Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 222

บทที่ 222

ไม่นึกว่าเป็นเขาที่ตามมา!

เธอส่องกระจกดูอีกครั้ง หลังจากปานแดงจางลง เด็กสาวในกระจกก็งดงามขึ้นมาก

ยามนี้เธอย่อมไม่มีเวลามาศึกษาหาสาเหตุการจางลงของปานแดง เมื่อปานแดงจางลงเธอก็แปลงโฉมได้ง่ายมากขึ้น อย่างน้อยสุดก็ไม่ต้องแต่งใบหน้าให้เป็นสีคลํ้าอีกต่อไป

ครั้งนี้เธอแต่งเป็นเด็กหนุ่มอมโรคหน้าซีดเหลือง จากนั้นใช้วิชาเคลื่อนย้ายต่อเนื่องกันหลายครั้งเพื่อออกจากเมือง แล้วมาหยุดพักบนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ขณะที่เตรียมจะเคลื่อนย้ายไปยังเมืองที่อยู่ข้างหน้าต่อ จู่ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งวางลงบนไหล่ กดร่างของเธอที่กำลังจะเคลื่อนย้ายในพริบตาเอาไว้!

เธอตกตะลึงยิ่งนัก! ปฏิกิริยาตอบสนองแรกก็คือทูตสวรรค์ซ้ายโรคจิตผู้นั้นตามมาอีกแล้ว!

“ตี้ฝูอี เจ้าเป็นผีในดิน[1]…” เธอหันกลับไปทันที กล่าวได้ครึ่งเดียว ก็พลันอํ้าอึ้ง!

คนผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านหลังเธอ ท่วงท่าสง่างามดุจลำไผ่เขียวขจี รูปโฉมบริสุทธิ์งดงาม กลิ่นอายราวกับหลุดพ้นจากเรื่องทางโลกแล้ว

…หลงซือเย่

ไม่นึกว่าเป็นเขาที่ตามมา!

เขาจับแขนเธอแน่น สีหน้าไม่ค่อยดี กำลังสบสายตาเธอ “ซีจิ่ว ข้าเอง!”

ในดวงตาเขาดุจมีคลื่นใต้นํ้าซัดสาดอยู่ สายตาที่มองราวกับอยากจะกลืนเธอลงไป

กู้ซีจิ่วก็จ้องมองเขา ผ่านไปครู่หนึ่งถึงคลี่ยิ้ม “เจ้าสำนักหลง ท่านบีบจนข้าเจ็บแล้ว ปล่อยมือ!”

เธอดิ้นรนให้หลุด นัยน์ตาหลงซือเย่ฉายแววลํ้าลึก ไม่เพียงไม่ปล่อยมือเท่านั้น กลับดึงเธอเข้าไปในอ้อมกอดด้วย “ไม่ปล่อย! ซีจิ่ว ครั้งนี้ข้าจะไม่ยอมปล่อยมือไปอีก!”

วรยุทธ์พื้นฐานในชาติก่อนของกู้ซีจิ่วล้วนเป็นเขาที่สอนให้ นิสัยของเธอ ความเคยชินของเธอ แม้กระทั่งวิธีจัดการเรื่องราวของนาง เขาเข้าใจแจ่มแจ้งทั้งสิ้น ผนวกกับเขาได้ความช่วยเหลือของนก สืบรอย ดังนั้นจึงหานางเจออย่างรวดเร็วเช่นนี้

ตอนนี้วรยุทธ์นางอ่อนด้อยเกินไป ยังเทียบชาติก่อนไม่ได้ แต่เขาฝึกฝนอยู่ที่โลกนี้มาร้อยปีแล้ว วรยุทธ์ลึกลํ้ากว่าชาติก่อนไม่รู้กี่เท่า และร้ายกาจไม่น้อยเช่นกัน ดังนั้นนางถูกเขาจับไว้แบบนี้ ก็อย่าดัน ทุรังหนีซะให้ยาก

กู้ซีจิ่วเองก็ไม่ดึงดันดิ้นรน แนบชิดอยู่ในอ้อมอกของเขาเช่นนี้ กลิ่นอายแสนคุ้นเคยอบอวลอยู่ที่ปลายจมูกเธอ กู้ซีจิ่วยิ้มหยัน พลางเอ่ย “เจ้าสำนักหลง ท่านคิดจะทำอะไร?”

รอยยิ้มของ เธอแฝงการเยาะหยันไว้ หัวใจของหลงซือเย่เจ็บแปลบ ราวกับถูกเข็มแหลมทิ่มแทง แต่ยังกอดเธอไว้แน่นไม่ยอมปล่อยเหมือนเดิม “ตามข้ากลับไปเถอะ! เชื่อข้า ข้าจะมอบชีวิตที่ดีที่สุดให้เจ้า”

เขาโบกมือเรียกนกกระเรียนมงกุฎแดงสัตว์พาหนะของตนมา แล้วพากู้ซีจิ่วกระโดดขึ้นไป

มวลเมฆเฉียดผ่านด้านข้าง กระเรียนมงกุฎแดงของเขาตัวนี้ แตกต่างกับชนิดที่พบเห็นได้ทั่วไป หงอนเป็นสีทอง คอยาวขาวดุจหิมะ รูปร่างเพรียวลม หางทรงพัดสีเขียวเข้ม ตัวใหญ่กว่านกกระเรียนมงกุฎแดงทั่วไปถึงสี่ห้าเท่า ยามที่กางปีกทั้งสองออกดูคล้ายเครื่องร่อนขนาดเล็ก ความเร็วเทียบเท่าเครื่องบินขับไล่ บินเฉียดผ่านกลางชั้นเมฆไป

กู้ซีจิ่วนั่งบนหลังกระเรียนมงกุฎแดง หลงซือเย่นั่งชิดติดหลังเธอ แขนข้างหนึ่งโอบเอวไว้คล้ายเกรงว่าเธอจะหนี รัดร่างเล็กๆ ของเธอไว้ในอ้อมกอด

จันทร์กระจ่างกลางฟ้า ดวงดารามืดสลัว เมฆาขาวกระจายตัว

เหตุการณ์เช่นนี้คุ้นเคยอยู่เล็กน้อย

“ซีจิ่ว มาเถอะ แตะเมฆพวกนี้ดู” หลงซือเย่สั่งให้กระเรียนมงกุฎแดง บินผ่านชั้นเมฆ แล้วสะบัดแขนเสื้อ หอบม้วนเมฆก้อนหนึ่งมา รวมตัวอยู่เบื้องหน้ากู้ซีจิ่ว

เมฆขาวราวกับมีชีวิต โลดเต้นอยู่บนแขนเสื้อเขาทว่าไม่กระจัดกระจาย

กู้ซีจิ่วไม่ได้ยื่นมือออกไป หลงซือเย่นำเมฆมาไว้ใกล้ๆ มือ เธอก็ไม่ขยับเขยื้อน

ความเศร้าสลดพาดผ่านดวงตาของหลงซือเย่แวบหนึ่ง แต่กลับยิ้มน้อยๆ พลางกล่าว “ซีจิ่ว เจ้ายังจำได้ไหม? ปีนั้นตอนเจ้าอายุ 17 ข้าสอนเจ้าขับเครื่องบิน เครื่องบินที่ขับเป็นขนาดเล็กที่สุด พวกเราก็บินอยู่กลางอากาศแบบนี้ เจ้าเคยบอกไว้ว่าถ้ามันเป็นนก ก็คงดี ขี่นกคงสามารถสัมผัสอุณหภูมิของก้อนเมฆพวกนี้ได้…”

กู้ซีจิ่วนิ่งเงียบ

ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ?

…………………………

[1] ผีในดิน สื่อถึงผู้ที่ชำนาญทางหรือคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมดีมาก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version