บทที่ 353
อาศัยสิ่งใดนางถึงได้ครอบครองของดีทั้งหมด?
แต่พอกู้ซีจิ่วเข้ามาก็เจิดจ้าจนตาทุกคนแทบพร่า และทำให้เพลิงริษยาในใจพวกนางลุกโชนขึ้นมา
แม้ท่าทางขององค์ชายหรงฉู่ตอนที่เห็นกู้ซีจิ่วจะทำให้เพลิงริษยาของพวกนางโหมหนักยิ่งขึ้น แต่ก็อยู่ในความคาดหมายของพวกนาง ถึงอย่างไรองค์ชายหรงฉู่ก็เจ้าชู้มาตลอด ในจวนมีสนมอนุอยู่มากมาย
แต่องค์รัชทายาทหรงเจียหลัวแต่ไหนแต่ไรไม่เคยใกล้ชิดสตรีเลย!
สตรีงามนางใดก็ไม่เคยเหลือบแล ยามนักลับยิ้มให้กู้ซีจิ่ว! ซ้ำยังชูจอกเหมือนจะคารวะสุรากับนางด้วย!
อาศัยสิ่งใดกัน? อาศัยสิ่งใดนางถึงได้ครอบครองของดีทั้งหมด?!
เพลิงริษยาของหญิงสาวเหล่านี้ลุกโชนอยู่เนิ่นนาน โดยเฉพาะหลานเจาเอ๋อร์ธิดาอัครมหาเสนาบดีที่หมายปององค์ชายหรงฉู่ นัยน์ตาแทบจะแดงก่ำแล้ว!
หลังจากดื่มสุราเข้าไปมากมาย นางก็เริ่มสร้างปัญหา “ยามนี้คุณหนูกู้เป็นดั่งนกกระจอกที่กลายเป็นหงส์เพลิง มีมาดใหญ่โตแล้ว แม้แต่องค์จักรพรรดิก็ไม่อยู่ในสายตาอีก” พอเปิดปากก็เริ่มยัดข้อหาละเมิดเบื้องสูงให้กู้ซีจิ่ว
กู้ซีจิ่วกลับไม่ลนลาน “กล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
“ฝ่าบาททรงจัดงานเลี้ยงส่งให้เจ้าด้วยพระองค์เอง นี่เป็นพระเมตตาใหญ่หลวงเพียงใดแล้ว? เจ้าไม่รู้จักสำนึกบุญคุณก็แล้วไป แต่ยังจะมาสายเป็นพิเศษทำให้ฝ่าบาทต้องคอยเจ้าอีก! ถึงเป็นศิษย์เทพ ศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ควรจองหองพองขนเช่นนี้ ไม่รู้จักมารยาทบ้างหรือ?”
“ใช่แล้วๆ จองหองเกินไปแล้ว!ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาเลยสินะ?!”
“ถูกต้อง น่าโมโหเกินไปแล้ว”
“เหอะ สตรีไร้ความสามารถนับว่ามีคุณธรรม เจ้าจองหองพองขนถึงเพียงนี้ ต่อให้มีความสามารถมีรูปโฉมแล้วอย่างไรเล่า? คุณธรรมได้สูญสิ้นไปแล้ว…”
เหล่าหญิงสาวพากันคล้อยตาม ร่วมประณามด้วย
กู้ซีจิ่วฟังอยู่เงียบๆ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามขึ้น “พูดจบแล้วรึ?
เหล่าหญิงสาวนิ่งงัน
“ในเมื่อพูดจบแล้ว เช่นนั้นข้าจะพูดบ้าง” น้ำเสียงกู้ซีจิ่วสงบเยือกเย็น หันไปมองจักรพรรดิซวน “ฝ่าบาท หม่อมฉันจำได้ว่าบนเทียบเชิญใบนั้นเขียนไว้ว่างานเลี้ยงเริ่มยามโหย่ว หม่อมฉันจำผิดไปหรือเพคะ?”
จักรพรรดิซวนส่ายหน้า “เจ้าไม่ได้จำผิด งานเลี้ยงเริ่มยามโหย่วจริงๆ”
กู้ซีจิ่วถามขันทีเฝ้าประตูต่อ “กงกงท่านนี้ ซีจิ่วเข้าประตูมายามใด? มาสายหรือไม่?”
ขันทีมองจักรพรรดิซวนอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จักรพรรดิซวนจึงเอ่ยว่า “พูดไปตามความจริง”
คราวนี้ขันทีค้อมกายลงพลางกล่าว “คุณหนูกู้มาถึงตรงเวลา มิได้มาสายขอรับ”
กู้ซีจิ่วพยักหน้านิดๆ จากนั้นมองไปที่หลานเจาเอ๋อร์และพรรคพวก “ทุกท่านได้ยินแล้วกระมัง? ซีจิ่วมาตามนัดหมาย มิได้ล่าช้าเลยสักนิด เหตุใดถึงมากล่าวว่าจองหองพองขนเล่า?”
หญิงสาวทั้งหลายพูดไม่ออก
หลานเจาเอ๋อร์”…เจ้า เจ้ามาสายกว่าฝ่าบาท…”
“นั่นเป็นพระกรุณาของฝ่าบาท ซีจิ่วซาบซึ้งอย่างหาที่สุดมิได้ แต่ฟังจากวาจาของคุณหนูหลานแล้ว เหมือนจะไม่พอใจที่ฝ่าบาทมาสายเลยนะ?”
หลานเจาเอ๋อร์พลันเหงื่อตกเมื่อถูกยัดข้อหาใหญ่นี้ให้ รู้ตัวว่าถูกอีกฝ่ายจับช่องโหว่จากคำพูดได้ จึงรีบโต้แย้ง “ข้าเปล่านะ! เจ้าอย่ากล่าวหากันส่งๆ! ข้า…ข้ามิได้มีเจตนาเช่นนั้น!”
กู้ซีจิ่วแย้มยิ้ม “ข้ารึ? คุณหนูหลานอยู่ต่อหนาฝ่าบาทก็กล้าแทนตนว่า ‘ข้า’ รึ? นี่มิใช่การหยิ่งผยองแบบธรรมดาแล้ว แต่มีโทษหนักฐานไม่เคารพเบื้องสูง! ที่แท้มารยาทของคุณหนูหลานก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าได้รับการชี้แนะแล้ว!”
หลานเจาเอ๋อร์ตกตะลึง
หน้าผากของนางเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ กำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างอีกครั้ง ก็ถูกอัครมหาเสนาบดีหลานผู้เป็นบิดาเอ่ยขัด “เดรัจฉาน หุบปาก!”
หลานเจาเอ๋อร์ตกใจยิ่งนัก ไม่กล้าพูดอะไรอีก
อัครมหาเสนาบดีหลานคุกเข่าไปทางจักรพรรดิซวนขอรับโทษแทนบุตรสาว
โทษฐานไม่เคารพเบื้องสูงจะว่าใหญ่ก็ใหญ่จะว่าเล็กก็เล็ก เรื่องใหญ่คือประหารทันที เรื่องเล็กคือไม่ถือสาเอาความ
จักรพรรดิซวนเลือกจะไม่ถือสาหาความ โบกไม้โบกมือ “ถึงบุตรเจ้าจะไร้มารยาท แต่อย่างไรก็ยังเยาว์วัย ไม่จำเป็นต้องเอาความนาง”
ดังนั้นอัครมหาเสนบาดีหลานจึงโขกศีรษะขอบพระทัยในพระเมตตาด้วยความซาบซึ้งใจ