Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 692

บทที่ 692 รอยยิ้มนั้นคล้ายแฝงแววเย้ยหยันไว้รางๆ

ด้วยเหตุนี้เขาเลยเอ่ยว่า “ในเมื่อกฏคือชนะสองในสามรอบตั้งแต่แรก เช่นนั้นย่อมต้องเป็นชนะสองในสามรอบตามเดิม พวกเจ้านึกว่ากฎนี้เป็นสิ่งที่พวกเจ้าอยากเปลี่ยนก็สามารถเปลี่ยนได้งั้นหรือ?!”

เขากวาดตามองคนทั้งหก แต่สุดท้ายสายตาก็หยุดอยู่บนร่างอวิ๋นชิงหลัว ดวงตาฉายแววเย็นชา

ผู้ตัดสินคนอื่นๆ ต่างคล้อยตาม เยี่ยนเฉินเอ่ยว่า “ศิษย์เห็นด้วยกับอาจารย์ใหญ่กู่ขอรับ”

อวิ๋นชิงหลัวเม้มปากแน่น นางไม่อยากทิ้งโอกาสที่จะได้ทำให้กู้ซีจิ่วอับอายเช่นนี้ไป ดังนั้นจึงมองไปที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านคิดเห็นอย่างไรเจ้าคะ?”

ที่นี่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีฐานะสูงที่สุด คำพูดของเขาคือคำตัดสินชี้ขาด

ตี้ฝูอีกวาดตามองใบหน้าคนทั้งหกแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองหลงซือเย่ มุมปากคล้ายจะอมยิ้ม “เจ้าสำนักหลง ท่านว่าอย่างไร?”

หลงซือเย่ขมวดคิ้วนิดๆ เขาคือคนที่สอนกู้ซีจิ่วมา ย่อมทราบพลังที่แท้จริงของเธอ และรู้ว่าในการต่อสู้เธอมีโอกาสแปรเปลี่ยนสารพัด มักจะได้ชัย ด้วยใช้อ่อนสยบแข็งอยู่เสมอ แต่ครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายค่อนข้างห่างชั้นกันมากจริง ๆ ด้วยสายตาของเขามองออกว่าในรอบแรกอวิ๋นชิงหลัวยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดจริงๆ เด็กสาวผู้นี้คงเกรงว่าถ้าทำให้คนบาดเจ็บตั้งแต่รอบแรกจะดูเหี้ยมโหดเกินไป จึงขู่ให้คู่ต่อสู้ตกใจแล้วล่าถอยไปเอง เลยใช้พลัง

เพียงเจ็ดส่วนเท่านั้น…

ดังนั้นในรอบที่สองนี้หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย พวกกู้ซีจิ่วจะต้องพ่ายแพ้เช่นเดิม อัตราที่จะชนะริบหรี่มาก

ส่วนรอบที่สาม เขาคิดว่ามีความหวังไม่มาก และสามารถกล่าวได้ว่าต่อให้ไปถึงรอบที่สาม พวกกู้ซีจิ่วก็จะแพ้เหมือนเดิม…

การประลองครั้งนี้ถึง แม้จะมีกฎว่าบาดเจ็บล้มตายไม่มีโทษ แต่ที่นี่มียอดฝีมือมากมายจับตามองอยู่ ย่อมไม่อาจเล่นงานคนจนถึงแก่ชีวิตได้จริงๆ มิเช่นนั้นใบหน้าคนเหล่านี้คงมินิ่งเฉยอยู่เป็นแน่!

เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นชิงหลัวก็ทราบข้อนี้ดี ดังนั้นหนนี้จึงไม่คิดจะเอาชีวิตกู้ซีจิ่วจริงๆ แต่ต้องการให้ขายหน้าหลายๆ ครั้งเป็นแน่…

หลงซือเย่ย่อมไม่ปล่อยให้อวิ๋นชิงหลัวสมหวัง ดังนั้นเขาเลยเอ่ยว่า “ข้าเห็นด้วยกับอาจารย์ใหญ่กู่ กฎการประลองรอบชิงชนะเลิศกล่าวว่าจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้เหมือนเด็กเล่นขายของหรือ? ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายให้ความสำคัญกับกฏระเบียบมาตลอด คงจะเห็นด้วยกับคำพูดของอาจารย์ใหญ่กู่กระมัง?”

ตี้ฝูอีมองไปที่คนทั้งหก กล่าวอย่างเฉยชา “กฏเกณฑ์บางครั้งก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ในเมื่อเด็กหกคนนี้เห็นพ้องต้องกันแล้ว แล้วเหตุใดถึงไม่ช่วยให้พวกเขาสมหวังสักครั้งเล่า?”

ดวงตาอวิ๋นชิงหลัวทอประกายอีกครั้ง ทำความเคารพไปทางทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย “ขอบพระคุณท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่เข้าใจพวกเรา…”

ตี้ฝูอีแย้มยิ้มดั่งสายลมฤดูใบไม้ผลิ “ไม่ต้องเกรงใจ ข้าเข้าอกเข้าใจผู้อื่นอยู่เสมอนั่นแหละ ในเมื่อพวกเจ้าล้วนเห็นด้วยแล้ว พวกเขาจะดึงดัน ขัดขวางได้อย่างไร? ย่อมต้องให้โอกาสพวกเจ้า พวกเจ้าว่าใช่หรือไม่?”

ในที่สุดสายตาเขาก็หยุดลงที่ร่างกู้ซีจิ่ว กู้ซีจิ่วยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยวาจา รอยยิ้มนั้นคล้ายแฝงแววเย้ยหยันไว้รางๆ

แววตาตี้ฝูอีดำดิ่งลงกว่าเดิม

ในเมื่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกล่าวเช่นนี้แล้ว ฝูงชนจะโต้แย้งต่อไปคงไม่ดี เพียงแต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายยังคงขึ้นอยู่กับกู่ฉานโม่ เขาไม่มองทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีเลย “ประลองรอบที่สองจบก่อนค่อยว่ากัน!”

ด้วยเหตุนี้รอบที่สองจึงเริ่มขึ้น

ถึงอย่างไรก็เคยประมือกันไปแล้วรอบหนึ่ง ยามนี้จึงคุ้นเคยกันบ้างแล้ว ดังนั้นการประลองรอบนี้จึงน่าชมกว่ารอบแรกมากนัก

เงาร่างคนทั้งหกโผนทะยานไปมาบนเวที แสงจากพลังวิญญาณชนิดต่างๆ ส่องวูบวาบ ประเดี๋ยวเถาวัลย์กวัดแกว่งดั่งจะทลายทัพ ประเดี๋ยวคลื่นยักษ์ก็ปานแม่นํ้าใหญ่ที่ไหลเชี่ยว ประเดี๋ยวกำแพงดินก็ผุดขึ้นมากะทันหัน ประเดี๋ยวแสงทองก็ส่องประกายดั่งใบมีดที่เฉียบคม…

ความเร็วของทั้งหกคนว่องไวมาก ศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาคล้อยที่อยู่ด้านล่างเวทีวรยุทธ์อ่อนด้อยมองจนตาพร่า เวียนหัวตาลาย

หลงซือเย่จับตามองความเคลื่อนไหวของทั้งหกคนบนเวทีอยู่ตลอด หนนี้ทั้งหกคนน่าจะสำแดงพลังทั้งหมดออกมาแล้ว ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งอันตราย ถ้าเผลอไผลไปแม้แต่น้อยเกรงว่าจะถูกแสงทองฟัน ชนโขดหิน หรือโดนเถาวัลย์รัด จนถึงแก่ความตายได้…

มือเขาที่อยู่ใต้โต๊ะจรดนิ้วเตรียมร่ายวิชาไว้ ขอเพียงเห็นท่าไม่ดีแล้วก็พร้อมจะลงมือขัดขวางเพื่อช่วยชีวิตคน…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version