ตอนที่ 785
ที่มาไม่ใช่มู่ชิงเกอ
“หากได้เคล็ดวิชาเทวะมาอยู่ในมือ พวกเรายังจะต้องกลัวเขาอีกหรือ” คนคนนั้นพูดอย่างดูแคลน
“พูดถูกต้อง แต่น่าเสียดาย ตระกูลมู่เหลือเดนหายเงียบไปพร้อมกับการตายของนายน้อยตระกูลมู่ผู้นั้น เบาะแสของเคล็ดวิชาเทวะก็ยิ่งริบหรี่ลงไปด้วย” คนที่พูดดูท่าทางคงเป็นคนที่วางแผนในครั้งนี้
เขายืนอยู่ท่ามกลางคนกลุ่มนั้น แม้รูปร่างหน้าตาจะถูกปิดบังไว้ แต่ก็ยังโดดเด่น ชวนให้คนรู้สึกว่าเขาก็คือหัวหน้า
คนที่ถูกทุกคนจ้องมองแค่นเสียงออกมาแล้วเอ่ยว่า “มองข้าทำไม ของของนายน้อยตระกูลมู่ข้าได้มาก็จริง แต่ในนั้นไม่มีเคล็ดวิชาเทวะอยู่จริงๆ”
“คำพูดนี้จริงหรือเท็จ ใครจะรู้ได้” มีคนเอ่ยเสียดสี
คำพูดของพวกเขาทำให้ทราบว่าคนที่ถูกทุกคนจ้องมองด้วยความสงสัยอยู่นั้นก็คือราชาเทวะจื่อกวง ที่เคยแอบประมือกับมู่ชิงเกอนั้นเอง
ไม่นึกว่า เรื่องครั้งนี้เขาเองก็เข้าร่วมด้วย
ราชาเทวะจื่อกวงกวาดสายตาเย็นเฉียบผ่านคนที่สงสัยในตัวเขา ราวกับว่าหากไม่ใช่เพราะโอกาสไม่เหมาะสม เขาคงลงมือสั่งสอนอีกฝ่ายไปนานแล้ว
“เอาล่ะ เรื่องในตอนนี้สำคัญที่สุด พวกเราอย่าได้แตกคอกันเอง” คนที่เป็นหัวหน้าเอ่ยตัดบทการแตกแยกภายในลง
ทั้งเจ็ดคนกลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง พวกเขายืนอยู่กับที่ไม่ได้รีบร้อน
“ที่นี่ก็คือแดนมาร”
“ข้ารับร้ได้ ที่นี่มีผู้แข็งแกร่งขั้นศักดิ์สิทธิ์สูงสุดกำลังแผ่พลังบารมีอยู่”
มีคนกระซิบบอก
พลังบารมีนี้ย่อมเป็นของซือมั่ว
คนที่เป็นหัวหน้าก็เอ่ยว่า “ถูกต้อง แสดงว่าข่าวกรองของเราไม่ผิด เขาอยู่ที่นี่จริงๆ”
“เราจะทำอย่างไรต่อไป” มีคนถามอย่างร้อนรน
“ไม่ต้องรีบ หาเขาให้พบแล้ว…” สองตา สาดประกายสังหารเย็นเฉียบออกมา “ฆ่าเขาซะ”
คำพูดของเขาทำให้แววตาทุกคนเจิดจ้าขึ้นมา
พวกเขาต่างพยักหน้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ล้วนเห็นด้วยอย่างยิ่ง มิฉะนั้น พวกเขาคงไม่มาปรากฎกายที่นี่
สังหารราชามารแล้วแดนมารย่อมตกอยู่ในความชุลมุนวุ่นวาย
ถึงเวลานั้นแดนมารก็จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
สงครามภายในจะบั่นทอนกำลังภายในของตนเอง เวลานั้นจะเป็นเวลาที่พวกเขาเผ่าเทพออมแรงเอาไว้ เมื่อโอกาสเหมาะสม เผ่าเทพของพวกเขาก็จะสามารถเข้าตี แดนมารจนแตกได้ สามารถกำจัดเผ่ามารออกไปจากแผ่นดินเทพมารได้โดยเด็ดขาด
เผ่ามารถือครองครึ่งหนึ่งของแผ่นดินเทพมารอยู่
เมื่อถูกกำจัด ทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ภายในนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนเกิดความโลภ
นัยน์ตาของทุกคนผุดแววตื่นเต้น
ความโลภไม่ได้ลดน้อยเพราะตบะบำเพ็ญที่สูงส่ง บางครั้งอาจจะเพิ่มมากขึ้นตามตบะบำเพ็ญที่สูงขึ้นด้วยซํ้า วิถีนับหมื่นนับพัน การรับรู้วิถีไม่ได้มีเพียงชนิดเดียว ความโลภเองก็เป็นวิถีอย่างหนึ่งเช่นกัน
“ที่นี่พวกเราล้วนไม่คุ้นเคย จะไปหาเขาอย่างไร” ทันใดนั้นก็มีคนถามขึ้น
แต่ยังไม่ทันที่คนเป็นหัวหน้าจะตอบ พวกเขาก็เห็นว่ามีเงาร่างสายหนึ่งกำลังมุ่งตรงเข้าหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว
เงาร่างที่ปรากฎทำให้หกคนที่เหลือต่างระวังตัวทันที ไอสังหารแผ่ซ่านอบอวล
“คนกันเอง” คนที่เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้น หยุดยั้งจิตสังหารของพวกเขาได้ทันท่วงที
เมื่อเงาดำนั้นมาถึงเบื้องหน้าคนทั้งเจ็ดก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง
เพียงแต่ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยอะไร คนเป็นหัวหน้าก็กล่าวว่า “เอาล่ะ ไม่ต้องมากพิธี รีบพาพวกเราไปยังที่ที่สมควรไป เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์พลิกผัน”
“ขอรับ” คนที่คุกเข่ารับคำเสียงเครียด ลุกขึ้นมาหันกาย หายเข้าไปในความมืดอีกครั้ง
คนที่เป็นหัวหน้าพุ่งออกไปก่อน ตามหลังเขาไป ด้านหลังอีกหกคนก็สบตากันแล้วก็รีบตามไป
มู่ชิงเกอฉีกช่องว่างไปจนถึงแผ่นดินเทพตะวันตก ทะลุช่องว่างออกมาอีกครั้งนางก็เข้าใกล้สิ่งกีดขวางของแผ่นดินเทพมารริมฝังแม่นํ้าเมิ่งหลานแล้ว
ตอนนี้เป็นช่วงดึกสงัด แต่นางกลับจำต้องเพิ่มฝีเท้าให้เร็วขึ้น มุ่งหน้าไปยังแดนมารริมฝั่งแม่นํ้าเมิ่งหลาน
นางไม่กล้าชักช้าแม้สักเสี้ยวนาที เพราะเกรงว่าหากช้าไปเพียงเสี้ยวนาทีเดียวจะทำให้นางต้องเสียใจไปตลอดชีวิต!
ทันใดนั้นก็มียันต์ส่งสารลอยเข้ามาที่มือนาง มู่ชิงเกอรีบกางออก นี่เป็นข่าวสารที่ซ่งเทียนจี๋ส่งมา
‘นังหนู เป็นอย่างไรแล้ว พวกเราถึงแดนมารแล้วหรือยัง’ ในสมองมู่ชิงเกอผุดคำถามขึ้น โห่วเป็นไพ่ตายของนางย่อมเปิดเผยออกมาง่ายๆ ไม่ได้
ส่วนหุ่นเทพมารนั้นเมื่อประจันหน้ากับราชาเทวะ เห็นได้ชัดว่าไม่อาจสู้ได้ อีกทั้งหุ่นมารก็เสียหายหนักยังไม่ฟื้นฟูกลับมา ดังนั้นจึงไม่มีกำลังต่อสู้มากนัก
‘เป็นข่าวของซ่งเทียนจี๋ เขาสืบรู้ถึงเรื่องเหล่าราชาเทวะแล้ว’ มู่ชิงเกอพูดเสียงเครียด
‘ไวขนาดนี้เชียว’ โห่วออกจะแปลกใจ แล้วพูดอย่างสะท้อนใจว่า ‘ดีที่เจ้าฉลาดเฉลียว วางตัวสายลับในดินแดนเทพต่างๆ ไว้ตั้งแต่แรก ไม่เช่นนั้นหากสายของเผ่ามารใช้ไม่ได้แล้ว เวลานี้ตาเจ้าคงมืดบอดทั้งสองข้างแน่’
มู่ชิงเกอนิ่งเงียบไม่ตอบคำ การที่นางวางตัวพวกซ่งเทียนจี๋หลายร้อยคนไว้ในดินแดนเทพต่างๆ ก็ พราะได้รับแรงบันดาลใจมาจากซือมั่ว เอาไว้เพื่อใช้ในเวลาจำเป็น
‘มีใครไม่อยู่บ้าง’ โห่วรีบถาม
มู่ชิงเกอเอ่ยว่า ‘ราชาเทวะจื่อกวง ราชาเทวะเส้าเทียน ราชาเทวะเหว่ยอี้ เซวียนเช่อ กู่เฟิ่ง จี๋วอวี่ ไห่เทียน ทั้งเฟิ่งเทียนด้วย’
‘ไปกันแปดคนเซียวรึ!’ โห่วชะงัก แค่นหัวเราะออกมา ‘ครั้งนี้เผ่าเทพเทหมดหน้าตักเลยนี่’
‘ควรเป็นเจ็ดคน!’ มู่ชิงเกอแก้ให้
‘หืม’ โห่วถามอย่างแปลกใจ ‘ไม่ใช่มีแปดคนที่หายไปหรือ’
มู่ชิงเกอแค่นหัวเราะ ‘ราชาเทวะเฟิ่งเทียน หลียวน เวลานี้คงไม่มีอารมณ์ยุ่งกับเรื่องนี้ เชื่อว่ากำลังหาวิธีแก้ไขปัญหาใบหน้าที่แก่ชราลงทุกวันอยู่’
นางรู้จักหลียวนดี นางให้ความสำคัญกับใบหน้าของตัวเองขนาดไหน หากนางไม่สามารถควบคุมความงามของตัวเองไว้ได้แล้ว นางย่อมต้องลดโอกาสปรากฎตัวต่อหน้าผู้คนลง
‘เจ็ดคนก็ไม่น้อยเลย! อีกทั้งมีหลายคนที่ตบะบำเพ็ญสูงมาก ราชาเทวะเส้าเทียนนั่นเป็นขั้นศักดิ์สิทธิ์ชั้นที่เก้า เพียงแต่ยังไม่ขึ้นถึงขั้นสุดยอดเท่านั้น’ โห่วพูด
มู่ชิงเกอไม่ได้รับคำ ยื่นมือฉีกขาดช่องว่าง กระโดดขึ้นหายไปจากที่เดิม
ริมฝั่งแม่นํ้าเมิ่งหลาน สิ่งกีดขวางโปร่งใสนั้นเปล่งแสงกะพริบวับแวม
ที่นี่เป็นจุดที่กระแสช่องว่างไหลทวน เป็นจุดตัดความปั่นป่วนของเวลา ทันใดนั้นก็พลันเกิดรอยแยกขึ้น มีเงาดำกระโดดออกมาจากรอยแยก เข้ามาในช่องว่างของแดนมาร
เงาดำนี้ทั้งร่างถูกคลุมอยู่ใต้เสื้อคลุมสีดำ เส้นผมบางปอยระอยู่ภายนอก ปลิวไหวไปตามกระแสลมยามราตรี
เขาก้มศีรษะทำให้คนมองไม่เห็นใบหน้า เห็นเพียงรูปร่างสมส่วนร่างกายผอมบาง
ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น แต่ปีกหมวกที่กว้างใหญ่ก็ยังคงบังใบหน้าของเขาไว้ทำให้เห็นเพียงส่วนคางขาวอิ่ม ทั้งยังส่วนคอที่เรียวยาว
ริมฝีปากของเขาเจือสีแดงสดราวกับสีเลือด มุมปากค่อยๆ เปิดออกแล้วยกขึ้น เผยให้เห็นฟันขาวสะอาด เมื่ออยู่ภายใต้แสงจันทร์ก็เปล่งประกายวาววับ แหลมคมเจือไปด้วยไอหนาวเย็น
พริบตาเดียวเงาร่างนั้นก็หายไป เมื่อปรากฎกายขึ้นอีกครั้งก็ยืนอยู่บนกำแพงเมืองของเผ่ามารแล้ว…