ตอนที่ 91-5
ละครหักมุม! คืนนี้ข้าจะปักปิ่นให้แก่เจ้า
ทว่า เหตุเพราะเรื่องราววุ่นวายที่เกิดขึ้น ทำให้ไม่มีใครที่อยากอยู่ฉลองในงานเลี้ยงต่อ ต่างก็หาข้ออ้างขอลากลับก่อน เหตุผลที่ฉินจิ่นห้าวจะขอลาไปก่อนนั้นดูสมเหตุสมผล เขาจะต้องไปกราบทูลเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้แก่ฮ่องเต้ แล้วใครกันเล่าจะกล้ารั้งเขาไว้ได้
หลังจากที่เจ้าอ้วนเช่าเห็นฉากอันน่าประทับใจ เขาจึงผุดรอยยิ้มอย่างพอใจแล้วพูดกับมู่ชิงเกอว่า “ข้าว่าแล้วว่า นางคนนั้นไม่ใช่คนดีอะไร! สายตาคุณชายอย่างข้านี้ช่างเฉียบแหลมจริงๆ!” พอพูดจบก็ถูกคนตระกูลเช่าลากตัวกลับไป
เมื่อเรื่องราวทั้งหมดจบลงแล้ว มู่ซงเองก็เดินออกไปโดยลำพัง
ส่วนมู่เหลียนหรงเองก็ไม่มีกะจิตกะใจจะทำการอันใด นางจึงเดินจากไปเช่นกัน
หลังจากที่คนในจวนตระกูลมู่ได้ส่งแขกกลับไปหมดแล้ว จึงพบว่าเสียนอ๋อง ฉินจิ่นเฉินยังไม่กลับ
“มีเรื่องอันใดหรือ” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วถาม
ฉินจิ่นเฉินถามกลับด้วยความเย็นชา “เหตุใดจึงเลือกเขา”
มู่ชิงเกอย้อนถามว่า “เลือกใครรึ?”
“รุ่ยอ๋อง เหตุใดจึงคิดร่วมมือกับเขา” ฉินจิ่นเฉินพูดอย่างแนบนิ่ง ไม่สามารถเดาความคิดของเขาจากนํ้าเสียงนั้นได้เลยแม้แต่น้อย
แต่ทว่า ไม่น่าเชื่อที่มู่ชิงเกอกลับเข้าใจดี
ราวกับว่า เขากำลังตำหนิที่นางเลือกจะร่วมมือกับคนเลว ซึ่งเป็นการดึงตนเองและตระกูลมู่ไปยุ่งกับเรื่องวุ่นวายเหล่านั้น
ความจริงแล้วไม่ต้องอธิบายอะไรเลยก็ได้ แต่พอนึกถึงว่าคนตรงหน้ามิได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด จึงพูดว่า “หากอยากจัดการให้มันล่มจมก็ต้องทำให้ตายใจก่อน ข้าอยากเห็นสีหน้าของเขาขณะลงนรกขุมสุดท้ายใน ตอนที่ห่างจากความสำเร็จเพียงแค่ครึ่งก้าว เกมนี้ตระกูลมู่จะแพ้ไม่ได้” นางยังคงไม่ลืมว่า มู่ชิงเกอตัวจริงตายอย่างไร ไม่ลืมว่าฉินจิ่นห้าวแอบปองร้ายและถึงขั้นสั่งเก็บนาง ที่สำคัญนางไม่ลืมว่าเขาวางแผนล้มตระกูลมู่มาแล้วกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง หากกล้ายั่วโทสะนางก็ต้องเตรียมใจรับผลกรรม หากใครกล้าทำร้ายนาง นางจะเอาคืนให้ถึงที่สุด ซึ่งเป็นกฎการดำเนินชีวิตทั้งสองชาติภพของนาง
ฉินจิ่นเชิงเปลี่ยนสายตา พลางพูดว่า “เจ้าช่างเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง”
“ชมเกินไปแล้ว กระหม่อมหาได้เป็นคนดีอะไรไม่” มู่ชิงเกอน้อมรับคำวิจารณ์คำนี้
“เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าการที่เจ้าทำเช่นนี้อนาคตบัลลังก์แคว้นฉินจะเป็นของใคร” ฉินจิ่นเฉินถามอีกครั้ง
มู่ชิงเกอถอยหลังสองก้าว มองเขาอย่างพินิจครู่หนึ่ง พลางพูดติดตลกว่า “กระหม่อมรู้สึกว่า หากเป็นพระองค์ก็ไม่เลว” พูดจบ นางก็หันหลังกลับและเดินจากไป
“ข้าอย่างนั้นหรือ” ฉินจิ่นเฉินพึมพำคำหนึ่งมองตามหลัง มู่ชิงเกอ ทันใดนั้นเขาก็ส่งเสียงไอออกมาหลายที หลังจากหายใจได้คล่องขึ้น จึงกล่าวว่า “ข้าจะไม่มีวันนั่งตำแหน่งนั้นอย่างแน่นอน ไม่คู่ควรและไม่ยินยอมด้วย”
ป๋ายซีเยวี่ยถูกฉินจิ่นห้าวพาตัวออกไปและมู่ชิงเกอก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด
เพราะว่า หากยังไม่ได้รับคำยินยอมจากนาง ฉินจิ่นห้าวจะไม่ทำอะไรนางเป็นแน่
และในตอนนี้นางยังไม่มีความคิดที่จะจัดการกับป๋ายซีเยวี่ย
ในคืนนั้น ซึ่งเป็นคืนที่นางเข้าพิธีสวมหมวก โดยปกติในวันพิเศษเช่นนี้ ผู้ชายในจวนอื่นๆ ต่างก็จะมีการเตรียมสาวใช้ชั้นหนึ่งเอาไว้ซึ่งจะกลายเป็นพิธีการสุดท้ายในการเป็นชายหนุ่มเต็มตัวของพิธีสวมหมวกนี้และต่อไปหญิงสาวคนนั้นก็จะกลายเป็นอนุของชายหนุ่ม แต่ทว่าเรื่องที่มู่ชิงเกอเป็นผู้หญิง มู่ซงและมู่เหลียนหรงต่างก็รู้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครเตรียมการในเรื่องนี้ คนอื่นภายในจวน เพราะไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร จึงเดาว่าอาจจะเป็นใครคนใดคนหนึ่งระหว่างโย่วเหอและฮวาเยวี่ย
ถึงขนาดว่า ต่างก็ลงพนันกันในเรื่องนี้ ลืมเรื่องราวของป๋ายซีเยวี่ยไปเสียสนิท
ภายในสวนสระเมฆา มู่ชิงเกอนั่งอยู่ภายในเรือน มองทั้งสองนางที่เอามืออุดปากเพื่อเก็บรอยยิ้ม พลางพูดอย่างปวดหัวว่า “พวกเขากำลังพนันกันเรื่องของพวกเจ้า พวกเจ้ายังมีความสุขกันได้ถึงขนาดนี้ไม่สนใจชื่อเสียงของตนเองแล้วหรือ?”
ฮวาเยวี่ยเดินสะบัดเอวอันพลิ้วไหวดั่งงูนํ้าเข้ามาเกาะตัวมู่ชิงเกอเอาไว้ พลางพูดอย่างเย้ายวนว่า “คุณชาย พวกข้าก็เป็นคนของท่านอยู่แล้ว เกียรติยศชื่อเสียงทั้ง หมดก็เป็นของท่าน คืนนี้ให้ฮวาเยวี่ยปรนนิบัติท่านดีหรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้าดูซุ่มซ่ามเกินไป ข้าว่าคืนนี้ให้ข้าเป็นคนปรนนิบัติท่านจะดีกว่า ข้าได้วางพนันให้กับตนเอง 200 ตำลึงเงินเชียวนะ เพื่อไม่ให้ข้าน้อยต้องเสียเงินที่อุตส่าห์เก็บสะสมมา คุณชายโปรดเลือกข้าเถิด” โย่วเหอเองก็เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มอันเบิกบานและเกาะแขนอีกข้างของมู่ชิงเกอเอาไว้
“หา! นี่เจ้าพนันข้างตัวเองด้วยอย่างนั้นหรือ ข้าเองก็เช่นกัน ถ้าเช่นนั้นเราควรจะทำอย่างไรดี” ฮวาเยวี่ย ขมวดคิ้วในทันที ทำให้ยิ่งดูงดงามน่าเย้ายวน
“น้องรัก ยอมแพ้พี่เสียเถิด เงินที่เจ้าแพ้ข้าจะเป็นคนชดใช้ให้กับเจ้าดีไหม” โย่วเหอพูดโน้มน้าว
“ไม่ได้ๆ” ฮวาเยวี่ยส่ายหน้า “ข้ายืนยันกับพี่น้องทุกคนแล้วว่า คืนนี้คุณชายจะต้องเลือกข้าเป็นแน่”
“หรือเจ้าจะทนเห็นพี่สาวต้องแพ้พนันและยังจะต้องโดนเจ้าพวกคนหยาบนั้นหัวเราะเยาะอีก” โย,วเหอก้มหน้าลงอย่างเสียใจ
คำพูดของทั้งสองทำให้มู่ชิงเกอที่ฟังอยู่รู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้นสองแขนของนางก็งอเข้ามากอดเอวบางของทั้งสองนางเอาไว้แนบอก พลางพูดพร้อมเสียงหัวเราะที่ฉายแววชั่วร้ายว่า “ไม่ต้องแย่งกันแล้ว หากพวกเจ้า ต้องการ ในคํ่าคืนนี้พวกเราก็มาบินเคียงคู่กันเลยดีกว่า”
“อะไรคือบินเคียงคู่” ฮวาเยวี่ยถามด้วยความสงสัย
มู่ชิงเกอยิ้มอย่างชั่วร้าย โน้มตัวเข้าไปพูดเบาๆ ข้างหูนาง “ก็หมายความว่า คืนนี้พวกเจ้าทั้งสองจะไม่มีใคร ออกจากห้องนี้ อยู่ปรนนิบัติข้าทั้งสองคน เตียงกว้างเพียงนี้พอให้เราทั้งสามคนนอนอย่างสบายแน่นอน”
คำพูดนี้ทำให้ทั้งสองหน้าแดงกํ่าขึ้นมาในทันที แม้จะรู้ดีว่าเป็นเพียงแค่คำหยอกล้อ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นไหวและจินตนาการภาพตาม โดยเฉพาะการมองใบหน้าอันงดงามไร้ที่เปรียบของมู่ชิงเกอในระยะที่ใกลชิดเช่นนี้ สายตาของพวกนางต่างก็ฉายแววหลงใหล
ทันใดนั้น ศีรษะของทั้งสองสาวก็เอียงพับลง พลันหมดสติไปคาอกของมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว ในขณะที่เงยหน้าขึ้นก็พบว่าในห้องได้มีใครอีกคนเพิ่มเข้ามา
หลังจากพาทั้งสองนางไปนอนบนเตียงแล้ว มู่ชิงเกอก็จัดเสื้อผ้าที่มีรอยยับยู่ยี่ แล้วลุกขึ้นพูดกับใครอีกคนที่เพิ่มเข้ามาว่า “เจ้าก็ช่างชอบมาโดยไม่ได้รับเชิญเสียจริง”
ซือมั่วยิ้มจางๆ บนใบหน้าอันเย้ายวน ฉายแววน่าหลงใหลขึ้นมาในทันที
เขาไม่ได้ใส่ใจนํ้าเสียงที่แฝงการไม่ต้อนรับของมู่ชิงเกอ พลันก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ยกมือขวาของตนเองขึ้น คลายมือที่กำอยู่แบออก “ให้เจ้า”
“อะไร?” มู่ชิงเกอก้มหน้าลงมอง เห็นเพียงปิ่นหยกสีแดงเลือดวางนิ่งอยู่บนฝ่ามือของซือมั่ว บนตัวปิ่นมีการแกะสลักรูปดอกไม้ที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนช่อหนึ่ง ดอกไม้นั้นช่างสวยงามชวนหลงใหล รอยแกะสลักนั้นไม่ได้ดูประณีตอะไรนักแต่กลับดูเป็นธรรมชาติ เอกลักษณ์ของปิ่นนี้คล้ายคลึงกับนางเป็นอย่างมาก
“ชอบหรอไม่?” ซือมั่วถาม
มู่ชิงเกอหยิบปิ่นหยกแดงขึ้นมาจากฝ่ามือของเขา พินิจอย่างละเอียดรอบหนึ่ง บนปิ่นคล้ายกับมีโลหิตไหลเวียนอยู่ บางทีก็เหมือนกับลาวาหลอมเหลวอย่างนั้น
“ให้ข้าทำไม หากจะให้ของขวัญ ให้ทักษะการสงครามระดับสวรรค์ ผลไม้หรือดอกไม้วิญญาณกับข้าจะดีกว่า” มู่ชิงเกอวางปิ่นลงบนฝ่ามือของซือมั่ว
“ไม่ชอบหรือ” ซือมั่วขมวดคิ้ว นิ้วมือของเขาลูบปิ่นหยกอย่างทะนุถนอมพลางพูดต่อว่า “หากเจ้าไม่ชอบ วันหลังข้าจะทำอันใหม่มาให้ แต่วันนี้เจ้าต้องรับปิ่นอันนี้ไปก่อน”
“เจ้าแกะสลักมันด้วยตนเองอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงเกอมองเขาอย่างฉงนใจ ราวกับว่านางไม่เข้าใจ คนบางคนว่างเกินไปหรือไร จึงได้มีเวลาว่างไปทำปิ่น
แล้วเหตุใดนางถึงต้องรับเอาไว้ด้วย?
ซือมั่วไม่ได้ตอบคำถามของนาง แต่บอกกับนางว่า “หากเจ้ากลับไปเป็นผู้หญิง เมื่อสองปีที่แล้วมันควรจะเป็นพิธีปักปิ่นของเจ้าและสิ่งที่ควรประดับนั้นคือปิ่น ไม่ใช่ที่เกล้าผม”
มู่ชิงเกอลืมตาโตมองเขา นางลืมพิธีปักปิ่นไปเสียสนิท ถึงขั้นว่าคนในครอบครัว เองก็ไม่ได้เตรียมปิ่นเอาไว้ให้กับนาง ถึงแม้ว่านางจะไม่ใส่ใจ แต่หลังจากที่เห็นคุณตัวประหลาดทำเช่นนี้ ความซาบซึ้งใจที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะอะไรกัน
“คืนนี้ข้าจะปักปิ่นให้กับเจ้า” ในขณะที่พูด ซือมั่วก็ถอดที่เกล้าผมที่มู่ชิงเกอสวมอยู่ออก แล้วเสียบปิ่นหยกสีแดงลงกลางเส้นผมสีดำเงาสนิทของนาง
หลังจากนั้น เขาก็ถอยหลังสองก้าว ชื่นชมผลงานของตนเอง แล้วพยักหน้าอย่างปลื้มปีติ “ช่างงดงามเสียจริง” ที่เขาพูด ไม่รู้ว่าหมายถึงปิ่นหรือคนกันแน่
มู่ชิงเกอตื่นจากภวังค์ดวงตาสบกับตาที่ประดับด้วยรอยยิ้มนั้น
พอได้สติ นางก็ยกมือขึ้นมาและกำลังจะดึงปิ่นออก แต่กลับต้องหยุดการกระทำเพราะคำข่มขู่ของใครบางคน
“หากเจ้ายอมใช้มัน วันหลังข้าจะยกทักษะการสงครามระดับสวรรค์หลายเล่มให้กองทหารเขี้ยวมังกรของเจ้าได้ฝึก ผลไม้และดอกไม้วิญญาณนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง”
มู่ชิงเกอผุดรอยยิ้มตรงมุมปาก นางยอมแพ้แล้ว
เมื่อเห็นหญิงสาวเลิกต่อต้านซือมั่วก็เผยรอยยิ้มอันเบิกบานเป็นที่สุด จนดวงตาหยีลงคล้ายดั่งพระจันทร์เสี้ยว “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ช่างว่าง่ายจริงๆ!”
ผึง!
‘ว่าง่าย ว่าง่ายกับผีน่ะสิ!’ มู่ชิงเกอยังคงพยายามอดทน ที่จะไม่ดึงปิ่นออก พลางพูดกับบางคนด้วยนํ้าเสียงอันเย็นเยียบว่า “ให้ปิ่นแล้วเหตุใดจึงยังไม่ไปอีก”
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์อยากพักผ่อนแล้วรึ?” ในขณะที่ซือมั่วพูด ก็ค่อยๆ กวาดสายตามองสาวใช้ทั้งสองที่นอนอยู่บนเตียง
“ไร้สาระ วันนี้ทำพิธีมาทั้งวัน ข้าเหนื่อยแล้ว” มู่ชิงเกอไม่ไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย
ราวกับว่า การบุกรุกของซือมั่วในคํ่าคืนนี้ ได้กระตุ้นอาการต่อต้านของนาง จนไม่เหลือความ ‘อ่อนโยน’ ดั่งเช่นค่ำคืนที่อยู่ในเมืองอี้ อืม สำหรับซือมั่ว ปฏิกิริยาเช่นนี้จากมู่ชิงเกอก็ถือว่าอ่อนโยนมากพอแล้ว มู่ชิงเกอที่ร้ายกาจราวกับจะเป็นอะไรที่ซือมั่วคุ้นเคยมากกว่า
เขาพยักหน้าพลางพูดว่า “ได้ ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปก่อน ส่วนคนที่ไม่เกี่ยวข้อง ข้าก็จะช่วยพาตัวออกไปเลยดีกว่า” พูดจบ เขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
มู่ชิงเกอหันไปมองบนเตียง ซึ่งแน่นอนว่าไร้เงาของสาวใช้ทั้งสอง ถึงขั้นว่า แม้แต่ผ้าปูเตียงที่พวกนางเคยนอนก็ถูกดึงออกและกองอยู่บนพื้น
มู่ชิงเกอกระตุกยิ้ม พลางกัดฟันพูดว่า “เจ้าคนวิปริตน่าตาย! เจ้ารักความสะอาด แต่ข้าไม่ เหตุใดต้องดึงผ้าปูเตียงของข้าออกด้วย ฮึ!”
หนึ่งคืนผ่านไป มีข่าวคราวเกี่ยวกับการที่ป๋ายซีเยวี่ยใส่ความมู่ซงแพร่งพรายออกมาเล็กน้อย เพียงแต่ตอนที่มู่ชิงเกอตื่นมาและไปพบมู่ซงในห้องโถงกลาง มู่ซงก็บอกกับนางว่า วันนี้จะต้องไปร่วมงานเลี้ยงภายในพระราชวัง โดยมีจุดประสงคหลักคือเรื่องที่ราชทูตแคว้นถูอยากจะยืนยันเรื่องผู้เหมาะสมที่จะอภิเษกสมรส
ยืนยันผู้เหมาะสมที่จะอภิเษกสมรสอย่างนั้นหรือ? แคว้นฉินยังมีองค์หญิงพระองค์อื่นที่เหมาะสมกับการอภิเษกสมรสหรือ?
มู่ชิงเกอแอบหัวเราะอย่างเย็นเยียบ ไม่เข้าใจการเสแสร้งของราชวงศ์แคว้นฉินเลยจริงๆ
ฮ่องเตฉินชางมีพระราชธิดาเพียงสองพระองค์นอกจาก องค์หญิงฉางเล่อฉินอี้เหยาที่บรรลุนิติภาวะแล้ว องค์หญิงหย่งฮวนจะเข้าพิธีปักปิ่นในอีกครึ่งปีข้างหน้าและครั้งนี้แคว้นถูจะพาตัวองค์หญิงที่เข้าอภิเษกสมรสกลับไปด้วย
ถ้าเช่นนั้น คนที่สามารถอภิเษกสมรสได้นอกจากฉินอี้เหยาแล้วยังมีใครอีก?
อีกประการหนึ่ง ในขณะที่พูดคุยกับฉินจิ่นห้าว เขายังเปิดเผยว่า หวังให้น้องสาวของตนอภิเษกสมรสและยังถามความคิดเห็นของนาง
ความคิดเห็นอย่างนั้นหรือ? นางไม่ใช่เป็นผู้ชายจริงๆ เสียหน่อย ที่จะสามารถแต่งงานมีลูกได้ถ้าเช่นนั้น เหตุใดจึงต้องไปยุ่งเรื่องของฉินอี้เหยา บางทีรัชทายาท แคว้นถูผู้นั้นอาจจะเป็นคู่แท้ของนางก็เป็นได้ อีกอย่างหากฉินอี้เหยาไม่ยินยอม เรื่องการอภิเษกนี้ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ไม่ใช่หรือ
ในภาพความทรงจำของมู่ชิงเกอ ฉินอี้เหยาแม้จะไม่ใช่คนที่จะใช้วิธีบุ่มบ่ามต่อต้านทุกอย่างที่ทุกคนวางเอาไว้ แต่นางก็มีวิธีของตนเอง หากตัวนางไม่ยินยอม การอภิเษกสมรสในครั้งนี้ก็เป็นได้เพียงสัญญาการอภิเษกสมรสที่เลื่อนลอยก็เท่านั้น