บทที่ 1040 ที่แท้พวกเจ้าก็เตรียมการไว้ก่อนแล้ว
“ฝ่าบาท คนผู้นี้ที่มาไม่ชัดเจน เกรงว่าจะเป็นคนของลัทธิมาร จะต้องเอาตัวเขาไปไต่สวนอย่างเข้มงวดนะพ่ะย่ะค่ะ!”
เหล่าขุนนางเปี่ยมด้วยความแค้นเคืองพากันก่นด่าประณาม มีขุนนางฝ่ายบู๊เริ่มตั้งท่ารอแล้ว เตรียมจะจับกุมเขา แต่หรงเช่อกลับหลุบตาลงเล็กน้อย มาถึงขั้นนี้แล้ว ปฏิกิริยาของเขากลับสงบนิ่ง เขาไม่สนใจเสียงเอะอะของฝูงชน มองไปทางสี่ทูต ซํ้ายังยิ้มแวบหนึ่งด้วย “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยข้องเกี่ยวกับเรื่องการเมืองของอาณาจักรต่างๆ ที่แท้ก็เป็นเรื่องเท็จทั้งเพ!”
ทูตส่างซั่นกล่าวอย่างเฉยชาว่า “ท่านเทพศักด์สิทธิ์ไม่เคยข้องเกี่ยวกับเรื่องการเมืองของแต่ละอาณาจักรจริงๆ หากว่าเป็นเพียงสงครามแย่งบัลลังก์ชิงไหวชิงพริบกันระหว่างพวกเจ้าเหล่าองค์ชาย ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะไม่สอดมือเข้ายุ่งเลย แต่เจ้าไม่ใช่! เจ้าวางแผนปองร้ายจักรพรรดิซวน ให้เขาเสพพิษร้ายชนิดหนึ่งเข้าไป ทำให้นิสัยแปรปรวนทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรมก่อสงครามขึ้น แถมเจ้ายังมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนของลัทธิมารอาศัย เหตุสงครามส่งทหารผู้บริสุทธิ์มากมายไปให้ผู้นำลัทธิมารทำการทดลองให้เขาสร้างผีดิบออกมา ก่อภัยพิบัติครั้งใหญ่…เจ้าทำเช่นนี้มิใช่เพื่อชิงบัลลังก์อย่างเดียวเป็นแน่ ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ย่อมตรวจสอบจนถึงที่สุด!”
ฝูงชนคาดไม่ถึงว่าเบื้องหลังหรงเช่อจะก่อเรื่องราวมากมายถึงเพียงนี้ไว้ จึงตะลึงงันกันถ้วนหน้าไปชั่วขณะหนึ่ง!
แม่ทัพบางท่านได้เรียกรวมพลทหารองครักษ์ทั้งหมดที่อยู่ด้านนอกแล้ว เตรียมจับกุมคน
ทว่าหรงเช่อกลับไม่ตื่นตระหนกร้อนรนเลย เขาถอนหายใจลึกๆ “นึกไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะรู้มากถึงเพียงนี้แล้ว ช่างอยู่เหนือความคาดหมายของข้านัก”
ประโยคนี้ถือเป็นการยอมรับความผิดทั้งหมดกลายๆ
ทุกคนย่อมเดือดดาลยิ่งนัก จักรพรรดิซวนก็ออกคำสั่งให้จับกุมแล้ว
ทหารรักษาพระองค์กำลังจะรุดเข้าไป หรงเช่อยิ้มน้อยๆ “อาศัยพวกเจ้าคิดว่าจะจับข้าได้หรือ?”
ตัวคนประหนึ่งผีเสื้อ เหินทะยานขึ้นไป ซัดฝ่ามือทำลายหลังคาตำหนักหมายจะเหินออกไป แต่นึกไม่ถึงว่าร่างเขาเพิ่งเหินออกไปได้ครึ่งเดียว ก็ร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว ลำแสงสีฟ้ากระจ่างสายหนึ่งตามลงมาจากหลังคาตำหนักครอบคลุมร่างเขาไว้ทันที นั่นคือระฆังยักษ์ใบหนึ่ง ระฆังใบนั้นว่องไวปานสายฟ้าแลบ พริบตาเดียวก็ครอบร่างเขาไว้ด้านล่าง เขาม้วนกายทันที ตัวคนปลิวปานกระดาษ พุ่งไปทางหรงเจียหลัว!
การเคลื่อนไหวของเขาว่องไวเกินไป วรยุทธ์ที่ใช้เห็นได้ชัดว่ามิใช่อย่างที่เขาเคยสำแดงต่อหน้าผู้อื่นเป็นประจำ แปลกประหลาดยิ่ง ทำให้คนยากจะป้องกันได้ แต่นึกไม่ถึงว่าขณะที่กำลังจะคว้าตัวหรงเจียหลัวที่อยู่เบื้องหน้าได้ แสงสีเขียวสายหนึ่งก็วาบขึ้นมา เขาคว้าถูกแสงสีเขียว ถูกแสงสีเขียวนั้นดีดสะท้อนกลับไป เขาอาศัยแรงดีดสะท้อนนี้ทะยานไปทางฝูงชนอย่างรวดเร็ว คิดจะจับขุนนางสำคัญของราชสำนักสักคนมาเป็นตัวประกัน แต่ก็ชนเข้ากับแสงสีเขียวที่ปรากฏขึ้นมากะทันหันอีกครั้ง!
ถูกดีดสะท้อนกลับไปอีกครา
หรงเช่อหยัดกายยืน มองสี่ทูตที่แยกกันยืนอยู่สี่มุม หรี่ตาลงนิดๆ “ที่แท้พวกเจ้าก็เตรียมการไว้ก่อนแล้ว!”
แสงสีเขียวนั้นมิใช่สิ่งอื่นใด แต่เป็นเขตแดนที่สี่ทูตติดตั้งไว้ เห็นกันอยู่ชัดเจนว่าเมื่อครู่พวกเขาไม่ได้ย้ายที่ นึกไม่ถึงว่าจะติดตั้งสิ่งนี้ไว้ก่อนแล้ว ชัดเจนยิ่งนักว่าสิ่งนี้ถูกจัดเตรียมไว้ที่นี่นานแล้ว และมียามที่เพียงสี่ทูตเคลื่อนไหวเท่านั้นเขตแดนนี้ถึงจะปรากฏขึ้น…
เสียงทูตส่างซั่นเรียบเรื่อย “จะจับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ย่อมต้องปิดล้อมให้แน่นหนา”
หรงเช่อมองระฆังยักษ์สีฟ้าโปร่งใสใบนั้น เงยหน้ามองหลังคาตำหนัก “ด้านบนคือเชียนเยวี่ยหร่านกระมัง?”
ระฆังฟ้าดินใบนี้เป็นสมบัติประจำกายของเจ้าสำนักเชียนเยวี่ยหร่าน
มีคนหัวเราะฮ่าๆ อยู่บนหลังคาตำหนัก “องค์ชายหรงเช่อช่างจดจำผู้อื่นได้ดียิ่ง เป็นเจ้าสำนักอย่างข้าเอง! เสี่ยวหรงเช่อ วันนี้เจ้าหนีไม่รอดแล้ว! มิใช่เพียงข้าเท่านั้นที่มา เจ้าสำนักฮวาก็อยู่เช่นกัน เจ้าคนเดียวเดือดร้อนผู้อาวุโสอย่างพวกเราต้องลงมือพร้อมกัน มีฝีมือไม่เบานี่ เจ้าสำนักอย่างข้า ขอแนะนำให้เจ้ายอมแพ้แต่โดยดี บางทีอาจจะรักษาชีวิตน้อยๆ ของเจ้าไว้ได้!”
แววตาหรงเช่อไหววูบ จู่ๆ เขาก็เชิดหน้ายิ้มออกมาแวบหนึ่ง “ไม่น่าเชื่อว่าเพื่อจับกุมข้าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะส่งคนมามากมายถึงเพียงนี้ ช่างเป็นเกียรติจริงๆ เพียงแต่พวกเจ้าหมายจะจับกุมข้าก็ยังคงคว้านํ้าเหลวอยู่ดี!”