บทที่ 483
นางเชี่ยวชาญด้านการยั่วโมโหคน 2
นิ้วมือตี้ฝูอีเคาะโต๊ะเบาๆ พลางครุ่นคิด ดูเหมือนผู้ที่บงการให้ขโมยศพของสองคนนั้นจะเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมืออีกที ไม่เพียงแต่ชำนาญวิชาสร้างหุ่นเชิดเท่านั้น ความสามารถในการซ่อนเร้นกลิ่นอายก็ไม่ธรรมดาเลย
เขามองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงและความสามารถของศพพิษทั้งสองอย่างชัดเจนผ่านห้วงความทรงจำของเจ้าหอยยักษ์ มองแวบแรกเหมือนกับหุ่นเชิดศพที่สร้างโดยผู้เชี่ยวชาญ อีกทั้งยังเป็นหุ่นเชิดศพที่มีพิษร้ายอีกด้วย! เอกลักษณ์ต่างๆ ก็คล้ายคลึงเต็มสิบส่วน
หากมิใช่เขาสังเกตอย่างละเอียดรอบคอบ ไม่แน่อาจเริ่มสืบสาวราวเรื่องจากนักหุ่นเชิดก็เป็นได้…
แต่หุ่นเชิดศพพิษต้องมีนักเชิดหุ่นคอยควบคุมอยู่ไกลๆ ต่อให้ไอแค้นบนร่างจะไม่เข้มข้นนัก
แต่ศพพิษทั้งสองตัวที่กู้ซีจิ่วพบกลับมีไอแค้นเป็นตัวควบคุม หากเขาเดาไม่ผิด หลังจากหรงเหยียนและกู้เทียนฉิงสิ้นชีพ ดวงวิญญาณมิได้เข้าสู่สังสารวัฏ แต่ถูกคนควบคุมไว้ หลังจากศพของพวกเขาถูกทำให้กลายเป็นศพพิษ ดวงวิญญาณก็ถูกผนึกไว้ในศพไม่สามารถออกมาได้ และมีความเป็นไปได้แปดถึงเก้าส่วนที่ดวงวิญญาณจะถูกลงคำสาปบางอย่าง ทำให้พวกเขาวนเวียนอยู่ในช่ววงเวลาที่ถูกตัดหัว ก่อให้พวกเขาเกิดไอแค้นท่วมท้น อีกทั้งยึดถือกู้ซีจิ่วเป็นที่ระบายความแค้น
ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงตามหากู้ซีจิ่วด้วยตนเอง เนื่องจากพวกมันมิใช่สิ่งมีชีวิต ดังนั้นเขตแดนที่ตนติดตั้งไว้รอบนอกของป่าทมิฬจึงสกัดกั้นพวกมันไม่ได้…
เป็นใครกันที่มีความแค้นใหญ่หลวงกับกู้ซีจิ่วจนคิดสังหารนางให้ตกตาย?
ถึงแม้คนที่กู้ซีจิ่วล่วงเกินจะมีอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่น่ามีใครที่มีฝีมือแกร่งกล้าถึงเพียงนี้…
หรือนี่จะเป็นแผนชักภัยไปตะวันออก?
มีคนคิดจะชักภัยไปให้ผู้อื่น ดังนั้นจึงลงดาบกับกู้ซีจิ่วสินะ?
เห็นได้ชัดว่าผู้บงการอยู่เบื้องหลังต้องการชักภัยไปหาอวิ๋นซิงหลัว เนื่องจากนางเป็นเลิศด้านวิชาหุ่นเชิด อีกทั้งนางยังเป็นอริกับกู้ซีจิ่วด้วย คราแรกที่ตี้ฝูอีได้ยินกู้ซีจิ่วกล่าวถึงศพพิษ ผู้ต้องสงสัยอันดับ หนึ่งก็คืออวิ๋นซิงหลัว!
หากมิใช่ว่าเขามองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างชัดเจนผ่านทางห้วงความจำของเจ้าหอยยักษ์ เห็นแจ้งว่านี่มิใช่เรื่องที่นักเชิดหุ่นจะกระทำได้…เกรงว่าคงโยนความผิดนี้ไปให้อวิ๋นซิงหลัวแล้ว
ผู้บงการคนนี้มุ่งเป้าไปที่อวิ๋นซิงหลัวหรือ?
ตี้ฝูอีหรี่ตาลงเล็กน้อย ราวกับสัมผัสได้ว่าตาข่ายผืนหนึ่งกางอยู่รอบกายตน มีคนต้องการให้เขากระโดดเข้าไปด้วยตัวเอง…
หรือว่าที่แท้เป้าหมายของผู้บงการคนนี้ก็คือเขา!
มุมปากตี้ฝูอีโค้งขึ้นมานิดๆ ดีเหลือเกิน! เขารู้สึกว่าชีวิตค่อนข้างน่าเบื่ออยู่พอดี มีศัตรูสักคนก็ไม่เลว!
กระจกโบราณส่องแสงวาบอีกครั้ง มู่เฟิงรายงานแก่เขา “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ส่งแม่นางกู้เรียบร้อยแล้วขอรับ ตาแก่พวกนั้นไม่อยากรับนางไว้จริงๆ ข้าน้อยจนปัญญาจึงยกนามนายท่านมาเอ่ย นำโองการของท่านออกมา ถึงจะบังคับให้พวกเขารับนางไว้อย่างเสียมิได้ เพียงแต่…”
“เพียงแต่อะไร?”
“กู่ฉานโม่ผู้นั้นหัวดื้อเหลือเกิน ต่อให้ข้าน้อยนำโองการของท่านออกมาเขาก็ยังไม่ยินยอม กล่าวว่าเขาจะไม่รับศิษย์ที่ใช้เส้นสายเด็ดขาด เพื่อไม่ให้ชื่อเสียงของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ด่างพร้อย และกล่าวอย่างชัดเจนว่าแม่นางกู้ไม่ตรงตามเงื่อนไขของเขา ดังนั้นต่อให้รับนางไว้ตามโองการของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ก็ทำได้เพียงรับนางไว้เป็นศิษย์สังเกตการณ์เท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ทั้งยังบอกว่าจะให้นางสังเกตการณ์เป็นเวลาครึ่งปี หากว่าครึ่งปีให้หลังนางยังคงไม่ผ่านมาตรฐานของสำนักศึกษา เขาก็ทำได้เพียงขับไล่นางออกไป ต่อให้เทพศักดิ์สิทธิ์เช่นท่านมาขอร้องก็ไม่มีประโยชน์ นอกเสียจากท่านจะปลดเขาออกจากตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์..”
ดูเหมือนมู่เฟิงจะค่อนข้างโมโห เห็นได้ชัดว่ากู่ฉานโม่ไม่ไว้หน้าเขาเลยสักนิด ไม่แน่อาจทำให้เขาขุ่นเคืองด้วยก็ได้
ตี้ฝูอีกลับแย้มยิ้ม “กู่ฉานโม่เป็นเช่นนี้เสมอ หากเจ้าส่งลูกศิษย์เช่นอวิ๋นซิงหลัวให้เขาสักหลายๆ คนเขาคงจะเชื้อเชิญเจ้าทานอาหาร”
มู่เฟิงหนาวสะท้านขึ้นมา “อย่ากระนั้นเลยขอรับ เผชิญกับตาแก่คร่ำครึเช่นกู่ฉานโม่ข้าน้อยคงกินไม่ลง แต่ว่ากู่ฉานโม่พึงพอใจอวิ๋นซิงหลัวมากจริงๆ กล่าวว่านางสติปัญญาลํ้าเลิศ พื้นฐานยอดเยี่ยม เป็นต้นกล้าที่ดี เพิ่งจะมาถึงสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ได้ไม่กี่วันก็ฉายพรสวรรค์ออกมาแล้ว”