Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 302

บทที่ 302

ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

“ไม่สำเร็จ?” กู้ซีจิ่วเอ่ยทวนพลางยิ้มหยัน

“แม่ทัพกู้ ท่านรู้สึกว่าบุตรสาวคนนี้ควรถูกย่ำยีจนตายใช่หรือไม่? สมควรถูกบุตรสาวคนอื่นๆ ของท่านปองร้ายจนตายใช่หรือเปล่า?! กู้เทียนนั่วถูกปองร้ายจนตายไปแล้ว กู้ซีจิ่วบุตรสาวคนนี้ของท่านก็ถูกผู้อื่นปองร้ายจนตายไปแล้วจริงๆ! ท่านไม่ละอายใจต่อหลัวซิงหลานหรือ? นี่คือความเสียใจที่ท่านมีต่อหลัวซิงหลานหรือ?!”

กู้เซี่ยเทียนตะลึงงัน

“บางเรื่องมิใช่แค่กล่าวขอโทษประโยคเดียวก็สลายบุญคุณความแค้นทั้งปวงได้ บางคนก็มิใช่แค่กล่าวขอโทษเลื่อนลอยประโยคเดียวก็สามารถเอาทุกอย่างกลับคืนมา ข้าไม่ซ้ำเติมเรื่องของกู้เทียนฉิงก็นับว่าเห็นแก่ท่านแม่ทัพกู้มากแล้ว! เชิญแม่ทัพกู้กลับไปเถิด เรื่องนี้อย่าเอ่ยถึงอีก!”

กู้เซี่ยเทียนรู้สึกละอาย ทำได้เพียงจากไปอย่างรวดเร็ว

กู้ซีจิ่วกลับขึ้นเตียงอีกครั้ง เอนกายพลางหาวติดๆ กันสองครั้ง ใช้ปลายนิ้วเคาะกำไลอยู่กลางข้อมือเบาๆ “เสี่ยวชาง การฟื้นตัวของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

หยกนภาไม่ได้ส่งเสียงตอบเธอ เพียงเปล่งแสงแวบหนึ่งแสดงให้เห็นว่ามันยังมีชีวิตอยู่

บนแท่นเบิกสวรรค์วันนั้น ผู้ที่ดูดซับอสรพิษสายฟ้าห้าสีทั้งหมดคือมัน ผู้ที่เปล่งแสงสีรุ้งรอบกายกู้ซีจิ่ว ทำให้เธอดูราวกับเปล่งแสงแห่งพระพุทธก็คือมัน…

หลังการทดสอบที่ทำให้อัตลักษณ์กู้ซีจิ่วเฉิดฉายโดดเด่น หยกนภาทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งไว้ให้กู้ซีจิ่วแล้วก็เข้าสู่สภาวะหลับลึก “เจ้านาย ข้าจะท้องแตกตายแล้ว ข้าต้องค่อยๆ ดูดซับ…”

ด้วยเหตุนี้มันจึงพักฟื้นมาตลอดจนถึงตอนนี้ ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมาเลย

การทดสอบบนแท่นเบิกสวรรค์วันนั้น ตอนที่อัตลักษณ์ของกู้ซีจิ่วปรากฎขึ้น เธอยังนึกว่าตี้ฝูอีแอบวางแผนช่วยเหลือ พอได้ยินหยกนภากล่าวเช่นนั้นเธอถึงรู้ว่าเป็นผลงานของมัน

เพียงแต่เธอรู้สึกอยู่เสมอว่าหยกนภากับตี้ฝูอีทำข้อตกลงอะไรกันมาก่อน ไม่เช่นนั้นตี้ฝูอีคงไม่กล่าวว่าเธอเป็นลูกศิษย์เทพศักดิ์สิทธิ์ อะไรนั่นได้แนบเนียนปานนั้นหรอก ทำเอาคนจับผิดไม่ได้เลยสักนิด

ลูกศิษย์เทพศักดิ์สิทธิ์…

จะว่าไป ตี้ฝูอีโป้ปดมหันต์ถึงเพียงนี้ ไม่เกรงว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นจะรู้เข้าแล้วลงโทษเขาหรือ?

แถมยังพูดว่าวรยุทธ์แสงสีรุ้งนี้เป็นวรยุทธ์ของเทพศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ด้วย แม้แต่ตี้ฝูอีก็เข้าใจผิดหรือ?

กู้ซีจิ่วมองกำไลกลางข้อมือ นึกถึงตอนที่มันถูกนำขึ้นเวทีประมูลอย่างโดดเด่น ในใจเริ่มครุ่นคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่แต่เดิมมันจะเป็นของวิเศษของเทพศักดิ์สิทธิ์มาก่อน

หยกนภาซื่อสัตย์ต่อเธอจริง แต่มันก็ปิดบังบางอย่างจากเธออยู่จริงเช่นกัน

เมื่อก่อนกู้ซีจิ่วเคยซักถามมันอยู่หลายหน ล้วนไม่เคยถามได้ความเลย

ถึงเจ้าสิ่งนี้จะดูเหมือนพูดมาก แต่ความจริงแล้วเก็บความลับได้ดียิ่ง ตอนที่มันไม่อยากพูดปากจะปิดสนิทยิ่งกว่าฝาหอยเสียอีก ง้างเท่าไหร่ก็ไม่เปิด

เธอหลับตาสงบจิตครู่หนึ่ง แล้วผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

แสงเทียนนอกม่านส่องสลัว ในห้องมีชายหนุ่มผู้หนึ่งเพิ่มขึ้นมา

ผมดำอาภรณ์ม่วง นัยน์ตาจิ้งจอกบนแถบแพรคาดหน้าผากส่องประกายแวววาว เขาย่อมเป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอี

กู้ซีจิ่วที่อยู่บนเตียงคล้ายจะรู้สึกตัว เปลือกตาสั่นไหวหลายครา คล้ายต้องการจะลืมตาขึ้น ตี้ฝูอีขยับแขนเสื้อ มีกลิ่นหอมจางๆ โชยเข้าไปในจมูกเธออย่างอ่อนโยน กู้ซีจิ่วตกสู่ห้วงฝันอันลึกลํ้าอีกครั้ง เขายืนอยู่หน้าเตียง ดวงตาฉายแววซับซ้อนรางๆ มองใบหน้ายามหลับใหลของเธอ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

ต่อให้หลับอยู่กู้ซีจิ่วก็ไม่อยู่นิ่ง ร่างกายขยับเขยื้อน ผ้าห่มถูกเธอเตะจนเปิดออกครึ่งหนึ่ง

คืนนี้เธอสวมชุดนอนที่ทำเอง ค่อนข้างโปร่งโล่ง

ชุดนอนยุ่งเหยิง เผยให้เห็นเรียวขาขาวสล้างทั้งสองข้าง

ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะมีปานบนหน้า ทว่าผิวกายกลับขาวกระจ่างยิ่ง ขาทั้งสองข้างที่โผล่ออกมางดงามได้รูปนัก

หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย เมื่อเธอเติบโตขึ้นจะกลายเป็นผู้ที่มีขาเรียวยาวงดงามสมบูณ์แบบ

สองเท้าก็ยอดเยี่ยม ไม่เล็กไม่ใหญ่ เล็บเท้าทั้งห้ากลมมนเป็นสีชมพูระเรือ ดูเหมือนกำจนรอบก็ยังเหลือที่ด้วยซ้ำ ชวนให้คนอยากกุมไว้ในมือยิ่งนัก…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version