บทที่ 727 ข้าไม่ชอบถูกผู้อื่นหลอก
แต่ในเมื่อพบเข้าแล้ว ก็ต้องเอ่ยทักทาย ดังนั้นเขาจึงยิ้มแวบหนึ่งเช่นกัน “ไม่นึกว่าจะได้พบทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่นี่ รบกวนแล้ว”
ตี้ฝูอียังคงแช่อยู่ในนํ้า เอนกายพิงโขดหินที่อยู่กลางสระ เขาไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจา เพียงมองพวกเขาอย่างเฉื่อยชา สายตาเย็นชายิ่งนัก
หลงซือเย่ก็ไม่อยากเสวนากับเขาให้มากความ กล่าวออกมาว่า “เชิญทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตามสบายเถิด พวกเราไม่รบกวนแล้ว”
ดึงกู้ซีจิ่วหันหลังจะจากไป มีเสียงนํ้าแว่วขึ้นด้านหลัง ตี้ฝูอีที่อยู่เบื้องหลัง นิ่งเงียบอยู่ตลอด อยู่ตรงนั้นประหนึ่งรูปปั้นก็มิปาน
“ซีจิ่ว พวกเราไปเดินเล่นที่ไหนต่อดี? ฉันรู้จักที่หนึ่งที่มีดอกไม้เบ่งบานมากมาย…” คล้ายว่าหลงซือเย่ปรารถนาจะชดเชยช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ดังนั้นจึงต้องการอยู่กับเธอตลอดเวลา
ทว่าความกระตือรือร้นของกู้ซีจิ่วค่อนข้างลดทอนลงแล้ว จึงส่ายหน้านิดๆ “ข้ารู้สึกเหนื่อยอยู่บ้าง”
ตอนนี้สุขภาพของเธอยังไม่สมบูรณ์ เดินไม่กี่ก้าวก็รู้สึกเหงื่อตกแล้ว
ถึงแม้หลงซือเย่จะผิดหวังนิดหน่อย แต่ก็ยังตามใจเธอ “ได้! เธอกลับไปพักผ่อนให้ดีเถอะ”
….
กู้ซีจิ่วนอนอยู่บนเตียง รู้สึกปวดบั้นเอวอยู่บ้าง และตรงบาดแผลก็รู้สึกคันยุบยิบ เสมือนมีมดตัวเล็กๆ กัดตรงนั้นอยู่ เธอมุ่นหัวคิ้ว ตี้ฝูอีให้เธอพักผ่อนบนเตียงสองวัน แต่เธอพักบนเตียงแค่วันกว่าๆ ก็ลุกขึ้นมาเสียแล้ว ตอนบ่ายวันนี้ก็ดูเหมือนจะเดินเล่นมากไปหน่อย รู้สึกอ่อนล้ายิ่งนัก ทว่ากลับนอนไม่หลับอยู่บ้าง
คนนอนไม่หลับ ย่อมคิดฟุ้งซ่านได้ง่าย เธอเริ่มไตร่ตรองลู่ทางในอนาคตไว้ล่วงหน้า ดูเหมือนว่าจะแจ่มใสนัก
เธอพึ่งพาความสามารถตนจนเข้าชั้นเมฆาม่วงห้องหนึ่งได้แล้ว ต่อไปความรู้ที่จะได้เล่าเรียนก็ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น แถมเธอกับหลงซือเย่ก็สะสางข้อหมางใจกันแล้ว ภายหน้าไปมาหาสู่กันมากขึ้นก็ไม่เสียหายอะไร แถมคราวนี้หลงซือเย่จะมารับหน้าที่อาจารย์ที่ปรึกษาของชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องหนึ่งเป็นเวลาครึ่งปี ต่อไปก็มีโอกาสให้ใกล้ชิดกันมากมาย
ชาติก่อนเขาเป็นครูฝึกของเธอ ชาตินี้เขาก็จะเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของเธออีกนับว่าสมบูรณ์ลงตัว
ขณะที่เธอครุ่นคิดอยู่ จิ้งจอกน้อยก็แวบมาเยี่ยมเธออีกครั้ง ซํ้ายังนำอาหารและโอสถมาส่งให้เธอด้วย
เมื่อกู้ซีจิ่วกินอาหารเสร็จ ก็มองดูยานั้น ยังคงเป็นยาสมานแผลระดับเจ็ดเม็ดหนึ่งเช่นเคย เม็ดยาแวววาวส่องประกายเล็กน้อยภายใต้แสงเทียน
เธอคล้ายถามเรื่อยเปื่อยออกไปประโยคหนึ่ง “นี่เป็นของที่เจ้าสำนักหลงให้เจ้านำมาให้หรือ?”
หลานไว่หูชะงักไปเล็กน้อย กล่าวด้วยเสียงขึ้นจมูก “อื้อ”
กู้ซีจิ่ววางยาลง มองนางด้วยสีหน้าเคร่งตึง “จิ้งจอกน้อย ข้าไม่ชอบถูกผู้อื่นหลอก แม้ว่าจะเป็นเจตนาดีก็ตาม!”
หลานไว่หูตกตะลึง มองกู้ซีจิ่วอย่างน่าสงสาร “ซีจิ่ว…”
“อืม พูดความจริงมา” กู้ซีจิ่วลูบหัวนาง
จิ้งจอกน้อยโกหกไม่เก่ง ดังนั้นจึงเล่าไปตามจริง “เป็นผู้คุ้มกันมู่เฟิงมอบให้ข้า…บอกว่ากลัวเจ้าไม่รับไว้ ดังนั้นเลยอ้างชื่อเจ้าสำนักหลงนำมาให้…ซีจิ่ว ยานี้ไม่ปกติหรือ?”
ย่อมปกติดี กู้ซีจิ่วไม่พูดอะไร เพียงสอบถามที่พักของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย
เมื่อคืนหลานไว่หูหอบหมอนมาหา ยืนกรานว่าจะอยู่เฝ้าเธอที่นี่ กู้ซีจิ่วไล่นางก็ไม่ไป เลยได้แต่ให้นางอยู่ โชคดีที่ในเรือนพักนี้มีสองเตียง เพิ่มนางเข้ามาสักคนก็ไม่มีปัญหาอะไร
คืนนี้จิตใจกู้ซีจิ่วไม่สงบอยู่บ้างหลับได้ตื่นหนึ่งก็นอนต่อไม่ไหวแล้ว จึงหันไปมองหลานไว่หู แม่นางน้อยคงจะฝึกฝนวรยุทธ์มาทั้งวันเหนื่อยล้าเกินไป ยามนี้พอได้สัมผัสเตียงก็หลับสนิทแล้ว
เธอหลุดหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ สวมชุดคลุมแล้วออกไป
จันทร์สกาวกลางนภา ราตรีฤดูใบไม้ร่วงหนาวเย็น
กู้ซีจิ่วชั่งนํ้าหนักเม็ดยาในมือ ครุ่นคิดแวบหนึ่ง ยังคงตัดสินใจจะนำไปส่งคืนให้ผู้อื่น
เธอกับเขาไม่เกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว หากกล่าวว่าผลมะเดื่อหิมะเป็นของรางวัล เช่นนั้นยาสมานแผลระดับเจ็ดเม็ดนี้นับเป็นสิ่งใด?