บทที่ 112
ให้เจ้าหลาบจำไปอีกนาน!
กู่ซีซีตะลึงงัน นัยน์ตาเย็นชาคมกริบ “คุณหนูกู้กล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? จะบอกว่าข้าคือสตรีศักดิ์สิทธิ์ สำนักถามสวรรค์ตัวปลอมงั้นหรือ?!”
“นี่ก็พูดยาก” นํ้าเสียงกู้ซีจิ่วยังคงเรียบเรื่อยอยู่เหมือนเก่า แต่กลับแฝงความเฉียบคมเอาไว้
“ถึงอย่างไรพวกเราก็เพียงแต่เคยได้ยินชื่อของสตรีศักดิ์สิทธิ์สำนักถามสวรรค์เท่านั้น ไม่เคยเห็นตัวจริงมาก่อน แต่วิชาแพทย์ของท่านนั้น…”
เธอหยักยิ้มบางๆ เอ่ยออกมาอย่างเชื่องช้าสามคำ “ไร้ประโยชน์!”
ผลลัพธ์ของสามคำนี้น่าตกตะลึงเป็นอย่างมาก ไม่นึกเลยว่าจะมีคนที่กล้าบอกว่าวิชาแพทย์ของสำนักถามสวรรค์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังนั้นไร้ประโยชน์!
คนส่วนใหญ่มีสีหน้าราวกับถูกฟ้าผ่าใส่ มองกู้ซีจิ่วเหมือนมองคนบ้าคนหนึ่งที่พูดจาซี้ซั้วไปเรื่อย ถึงแม้กู้เซี่ยเทียนจะไม่พอใจคำพูดคำจาของกู่ซีซี แต่ก็เกรงว่าบุตรสาวตนจะไปล่วงเกินผู้อื่นเข้าจริงๆ จึงรีบกล่าวขึ้น “ลูกจิ่ว อย่าพูดจามั่วซั่ว!” ทั้งยังประสานมือคำนับไปทางกู่ซีซี “สตรีศักดิ์สิทธิ์โปรดอย่าถือสา นางยังเด็ก ไม่รู้ประสีประสา…”
วงหน้าเฉิดฉันของกู่ซีซีเขียวคล้ำอยู่จางๆ ตั้งแต่นางเกิดมาจนอายุขนาดนี้นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนสงสัยวิชาแพทย์ของนาง!
ถึงขั้นสงสัยฐานะนาง!
หากว่าอีกฝ่ายไม่ใช่เด็กคนหนึ่ง นางคงซัดฝ่ามือใส่ไปนานแล้ว!
บัดนี้พอได้ฟังกู้เซี่ยเทียนเอ่ยขอขมา นางจึงสะกดกลั้นโทสะที่พวยพุ่งอยู่ในอกไว้ กล่าวออกมาอย่างเฉยชา “ตัวข้าผู้เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ย่อมไม่ถือสาหาความอะไรกับเด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวคนหนึ่ง”
นางเพิ่งจะพูดจบ กู้ซีจิ่วก็เอ่ยปากขึ้นมาอีก “ท่านเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักถามสวรรค์จริงๆ หรือ?”
กู่ซีซีกัดฟันกรอด “ตัวจริงเสียงจริง!”
องค์ชายหรงฉู่ที่อยู่ข้างๆ ก็ช่วยนางยืนยัน “ข้าพบกับสตรีศักดิ์สิทธิ์หลายครั้งแล้ว สามารถยืนยันให้นางได้”
จากนั้นก็เพิ่งพิศดูกู้ซีจิ่ว เขามีมาตรฐานความงามที่สูงมาก ปานแดงของกู้ซีจิ่ว เขามองแล้วอึดอัดนัก เขาดูแคลนสตรีอัปลักษณ์มาโดยตลอด ใบหน้าหล่อเหลาถมึงถึง “คุณหนูกู้หก หรือเป็นเพราะสตรีศักดิ์สิทธิ์บอกว่าปานแดงบนใบหน้าเจ้าไม่มี ทางรักษาให้หายได้ในใจจึงเกิดความโกรธแค้นใช่ไหม ถึงได้พูดจาเหน็บแนมเช่นนี้? เจ้าอัปลักษณ์ก็ไม่เป็นไรหรอก แต่เจ้ามีนิสัยร้ายกาจเช่นนี้คงไม่ดีเท่าไหร่ วันหน้า จะเป็นสะใภ้ในราชวงศ์ของข้าได้อย่างไร?”
ประโยคนี้ของเขานับว่าทำผู้อื่นเจ็บปวดโดยแท้!
องค์รัชทายาทหรงเจียหลัวกำลังยกถ้วยชาขึ้นจิบ พอองค์ชายหรงฉู่กล่าววาจานี้ออกมา เขาก็วางถ้วยชาลงบนโต๊ะดังกึก เสียงนี้ไม่ดังไม่เบา แต่ราวกับเคาะลงไป บนหัวใจของผู้คน “เจ้าสี่ เจ้าเป็นองค์ชาย จะพูดจะจาระวังฐานะด้วย!”
องค์ชายหรงฉู่เลิกคิ้วงดงามขึ้น มองไปที่องค์รัชทายาทหรงเจียหลัว “หาได้ยากนักที่เสด็จพี่รัชทายาทจะรักหยกถนอมบุปผา เพียงแต่ผู้น้องพูดผิดตรงไหนหรือ? หญิงผู้นี้ทั้งอัปลักษณ์ทั้งไร้ค่า ให้แต่งเป็นสะใภ้ราชวงศ์เราเดิมทีก็ไม่เป็นธรรมกับเจ้าสิบสองนัก ยามนี้นิสัยของนางยังร้ายกาจเช่นนี้อีก ผู้น้องสั่งสอนนางนิดๆ หน่อยๆ ให้นางรู้จักที่สูงที่ตํ่าเสียบ้างผิดตรงไหนกัน?”
องค์ชายหรงฉู่มีนิสัยเย่อหยิ่งจองหอง ถูกคนประจบประแจงตั้งแต่เล็กจนโตจนถึงขนาดนี้ แถมเขายังมีคุณสมบัติในการสืบทอดราชบัลลังก์จึงไม่เคยเห็นองค์รัชทายาทหรงเจียหลัวผู้นี้อยู่ในสายตาเลย แกล้งทำเป็นนอบน้อมแค่เพียงผิวเผินเท่านั้น พูดจาไม่เคยเกรงอกเกรงใจเลย
องค์รัชทายาทหรงเจียหลัวเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง สายตานี้เย็นเยือกดุจหิมะ หัวใจขององค์ชายหรงฉู่ หนาวสะท้านขึ้นมาทันที รู้สึกได้รางๆ ว่าวันนี้กลิ่นอาย ของพี่ชายผู้เป็นรัชทายาทคนนี้ดูเหมือนจะแตกต่างไปจากเดิม ทำให้เขาที่แสนจะลำพองตนไม่กล้าเอ่ยวาจา
องค์รัชทายาทหรงเจียหลัวหมุนถ้วยชาในมือพลางกล่าว ด้วยนํ้าเสียงเรียบๆ “คุณหนูกู้พูดเช่นนี้บางทีนางอาจจะมีเหตุผลอยู่ก็ได้ เจ้ายังไม่ทันได้ฟังนางอธิบายก็ทึกทักสรุปเอาเองเช่นนี้จะไม่น่าเกลียดไปหน่อยหรือ?”
“นางแค่โกรธแค้นที่ผู้อื่นไม่อาจรักษาใบหน้านางให้หายดีได้ก็เท่านั้น จะมีเหตุผลอะไรได้อีก?!” องค์ชายหรงฉู่ดูหมิ่น สายตาจ้องกู้ซีจิ่วเขม็ง “ได้ เช่นนั้นข้าจะถามเจ้า เจ้าอาศัยสิ่งใดถึงมาซี้ซั้วสงสัยสตรีศักดิ์สิทธิ์หากเจ้าไม่สามารถอธิบายได้ข้าจะลงโทษเจ้า! ให้เจ้าหลาบจำไปอีกนาน!”
…………………
[1]พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา หมายถึง เมื่อเรากำลังพูด ถึงใครสักคนหนึ่ง คนๆนั้นก็มาถึงพอดี