Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 634

ตอนที่ 634 กู้ซีจิ่วยังคงไม่สนใจเขาเช่นเดิม

ความจริงแล้วเยี่ยนเฉินผู้นี้สุขุมเยือกเย็นวรยุทธิ์ยอดเยี่ยม ถึงแม้จะเย็นชา แต่ก็ปฏิบัติต่อเพื่อนร่วมชั้นไม่เลวันก แถมยังมีนํ้าใจช่วยเหลือผู้อื่นด้วย ยามใดที่เพื่อนร่วมชั้นของเขาพบเรื่องเดือดร้อนบากหน้ามาขอให้เขาช่วย เขาก็ไปช่วยเสมอ เขามีความสามารถ รูปโฉมก็หล่อเหลา ย่อมกลายเป็นยอดชายในดวงใจของเหล่าศิษย์หญิงในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ แม้แต่เหล่าศิษย์ ชายก็ยังนับถือเขามาก

แต่คนที่สุขุมเยือกเย็นวรยุทธิ์สูงส่งเช่นนี้กลับถูกกู้ซีจิ่วกลั่นแกล้งแล้วหลบหนีไปหลายต่อหลายครั้ง อยากจะจับสาวน้อยเจ้าเล่ห์คนนี้มาทุบแรงๆ สักที แต่กู้ซีจิ่วเป็นศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาคล้อย แถมยังเป็นศิษย์ใหม่ด้วย

ส่วนเขาเป็นศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาม่วง แถมยังเป็นศิษย์อาวุโส ย่อมไม่อาจไปท้าสาวน้อยผู้นี้ดวลตัวต่อตัวได้ เกรงว่าจะถูกครหาว่าเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก ถูกนางยั่วโมโหจนหาทางออกไม่เจอ แต่กลับทำอะไรนางอย่างจริงจังไม่ได้

สุดท้ายคนที่ชอบปลีกวิเวกเดินทางเพียงลำพังเช่นเขาก็เริ่มจับกลุ่มกับเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ แล้ว พอคนเพิ่มขึ้น เจ้าลู่อู๋ก็แอบซุ่มก่อกวนอยู่รอบกายเขาเงียบๆ ไม่ได้ง่ายๆ อีกต่อไป สถานการณ์ของเขาก็ดีขึ้นมาบ้าง

แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนประเภทที่ยอมเสียเปรียบ ผู้อื่นถูกยั่วโมโหจนร้อนรนจึงคิดจะเอาคืนกู้ซีจิ่ว เขามีพลังวิญญาณธาตุดินและธาตุสายฟ้า พลังวิญญาณสองธาตุนี้ล้วนล้ำเลิศ ดังนั้นยามที่กู้ซีจิ่วเดินๆ อยู่ ก็มักจะมีหินก้อนใหญ่โผล่ขึ้นมาตรงหน้ากะทันหันเสมอ หรือจู่ๆ ก็มีหลุมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา ก้นหลุมเต็มไปด้วยเศษหินแหลมคมทั้งเล็กทั้งใหญ่ ทิ่มแทงแล้วไม่ถึงตายแต่ก็ตำเท้าบาดเจ็บได้

เนื่องจากกู้ซีจิ่วก็มองเขาขวางหูขวางตาเช่นกัน จึงกลายเป็นความเคยชินแล้วที่ทั้งสองฝ่ายจะตั้งแง่ใส่กัน

ดังนั้นพอกู้ซีจิ่วเห็นเขาโผล่มากะทันหัน ปฏิกิริยาแรกก็คือกระโดดผลุงขึ้นมา ตั้งกำแพงเพลิงทันที ทำให้เยี่ยนเฉินเกือบจะชนเข้าแล้ว

เยี่ยนเฉินสีหน้าอึมครึม เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ที่ไม่ได้โต้ตอบกลับ แถมยังใช้กระบี่ในมือกดมันไว้ กดจนเปลวเพลิงสลายไป จากนั้นก็เก็บกระบี่ลงฝัก ยืนอยู่ข้างกายเธอ “เจ้ากำลังสอนไว่หูแข่งขันหรือ?”

กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าคำถามเขาไร้สาระ จึงไม่สนใจเขา

“ความจริงไว่หูมิได้โง่งม…” เยี่ยนเฉินพูดต่อโดยไม่แยแสสีหน้าอึมครึมของเธอ

ไร้สาระ! ใครมีตาก็ดูออกทั้งนั้น! กู้ซีจิ่วยังคงไม่สนใจเขาเช่นเดิม คิดค้นกระบวนท่าให้หลานไว่หูต่อไป

“นางแค่ไม่เหมาะกับการแข่งขัน…ข้าเคยสอนนางแล้ว นางจำกระบวนท่าเหล่านั้นไม่ได้เลย…ข้าไม่อยากให้นางถูกกดดันมากเกินไป ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้นางเข้าร่วมการจับกลุ่มสู้อีก ไม่อยากให้นางบาดเจ็บอีก…” เยี่ยนเฉินเอ่ยกับตัวเอง

“กู้ซีจิ่ว ข้าไม่สนว่าเจ้าจะฝึกฝนนางด้วยจุดประสงค์ใด แต่โปรดอย่าทำร้ายนาง เจ้าเห็นข้าขวางหูขวางตาก็มาแก้แค้นข้าได้ แต่อย่าไปลงกับ นาง…”

กู้ซีจิ่วโมโหแล้ว “เจ้าเป็นญาติกับพระถังซัมจั๋งหรือไง? พูดพรํ่าไม่รู้จบอยู่ได้! ข้าเห็นเจ้าขวางหูขวางตาจริงๆ นั่นแหละ แต่เกี่ยวอะ ไรกับนาง? นางก็คือนาง เจ้าก็คือเจ้า! เจ้าไม่ใช่พ่อนาง นางก็ไม่ใช่แม่เจ้า บัญชีแค้นของเจ้า ข้าจะไปคิดลงกับนางได้อย่างไร? เจ้าคิดว่าตัวเองสำคัญนักหรือไง?”

เยี่ยนเฉินพูดไม่ออก…

กู้ซีจิ่วพูดต่อไป “เจ้าพูดไม่ขาดปากว่าไม่อยากให้นางบาดเจ็บ ไม่อยากให้นางเข้าร่วมการจับกลุ่มสู้ เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าอยู่ในชั้นเรียนอย่างโดด เดี่ยว? รู้หรือไม่ว่าไม่มีผู้ใดอยากไปทำภารกิจกับนาง? เกรงว่านางจะบาดเจ็บก็เลยไม่ให้นางได้ลอง เป็นห่วงนางหรือทำร้ายนางกันแน่?! คิดจะเลี้ยงนางให้กลายเป็นนกน้อยในกรงจริงๆ หรือไง?”

เยี่ยนเฉินอ้าปากค้าง

กู้ซีจิ่วกล่าวขึ้นมาอีก “ในเมื่อเฉิงเหย่าจิน[1] แบกขวานสามคมท่องใต้หล้าได้ ข้าก็ไม่เชื่อว่าจิ้งจอกน้อยจะใช้กระบวนท่ามากมายนี้ไม่ได้! ข้าไม่เชื่อเรื่องบ้าๆ นี่!”

กล่าวถึงตรงนี้ หัวใจพลันเต้นแรงแวบหนึ่ง!

ขวานสามคม…

เฉิงเหย่าจินก็ใช้ขวานสามคม ใช้กระบวนท่าสามแบบซํ้าๆ กันจนคล่อง สังหารศัตรูได้นับหมื่น

ถ้าหากลดความซับซ้อนให้จิ้งจอกน้อย แล้วหากระบวนท่าในนั้นมาผสานกันสักสี่ห้าท่า นางจะจำได้ขึ้นใจหรือไม่นะ?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version