บทที่ 813 พาตัวเองเข้าไปพัวพัน
เหตุผลนี้น่าเชื่อถือมาก กู้ซีจิ่วจึงเชื่อ
“เช่นนั้นท่านได้ใช้ฐานะอื่นเข้าหาข้าอีกไหม? ยกตัวอย่างเช่นแสร้งว่ามีความแค้นกับข้าอะไรทำนองนั้น?”
“มี เพราะต้องการรู้จักด้านต่างๆ ของเจ้า” เขายังคงไม่พูดความจริงเช่นเดิม มิเช่นนั้นฐานะเทพศักดิ์สิทธิ์ของเขาจะเผยออกมา
คนลึกลับในตอนนั้นคือเขาจริงๆ ด้วย!
มิน่าล่ะยามนั้นเธอคิดจนหัวแทบแตกก็นึกไม่ออกว่าไปล่วงเกินผู้ยิ่งใหญ่เช่นนั้นเข้าตอนไหน ที่แท้เป็นเขาที่ยังคงต้องการตรวจสอบเธอ…
เธอยิ้มขื่น “ตอนนั้นท่านคงต้องการตามหาสานุศิษย์สวรรค์กระมัง? ดังนั้นจึงตรวจสอบเพื่อดูความสามารถพิเศษบางอย่าง”
ตี้ฝูอียิ้มนิดๆ ไม่พูดอะไร ยอมรับโดยดุษฎี
กู้ซีจิ่วส่ายหน้าอย่างอดไม่ไหว “วิธีตรวจสอบนี้ของท่านช่างไม่เหมือนใครเลย…”
เขาใช้วิธีจำพวกนี้ตรวจสอบคนไปมากน้อยเพียงใดแล้ว?
เวรเถอะ ที่แท้คนลึกลับมากมายที่เธอพบเจอในตอนนั้นล้วนเป็นเขาปลอมตัวมา!
ทำไมเธอรู้สึกหลอนเหมือนว่าตนวิ่งวนอยู่ในฝ่ามือเขามาโดยตลอด
เมื่อนึกถึงฉากที่เธอพบเขารวมถึงอวตารของเขาอยู่บ่อยครั้งในอดีต กู้ซีจิ่วก็ค่อนข้างปวดประสาท กล่าวออกมาจากใจจริง “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ที่แท้บางครั้งท่านก็ว่างเหลือเกิน…”
ตี้ฝูอีไม่พูดอะไร
ตอนนั้นเขาว่างเกินไปจริงๆ นั่นแหละ!
เดิมทีคิดหาความสำราญให้ตัวเอง กลับนึกไม่ถึงเลยว่าพาตัวเองเข้าไปพัวพันตั้งแต่ยามไหน…
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงอยากถามเรื่องเหล่านี้เล่า? ทำไมเจ้าทราบว่าข้าเคยปลอมเป็นคนพวกนั้น?”
กู้ซีจิ่วกำลังใคร่ครวญว่าจะพูดความจริงดีหรือไม่ ถ้าบอกว่าได้กลิ่นหอมจึงจดจำตัวคนได้ เช่นนั้นหากว่าภายภาคหน้าเขาปลอมตัวมาปั่นหัวเธออีก ย่อมต้องระวังเก็บซ่อนกลิ่นอายของตนเป็นแน่ ถ้าหากไม่พูดความจริง เช่นนั้นเธอใช้ข้ออ้างอะไรดีล่ะ?
เธอนิ่งไปเล็กน้อย ตอบยิ้มๆ “เพียงสัมผัสได้รางๆ ว่าท่านกับคนเหล่านั้นมีบางด้านที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน ดังนั้นจึงลองถามดู”
ตี้ฝูอีปราดเปรื่องถึงขั้นไหนแล้ว?
เหตุผลนี้ที่กู้ซีจิ่วอ้างฝืดเฝื่อนเกินไป เขาไม่เชื่อเด็ดขาด!
เขามองดูนาง นางยังคงระแวงเขาอย่างล้ำลึกอยู่จริงๆ วาจาก็จริงครึ่งเท็จครึ่ง เพียงแต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ไปโทษนาง เนื่องจากเขาก็มีความอัด
อั้นตันใจที่มิอาจบอกความจริงแก่นางได้ นี่คงเป็นความจนปัญญาของมนุษย์กระมัง?
โลกนี้ไหนเลยจะมีคนที่ไม่มีความลับอะไรอยู่เลย โดยเฉพาะคนที่มีฐานะเช่นนี้อย่างเขาและนาง…
ทั้งสองคนเดินเลียบลำธารไปสองสามลี้ ไม่มีใครพูดอะไรไปชั่วขณะ
เดิมทีกู้ซีจิ่วรู้สึกว่าการเดินเล่นไปเรื่อยๆ ในยามว่างของคู่รักค่อนข้างน่าเบื่ออยู่บ้าง ว่างเปล่าเหลือเกิน แม้กระทั่งยามที่เธอเดินเล่นกับหลงซือเย่ก็รู้สึกว่าค่อนข้างจืดจางไร้รสชาติอยู่บ้าง เดินจนเท้าชา มิสู้เอาช่วงเวลานั้นไปสังสรรค์ร้องเพลงดีกว่า หรือไม่ก็ไปดูหนังกัน…แต่ตอนนั้นหลงซือเย่ชอบเดินเล่น เธอจึงฝืนดันทุรังไปเดินเล่นกับเขา แค่ก้าวตามรอยเท้าเขาไปเรื่อยๆ
แต่ตอนนี้ยามกะสามแล้ว เธอกลับไม่หลับไม่นอนมาเดินเล่นเป็นเพื่อนตี้ฝูอี ไม่นึกเลยว่าในใจจะไม่มีความรู้สึกไม่สบอารมณ์เลย การเดินข้างกายเขาทำให้จิตใจที่หวาดระแวงรู้สึกปลอดภัย ราวกับถ้านภาร่วงหล่นลงมาเธอก็ทราบว่าเขาจะค้ำไว้ให้เธอ…
แน่นอนว่าในระหว่างที่เดินเล่น เธอก็สังเกตความเคลื่อนไหวรอบข้างไปด้วย ไม่มีอะไรสะกดรอยตามมาจริงๆ หลังจากผ่านพ้นคืนนี้ไปเธอคงจะได้ติดต่อกับเขาไม่มากแล้ว และเธอก็ต้องกลับไปชีวิตตามปกติ…
“วางแผนอนาคตไว้อย่างไร?” ตี้ฝูอีทำลายความเงียบระหว่างคนทั้งสอง
กู้ซีจิ่วนิ่งไปครู่หนึ่ง ตอบว่า “มานะเล่าเรียน ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ!”
ตี้ฝูอีเงียบงัน
“ไม่วางแผนไปอยู่เขาถามสวรรค์กับหลงซือเย่หรือ?”
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน ส่ายหน้าพลางกล่าว “ข้าเพิ่งเข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ มีความรู้มากมายที่ต้องศึกษา จะไปเขาถามสวรรค์ทำไมกัน?”