Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 1252

บทที่ 1252 ราตรีสวยสด ผู้คนงดงาม

เธอฮัมเพลงออกมาอย่างอดใจไว้ไม่อยู่ เธอร้องเป็นภาษากวางตุ้ง

ตี้ฝูอีฟังอยู่ครู่หนึ่ง ฟังไม่ออกว่าเนื้อเพลงคืออะไร รู้สึกเพียงว่าทำนองไม่เลวเลย เพียงแต่ค่อนข้างเศร้าสร้อย

นางมักจะฮัมเพลงที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนอยู่บ่อยครั้ง ยามนี้จึงไม่ได้ใส่ใจอะไร ถามเพียงประโยคเดียว “ร้องอะไรน่ะ? ฟังไม่เป็นคำเลย”

กู้ซีจิ่วหัวเราะฮ่าๆ “เป็นเพลงเก่าๆ เพลงหนึ่งของพวกเราในโลกนั้น จำทำนองไม่ได้แล้ว จำได้แค่เนื้อไม่กี่ประโยค ค่ำคืนสวยสด ผู้คนงดงาม เรื่องราวที่สวยงามทำให้ข้าอยากร้องเพลง…”

เธอชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “ข้าปรารถนาให้เป็นเช่นนี้ไปชั่วฟ้าสิ้นดินสลายจริงๆ พวกเราอยู่ด้วยกันตลอดไป”

มือของตี้ฝูอีนิ่งไปแวบหนึ่ง สักพักก็หัวเราะเบาๆ “เจ้าไม่ใช่คนสบายๆ หรอกหรือ? พูดไว้มิใช่หรือว่าสนใจเพียงเคยได้มี ไม่สนใจชั่วนิรันดร์…”

กู้ซีจิ่วเขยิบเข้าใกล้เขา ท่ามกลางรัตติกาลดวงตาของเธอเสมือนทะเลสาบที่กระเพื่อมไหว “ข้าใส่ใจนะ ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ข้าอยากอยู่กับท่านไปตราบนานแสนนาน แค่พวกเราสองคนอยู่เคียงข้างกัน…”

เธอยกสองแขนโอบคอเขาไว้ เสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย “คนอย่างข้าค่อนข้างละโมบ เมื่อรักคนผู้หนึ่งก็อยากอยู่ด้วยกันตลอดไป…”

เธอสัมผัสได้ชัดเจนว่าร่างกายเขาแข็งทื่อไปแวบหนึ่ง แต่เขาก็ตบหลังเธอเบาๆ “พูดจาเป็นเด็กไปได้ เอาล่ะ เท้าของเจ้ายังเป็นเหน็บอยู่ไหม? ดีขึ้นบ้างหรือยัง?”

กู้ซีจิ่วหลับตาลงเล็กน้อย

ใช่แล้ว เขาไม่ยินดีจะอยู่กับเธอไปชั่วชีวิต เมื่ออดีตประมุขเผ่าเงือกผู้นั้นฟื้นขึ้นมา เขาก็จะกลับไปอยู่ข้างกายคนผู้นั้น…

สุดท้ายก็เป็นเธอที่ละโมบไปหน่อย

ความขมปร่าผุดขึ้นมาในใจเธอ จู่โจมให้กระบอกตาของเธอค่อนข้างร้อนผ่าว

ตี้ฝูอีดึงนางลุกขึ้น มองเห็นดวงตาของนางแดงเรื่ออยู่บ้าง “เหตุใดจึงดูเหมือนจะร้องไห้เล่า?”

ความขมปร่าในใจกู้ซีจิ่วหนักขึ้นยิ่งกว่าเดิม ทว่าร้องเฮอะคราหนึ่ง เสมือนสาวน้อยที่แง่งอน “ใครใช้ให้ท่านไม่แม้แต่จะโอ๋ข้าให้ดีใจสักคำเล่า! แม้จะเป็นการหลอกข้าก็ยังดี”

ตี้ฝูอีคล้ายจะนึกไม่ถึงว่าเธอก็มีอารมณ์เด็กๆ แบบนี้ด้วย ถึงแม้จะเอาแต่ไร้เหตุผลไปบ้าง แต่ยังคงทำให้ในใจของเขาอบอุ่นอยู่ดี

สาวน้อย ต่อให้นางจะแข็งแกร่งสักเพียงใดก็ยังเป็นเด็กสาวอยู่ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนรัก ก็อยากอ่อนแอบ้าง อยากให้คนโอ๋

เขาดึงมือเธอให้ยืนขึ้นมาแล้วโอ๋เธอ “ดูเหมือนเท้าของเจ้ายังเป็นเหน็บอยู่นะ ให้ข้าแบกเจ้าไหม?”

“เอา!” กู้ซีจิ่วตอบรับอย่างเบิกบานยิ่ง โผขึ้นหลังของเขาจริงๆ

น่าจะเป็นครั้งแรกที่ตี้ฝูอีแบกเด็กสาวขึ้นหลัง เขาเหยียดเอวตรงแล้วสาวเท้าก้าวลงไปประหนึ่งดาวตก กู้ซีจิ่วที่อยู่บนหลังเขาเกือบจะหล่นลงไปแล้ว รีบใช้สองแขนโอบคอเขาไว้ทันที ลมหายใจสดชื่นปานดอกกล้วยไม้เป่ารดริมหูเขา “นี่ เมื่อผู้อื่นแบกคนไว้บนหลัง ล้วนต้องค้อมเอวเล็กน้อย เดินช้าลงหน่อย”

สาวน้อยช่างเรื่องมากเสียจริง

ตี้ฝูอีจนปัญญา ทว่ายังคงขบขัน

หากปล่อยให้ผู้อื่นมาเห็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้สูงส่งอย่างเขาแบกเด็กสาวคนหนึ่งไต่ไปตามเส้นทางภูเขา คาดว่าคงตกใจจนอ้าปากค้าง

เพียงแต่เขายินดีทำเพื่อนาง ด้วยเหตุนี้ตี้ฝูอีจึงค้อมเอว เริ่มก้าวลงไปช้าๆ ทีละก้าวๆ

ตลอดทางกู้ซีจิ่วไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงซบใบหน้าน้อยๆ ไว้บนหลังเขา ราวกับกำลังซึมซับกลิ่นอายบนร่างเขา

เขารู้ว่านางโหยหากลิ่นอายบนร่างตน ยามที่โผใส่อ้อมอกเขาก็มักจะดมฟุดฟิดเหมือนสุนัขน้อยอยู่เสมอ นี่เป็นความน่ารักอย่างหนึ่งของนาง เขาไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ปล่อยให้นางดมตามสบาย

นางเริ่มร้องเพลงที่เขาฟังเนื้อไม่ออกอีกครั้ง

ความฝันเก่ายากจะเล่าให้กระจ่าง

ใครเล่ายินดีจะทำลายความผูกพันเก่าก่อน

จุมพิตอำลาเรื่องราวแต่หนหลัง

บอกลามรสุมความรักใคร่ชิงชังครั้งวันวาน

ภายใต้แสงดาว ท่ามกลางแสงจันทร์

ความรักล้ำลึกในตอนนี้สิถึงจะเป็นฉันจริงๆ

ราตรีสวยสด ผู้คนงดงาม

เรื่องราวที่สวยงามทำให้ฉันอยากร้องเพลง…

….

กู้ซีจิ่วจากไปแล้ว ยามที่จากไปได้พาสัตว์เลี้ยงทั้งสามตัวไปด้วย

———————————————————————

[1] จารึกนามบนป้ายทอง การสอบคัดเลือกขุนนางในสมัยโบราณ ผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งจะได้จารึกนามลงบนป้ายทอง ถือว่ามีเกียรติยิ่งนัก ทำให้ญาติพี่น้องและวงศ์ตระกูลได้มีหน้ามีตาไปด้วย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version