือหาใคร สักคนมาแก้พิษดี
ความโกรธเกลียดและความหมดหวังภายในจิตใจ ทำให้ร่างกายของป๋ายซีเยวี่ยแผ่กลิ่นอายน่าหวาดผวาออกมา ทำให้ลวี่จือตกใจจนต้องถอยหลังไปสองก้าวอย่างอดไม่ได้
ในความเป็นจริงแล้ว ป๋ายซีเยวี่ยไม่รู้ว่าความผิดปกติในร่างกายตอนนี้เป็นเพียงอาการปั่นป่วนสุดท้ายก่อนที่ฤทธิ์ยาจะสลายไป หากนางอดทนและผ่านมันไปได้ก็จะไม่เป็นอะไร
นางคิดแต่ว่ายาพิษที่ตนเองโดนนั้นเป็นยาพิษที่มีฤทธิ์ร้ายแรง ผลลัพธ์สุดท้ายหากไม่ใช่ตายก็ต้องเสียตัวให้กับคนอื่น มีแต่ยาแบบนี้เท่านั้นจึงจะเข้ากับนิสัยอันโหดร้ายอำมหิตของรัชทายาทอย่างฉินจิ่นซิว
ไม่! นางไม่อยากตาย!
ยังไม่ทันได้ทวงทุกอย่างที่เป็นของนางคืน นางจะตายได้อย่างไร!
ในสายตาของป๋ายซีเยวี่ยมีความไม่จำนนเกิดขึ้น
ทว่า…
หากไม่อยากตาย นางต้องให้ใครสักคนมาแก้พิษให้กับนาง