Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 127

บทที่ 127

เช่นนั้นก็ทำให้มันสูงสุดๆ ไปเลยแล้วกัน

“แม่นางคนนี้คือคุณหนูกู้หกใช่หรือไม่?”

“ไอ๊หยา ฟ้ามืดเกินไป เห็นหน้าไม่ชัดเลย แต่ดูเหมือนจะใช่ ด้านบนนอกจากนางแล้วไม่น่าจะมีเด็กอื่นกระมัง?”

“เช่นนั้นก็คงเป็นนาง”

“คุณหนูกู้หกสู้ๆ! พวกเราคาดหวังในตัวเจ้านะ!”

“เหล่าหงเจ้าอย่าล้อเล่นน่า ถ้าเจ้าคาดหวังในตัวนาง ทำไมถึงลงเดิมพันข้างสตรีศักดิ์สิทธิ์กู่เล่า? คาดหวังในตัวนางเจ้าเปลี่ยนข้างเดิมพันซะสิ!”

“พนันโดยไม่สำนึกเสียใจไง พี่ชายถึงแม้ข้าจะลงเดิมพันข้างสตรีศักดิ์สิทธิ์กู่ไปแล้ว แต่หัวใจนั้นเอนเอียงไปหาคุณหนูกู้หก…”

“…พวกเจ้าไม่จริงใจเลย ข้าลงเดิมพันข้างคุณหนูกู้หก นี่ถึงจะเป็นการสนับสนุนอย่างแท้จริง! คุณหนูกู้หกเจ้าต้องชนะให้ได้นะ! ข้าลงเดิมพันไปสิบตำลึงแล้ว เป็นรายได้หนึ่งปีของครอบครัวเชียวนะ!”

ผู้คนด้านล่างเสียงดังโหวกเหวกคึกคักอย่างยิ่ง พวกเขาชอบชมการแสดงปลาเค็มพลิกตัว[1]เป็นที่สุด!

ยิ่งไปกว่านั้นคือคุณหนูกู้หกคนนี้ยังมิใช่ปลาเค็มธรรมดาๆ เสียด้วย…

เสียงโหวกเหวกข้างล่างย่อมดังขึ้นไปถึงด้านบนอาคาร ริมฝีปากของกู้ซีจิ่วโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ เธอไม่ได้พูดอะไร เพียงยื่นมือข้างหนึ่งออกมาโบกเป็นท่าทางว่าวางใจเถอะ ทำให้ด้านล่างเกิดเสียงโห่ร้องขึ้นมาอย่างฉับพลัน!

แรกเริ่มนั้นกู้ซีจิ่ววางเป้าหมายไว้ในระดับตํ่า แต่ตอนนี้ในเมื่อมันสูงเสียแล้ว เช่นนั้นก็ทำให้มันสูงสุดๆ ไปเลยแล้วกัน!

กู่ซีซีเดือดดาลจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน หัวเราะเสียงเย็น “เด็กเล็กๆ ก็ชอบจองหองเช่นนี้ รอให้เจ้าพ่ายแพ้แล้วค่อยตัดลิ้นเจ้าเสีย!”

กู้ซีจิ่วหันกลับมามอง ตอบกลับนางเพียงสามคำ “โอ้ ใช่หรือ?”

นํ้าเสียงไม่อินังขังขอบ เฉยเมยยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าเป็นการเย้ยหยัน

กู่ชีซีนิ่งงัน นางมีความรู้สึกเหมือนต่อยตีลงบนปุยฝ้าย[2]

นางจะแพ้ไม่ได้! นางคือสตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้สง่างามไม่อาจพ่ายแพ้ให้แก่นังเด็กอัปลักษณ์ที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นนํ้านมได้!

ฝาแฝดชายทั้งคู่ อายุสิบสี่สิบห้าปีแล้ว เกิดมารูปงาม ปากแดงฟันขาว งดงามอย่างยิ่ง

แม้บัดนี้สีหน้าของทั้งสองคนจะซีดขาวอย่างไม่เข้าท่า เดินได้ไม่กี่ก้าวก็หอบหายใจหลายครั้ง ทั้งคู่อ่อนแรงเสียจนแทบจะล้มลงไปได้ทุกเมื่อ ที่เดินทางมาด้วยคือบิดาของพวกเขา เป็นขุนนางขั้นสามท่านหนึ่ง

ขุนนางท่านนี้สีหน้าเต็มไปด้วยหม่นหมอง นำบุตรทั้งสองมาคิดจะคุกเข่าหมอบกราบทำความเคารพ แต่เด็กทั้งสองนั้นพอออกห่างจากข้ารับใช้ที่คอยประคองก็ซวนเซไปมา คุกเข่าลงได้ แต่กลับยืนขึ้นอีกไม่ได้ไม่มีทางกราบสามคำนับเก้าได้อย่างแน่นอน

จักรพรรดิซวนโบกมือ “อำมาตย์ยวี๋ บุตรชายเจ้าป่วยหนัก ไม่จำเป็นต้องคารวะเต็มขั้นก็ได้ ลุกขึ้นเถอะ”

เหล่าข้ารับใช้จึงก้าวขึ้นมาด้านหน้าแล้วประคองคุณชายทั้งสองไปนั่งบนเก้าอี้ “อำมาตย์ยวี๋ เราจำได้ว่าบุตรชายทั้งสองของบ้านเจ้านี้ ปกติแล้วล้วนร่าเริงมีชีวิตชีวา วรยุทธ์ก็ไม่เลว หนึ่งเดือนก่อนเพิ่งถูกคัดเลือกเข้าเป็นศิษย์ฝ่ายในของสำนักเก้าดารา จู่ๆ ทำไมถึงกลายเป็นเช่นนี้?”

“ฝ่าบาท เรื่องนี้ยากจะเอ่ยพะย่ะค่ะ…” อำมาตย์ดูเหมือนจะห่วงใยบุตรทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง นํ้าเสียงจึงสั่นเครือ บอกเล่าอาการป่วยที่ผ่านมาของเด็กทั้งสองอย่างคร่าวๆ

เดิมทีหลังจากเด็กทั้งสองถูกสำนักเก้าดาราคัดเลือก ในใจก็ปีติยินดีนัก สองพี่น้องแอบคนที่บ้านเข้าไปผจญภัยในป่าทมิฬด้วยกัน หายตัวไปสามวันสามคืนถึงจะ โผล่ออกมาได้ แต่หลังจากออกมาแล้วก็กลายเป็นคนใบ้ หลังจากกลับมาอยู่ในจวนแล้วนับวันก็ยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ เชื้อเชิญหมอมาแล้วมากมายหลายท่าน แต่หมอคนไหนก็ไม่สามารถตรวจหาสาเหตุของโรคได้

จักรพรรดิมองหมอหลวงโจวที่อยู่ด้านข้าง “เจ้าก็ตรวจดูแล้ว เจ้าว่าเป็นอย่างไร?”

หมอหลวงโจวด้อมกายตอบ “ฝ่าบาท หลายวันมานี้กระหม่อมได้ตรวจดูอาการของคุณชายทั้งสองแล้ว กระหม่อมนั้นไร้ความสามารถ มิอาจตรวจหาสาเหตุของ โรคได้จริงๆ คุณชายทั้งสองนอกจากอาการชีพจรอ่อนแรงแล้ว ก็ตรวจไม่พบความผิดปกติใดๆ นับวันยิ่งอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ กินยาบำรุงขนานใดก็ไร้ผล”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version