บทที่ 520
ตบหน้า 4
“เจ้าหอยยักษ์! หยุด!” กู้ซีจิ่วกระโจนเข้าไป ทะลุผ่านเขตแดนออกไปตรงๆ ดึงฝาเจ้าหอยยักษ์ไว้ทันที!
เจ้าหอยยักษ์ชะงัก ไม่กล้าหุบฝาอีก ดวงตายังคงแดงฉานเช่นเดิม ทว่ากลายร่างเป็นหนูน้อยแล้วเริ่มร้องไห้คราครวญ “เจ้านาย พวกเขาจะฆ่าข้า! ข้าจะกินพวกเขาซะ! พวกเขาไม่ให้ข้ากินช้าวเลย ข้าหิวเหลือเกิน ถึงตายก็จะขอเป็นหอยที่อิ่มท้อง”
กู้ซีจิ่วดึงศิษย์สองคนนั้นที่มึนงงอยู่ออกมา จากนั้นก็กอดหนูน้อยไว้ “ไม่ฆ่าเจ้าหรอก ข้าไม่ปล่อยให้พวกเขาฆ่าเจ้าหรอก”
หนูน้อยร้องไห้นํ้าตานองดั่งห่าฝน ท่าทางคับแค้นไม่ได้รับความเป็นธรรม “แต่เมื่อกี้ท่านนั่งดูอยู่ด้านข้างตลอด ไม่ขวางเลย…”
“เจ้าหอยยักษ์’ เชื่อข้านะ เหตุการณ์นี้เป็นการล้างมลทินให้ข้ากับเจ้า ข้าจะทอดทิ้งเจ้าไม่สนใจเจ้าจริงๆ ได้ยังไง” กู้ซีจิ่วปลอบประโลมมัน
“จริงหรือ?” เจ้าหอยยักษ์ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“จริงเสียยิ่งกว่าทองแท้!”
เมื่อกู้ซีจิ่วปลอบเจ้าหอยยักษ์จนสงบ กำความเคารพท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เจ้าคะ ได้โปรดอนุญาตให้ซีจิ่วตรวจสอบคดีนี้ด้วยตนเองได้หรือไม่เจ้าคะ?”
ท่านเทพศักดิ์พยักหน้า “ได้”
เขากวาดตามองรอบๆ คนอื่นๆ ในห้องโถงยังคงสับสนอยู่เล็กน้อย แต่เสี่ยวซีจิ่วของเขากลับเข้าใจ เจตนาของเขาอย่างแจ่มแจ้งแล้ว นี่คือสาวน้อยผู้ฉลาดลํ้าเลิศ!
นัยน์ตาเขาฉายแววปลาบปลื้ม แต่ก้นบึ้งนัยน์ตากลับมีแววรวดร้าวพาดผ่านแวบหนึ่ง เพียงแต่ความรวดร้าวนั้นพาดผ่านอย่างรวดเร็วยิ่ง ผู้คนยังไม่ทันสังเกตุเห็นก็เลือนหายไปแล้ว
ทว่าสายตากู้ซีจิ่วกลับเปล่งประกาย “เช่นนั้นศิษย์ขอยืมแรงท่านทูตส่างซั่นและท่านทูตเฉิงเอ้อได้ไหมเจ้าคะ?”
“ตามสบาย” วาจาท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มีค่าดั่งทอง ขายลูกน้องทั้งสองให้ทันที
ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงไม่เกรงใจ เธอรีบเชิญทูตเฉิงเอ้อผู้เชี่ยวชาญการตรวจสอบร่องรอยมาดูร่องรอยการต่อสู้ครั้งนี้ทันที จากนั้นก็ให้กู่ฉานโม่นำเนื้อวัวติดหนังและกระดูกมาให้เจ้าหอยยักษ์หนีบ
เจ้าหอยยักษ์ซื่อตรงนัก ใช้ฝาหนีบจนขาด เสมือนหั่นก้อนเต้าหู้
ผ่านไปครู่หนึ่ง ทูตเฉิงเอ้อก็นำผลการตรวจสอบร่องรอยการต่อสู้มารายงานแก่กู้ซีจิ่ว
กู้ซีจิ่วมองดูฝูงชน เริมวิเคราะห์ไล่เรียงให้พวกเขาทีละข้อ ข้อแรก ดูจากร่องรอยการต่อสู้ครั้งก่อน ด้วยการเคลื่อนไหวของเจ้าหอยยักษ์หากคิดจะซุ่มโจมตี ก็ทำได้เพียงฝังตัวอยู่ใต้พื้นดินก่อน แล้วค่อยมุดขึ้นมาลอบโจมตีอย่างกะทันหัน แต่ด้วยความเร็วในการลอบโจมตีของมัน ด้วยวิชาตัวเบาของศิษย์สองคนนั้นย่อมเพียงพอที่จะหลบได้ เมื่อหลบได้เช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกเจ้าหอยยักษ์ปลิดชีพในกระบวนท่าเดียว จะต้องเกิดการต่อสู้ขึ้นแน่นอน แต่ในที่เกิดเหตุนั้นกลับไม่มีร่องรอยการต่อสู้ใดๆ เลย…
ข้อที่สอง หลักจากเจ้าหอยยักษ์ใช้พิษมายาหลอนลวงล่อลวงคน จะต้องเปลี่ยนเป็นร่างเดิมถึงจะสามารถกินคนได้ ฝาหอยในร่างเดิมของมันยาว 4 เมตร กว้าง 3 เมตร ดั่งเรือนเล็กๆ หลังหนึ่ง แต่ ร่องรอยของฝาหอยในที่เกิดเหตุกลับไม่ใหญ่โตเช่นนี้ และมีขนาด 2 เมตร
ข้อที่สาม ถ้าเจ้าหอยยักษ์กินคนจะไม่ใช้ฝาหนีบให้ตาย แต่จะดึงคนเข้าไปในปากโดยตรงเลย คล้ายนิสัยของงูเหลือมยามกินเหยื่อ
ข้อที่สี่ เป็นข้อที่สำคัญที่สุด ยามที่เจ้าหอยยักษ์ใช้ฝาหอยหนีบสิ่งของขาดจะเหลือรอยขอบฝาไว้ เปลือกของเจ้าหอยยักษ์ตัวนี้เคยได้รับบาดเจ็บ ยามหนีบสิ่งของ สิ่งของที่ถูกหนึบจนขาดจะเหลือรอยแหว่งเล็กๆ ไว้สามสี่รอย แน่นอน รอยแหว่งเหล่านี้เล็กยิ่งนัก เล็กน้อยจนแยกไม่ออก
ฝาของมันคมเกินไป ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงไม่ได้สนใจขอบฝาของมัน ยามที่พอเห็นร่องรอยที่มันเหลือไว้บนเนื้อวัวที่หนีบขาดถึงได้พบเรื่องนี้
ไม่ว่าจะเป็นทูตส่างซั่นหรือเจ้าหน้าที่ชันสูตรของที่นี่ ล้วนเคยตรวจสอบศพสองร่างนั้นอย่างละเอียดมาแล้ว ร่องรอยบาดแผลบนนั้นก็ชัดเจนยิ่ง
กู้ซีจิ่วให้พวกเขาดูร่องรอยบนเนื้อวัว ทั้งสองคนนี้เห็นพ้องต้องกัน เปรียบเทียบร่องรอยทั้งสองด้านอย่างละเอียดแล้วไม่เหมือนกันจริงๆ กล่าวอีกนัยคือ ต่อให้สองคนนั้นถูกฝาหอยหนีบตายจริงๆ แต่ก็ มิใช่หอยชนิดเดียวกัน…