บทที่ 354
จุดเริ่มต้นตํ่าไม่สำคัญ สำคัญที่ความคืบหน้า
จักรพรรดิซวนรอเขาขอบคุณเสร็จ ถึงได้กล่าว “ขุนนางหลาน บุตรสาวเจ้าเยาว์วัยไร้เดียงสา นิสัยตรงไปตรงมา แต่ต้นไม้ที่ตั้งตรงไม่ลดเลี้ยว เกรงว่ายากจะเติบใหญ่เป็นผู้มีความสามารถ”
ความหมายที่แท้จริงของประโยคนี้เป็นการบ่งชี้กลายๆ ว่าเด็กสาวผู้นี้ขาดการอบรม อัครมหาเสนาบดีหลานย่อมเข้าใจ หัวใจพลันจมดิ่งเล็กน้อย รีบลากบุตรสาวมาคุกเข่าขอบพระทัยอีกครั้ง “กระหม่อมขอขอบพระทัยสำหรับคำสั่งสอนของฝ่าบาท กระหม่อมจะอบรมนางอย่างเด็ดขาด ให้นางทราบมารยาทพะย่ะค่ะ…”
มรสุมเล็กๆ ลูกนี้จึงผ่านพ้นไปเช่นนี้เอง
หลานเจาเอ๋อร์ไม่กล้าก่อเรื่องอีก ยามนี้หญิงสาวที่เหลือก็มองออกแล้วว่าองค์จักรพรรดิหนุนหลังกู้ซีจิ่ว ถึงแม้ในใจจะไม่ยินยอม แต่ก็ไม่กล้าพูดเป็นอื่นแล้ว
จักรพรรดิซวนมองไปที่กู้ซีจิ่ว “จิ่วเอ๋อร์ พรุ่งนี้เจ้าต้องเข้าสู่ป่าทมิฬแล้ว เตรียมตัวพร้อมหรือยัง?”
“ขอบพระทัยในความห่วงใยของฝ่าบาท ซีจิ่วเตรียมสิ่งที่ควรจะเตรียมไว้หมดแล้วเพคะ”
“อืม เช่นนี้ก็ดี ตอนนี้พลังวิญญาณของเจ้าถึงขั้นใดแล้ว?”
“ทูลฝ่าบาท ขั้นสี่เพคะ”
ฝูงชนล้วนตกตะลึง
ทะลวงสองขั้นภายในครึ่งปีรึ? ล้อกันเล่นแล้ว!
ในทวีปแห่งนี้ มีเพียงผู้ที่มีพลังวิญญาณขั้นห้าขึ้นไปถึงจะสามารถวิเคราะห์ขั้นพลังวิญญาณของอีกฝ่ายจากการลงมือได้ ไม่เหมือนยอดฝีมือที่ลํ้าเลิศแบบพวกตี้ฝูอี ซึ่งไม่อาจมองขั้นพลังวิญญาณออกภายในแวบเดียวได้
คนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ย่อมมองไม่ออกเช่นกัน โชคดีที่ในวังมีหยกแก้วผลึกสำหรับทดสอบพลังวิญญาณโดยเฉพาะ จักรพรรดิซวนจึงสั่งให้คนไปนำมาให้กู้ซีจิ่วทดสอบต่อหน้าธารกำนัล
ภายใต้การจับจ้องของสายตานับไม่ถ้วน มือน้อยๆ ขาวกระจ่างของกู้ซีจิ่วกดลงบนหยกแก้วผลึก หยกแก้วผลึกแสดงให้เห็นแถบรากฐานพลังวิญญาณธาตุลมที่พุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เมื่อพุ่งถึงตำแหน่งขั้นสี่ก็นิ่งไป แล้วแสดงให้เห็นพลังวิญญาณธาตุไฟที่พุ่งไปถึงขั้นหนึ่งตอนกลาง
ที่นางพูดเป็นความจริง นางมีพลังวิญญาณขั้นสี่จริงๆ ซ้ำยังเป็นพลังวิญญาณธาตุลมด้วย!
สายตาที่ฝูงชนมองนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจและเหลือเชื่อ
แน่นอนว่าขุนนางส่วนใหญ่ปลาบปลื้มยิ่งนัก ถึงอย่างไรอัจฉริยะด้านการฝึกฝนเช่นนี้ก็เป็นคนของอาณาจักรเฟยซิง ย่อมเป็นความภาคภูมิใจของอาณาจักรเฟยซิง!
เดิมทีหลังจากอวิ๋นซิงหลัวถูกตรวจพบว่าเป็นศิษย์ของสวรรค์เบื้องบน ชาวเฟยซิงก็เซื่องซึม รู้สึกว่าถึงแม้กู้ซีจิ่วของอาณาจักรตนผู้นี้จะเป็นศิษย์เทพศักดิ์สิทธิ์ แต่จะอย่างไรก็มีพลังวิญญาณต่ำต้อย เทียบกับอวิ๋นซิงหลัวผู้นั้นที่ฝึกฝนถึงขั้นหกตอนกลางใกล้จะถึงขั้นเจ็ดแล้วไม่ติด
แต่ยามนี้พอได้เห็นผลงานในปัจจุปันของกู้ซีจิ่ว ทุกคนก็รู้สึกภูมิใจขึ้นมาอีกครั้ง!
อวิ๋นซิงหลัวเป็นอัจฉริยะด้านพลังวิญญาณ ทว่ากู้ซีจิ่วกลับเป็นอัจฉริยะด้านการฝึกฝน!
ในแผ่นดินนี้ยังไม่มีผู้ฝึกฝนได้รวดเร็วถึงเพียงนี้เยี่ยงนางเลย!
จุดเริ่มต้นต่ำไม่สำคัญ สำคัญที่ความคืบหน้า
สมเป็นผู้ที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เคยชี้แนะเองกับมือ คืบหน้าอย่างรวดเร็วราวกับติดปีกบินก็มิปาน
แต่เดิมฝูงชนยังกึ่งเชื่อกึ่งคลางแคลงเกี่ยวกับฐานะลูกศิษย์เทพศักดิ์สิทธิ์ของกู้ซีจิ่วอยู่บ้าง ทว่ายามนี้เชื่ออย่างหมดใจแล้ว!
ใต้หล้านี้นอกจากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ใครกันที่จะมีวิธีที่ทำให้ลูกศิษย์ก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้?!
แน่นอน ตัวกู้ซีจิ่วเองก็มีสติปัญญาลํ้าเลิศด้วยเช่นกัน มิเช่นนั้นคงไม่เข้าตาเทพศักดิ์สิทธิ์จนกลายเป็นศิษย์ของเขา…
มีบุคคลที่มีความสามารถเช่นนี้อยู่ในอาณาจักรตนถือเป็นวาสนาของอาณาจักร และย่อมเป็นเพราะบุญญาธิการของจักรพรรดิซวนด้วย
ดังนั้นเหล่าขุนนางจึงพากันแซ่ซ้องสรรเสริญในพระปรีชาสามารถของจักรพรรดิซวน กล่าวว่าเขาเป็นจักรพรรดิผู้มีบุญบารมี ถึงมีอัจฉริยะเช่นนี้ถือกำเนิดขึ้น…
กู้ซีจิ่วฟังเหล่าขุนนางที่ถือโอกาสประจบประแจงจักรพรรดิซวนด้วยความกระตือรือร้นอยู่ตรงนั้น เธอดื่มนํ้าอย่างสงบเยือกเย็นไม่เอ่ยวาจา
“ซีจิ่ว ตอนนี้เจ้าใกล้จะ 15 แล้วกระมัง?” จักรพรรดิซวนถามเธออย่างมีเมตตา
“ทูลฝ่าบาท ตอนนี้ซีจิ่วเพิ่ง 14 ปี 2 เดือนเพคะ ยังห่างจาก 15 ปีอีกไกล” สีหน้ากู้ซีจิ่วนิ่งเฉย ทว่าหัวใจกลับเต้นระรัว
เอาจริงแล้วเหรอ?! จักรพรรดิซวนผู้นี้ต้องการจับคู่ให้เธอจริงๆ สินะ?!