บทที่ 942 ได้แต่หวังว่าเธอจะเดาผิด!
อย่างไรก็ตามถึงแม้ในสนามรบจะมีคนตายมากมาย แต่หลังจบศึกทุกครั้ง ศัตรูทั้งสองฝ่ายล้วนจะคิดหาวิธีรวบรวมซากศพของไพร่พลฝ่ายตน และจะรวบรวมซากศพของไพร่พลฝ่ายศัตรู จากนั้นก็เขียนลงในรายงานทางการทัพบอกว่าปราบศัตรูได้จำนวนสามหมื่นคนอะไรทำนองนั้นเพื่อส่งข่าวดีกลับอาณาจักรตน…
จากนั้นก็นำศพของทหารฝ่ายศัตรูไปหาที่เผาทำลายให้สิ้นซาก ส่วนทหารผู้เสียสละของอาณาจักรตนเหล่านั้นจะจัดหาสถานที่แล้วจัดพิธีขึ้น จากนั้นก็เผาให้กลายเป็นเถ้ากระดูกทีละร่างๆ แล้วส่งกลับบ้านเกิด…
กล่าวกันว่าวิธีจัดการศพในสนามรบเช่นนี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้กำหนดไว้ ไม่ว่าอาณาจักรใดล้วนฝ่าฝืนไม่ได้
เพียงแต่เมื่อสงครามดำเนินเข้าสู่ช่วงที่ดุเดือด ทุกสนามรบล้วนมีผู้คนล้มตายเรือนพันเรือนหมื่น ซากศพไม่ว่าจะเผาหรือฝังล้วนต้องสิ้นเปลืองกำลังคนอย่างมหาศาล ดังนั้นจึงมีผู้ที่แอบละเลยเป็นประจำ ซากศพของทหารที่สิ้นชีพในสนามรบเหล่านั้นต่อให้หายไปสักสามสิบ ห้าสิบร่างก็ไม่มี ผู้ใดมองออก…
กู้ซีจิ่วได้ตรวจสอบรายงานทางการทัพของจักรพรรดิซวนดูแล้วเช่นกัน กว่าครึ่งปีมานี้ทัพของอาณาจักรเฟยซิงยังคงชนะมากครั้ง แพ้น้อยครั้ง สังหารฝ่ายศัตรูไปทั้งหมดหนึ่งแสนสองหมื่นสามพันแปดร้อยเจ็ดสิบคน ทางด้านอาณาจักรเฟยซิงมีผู้สละชีพไปแล้วห้าหมื่นหกพันสามร้อยห้าสิบสองคน…
แน่นอนว่านี่เป็นสถิติของทางภาครัฐทั้งสิ้น ความจริงน่าจะยังมีอีกมาก ศพเหล่านี้ส่วนใหญ่เผาเป็นเถ้าไปแล้ว แต่ถ้าหากในสงครามแต่ละครั้งศพเหล่านี้คราวละหลายสิบร่างหรือแม้กระทั่งหลักร้อยร่างหายทุกครั้ง ย่อมไม่มีทางตรวจสอบได้…
หุ่นตายไม่กี่พันตัวไม่อาจก่อภัยพิบัติถึงขั้นโลกาวินาศได้ เพียงแต่ถ้าหากทหารที่รับผิดชอบการเผาศพศัตรูถูกควบคุมไว้โดยหลงฟั่น เช่นนั้นจำนวนศพที่เป็นไปได้ว่าจะถูกนำไปสร้างเป็นหุ่นตายในครั้งนี้เกรงว่าจะน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก!
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ทั่วร่างกู้ซีจิ่วก็หลั่งหยาดเหงื่อเย็นเฉียบออกมาทันที!
ได้แต่หวังว่าเธอจะเดาผิด!
รถม้าเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว เธอเลิกม่านขึ้น มองท้องฟ้าด้านนอก ยํ่าสนธยาแล้ว ขอบฟ้าครึ่งหนึ่งถูกแสงตะวันรอนเผาจนแดงฉาน ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับเหลี่ยมฟ้าแล้ว ราวกับจะกลิ้งลงมาจากเขา ทุกอย่างดูเหมือนจะสงบสุข แต่ที่ขอบฟ้าอีกด้านหนึ่ง มวลเมฆหนาซ้อนเป็นชั้น กึ่งมืดกึ่ง
ครึ้ม เห็นแววอัปมงคลเลือนราง ราวกับกำลังจะมีพายุโหมกระหน่ำมา
สถานที่แห่งนี้ห่างจากพื้นที่ทำสงครามของสองอาณาจักรไม่ไกล ถึงอย่างไรก็เป็นสถานที่ที่เคยมีผู้คนล้มตายมากมายนัก อากาศของที่นี่จึงคล้ายจะหนาวยะเยือกกว่าที่อื่นมากนัก ลมเย็นกวาดพัดไปรอบด้าน แฝงเสียงหวีดหวิวดั่งเสียงคร่ำครวญของภูตผี จู่ๆ เธอก็สัมผัสถึงบางอย่างได้พลัน มองลงไปด้านล่าง
ด้านล่างคือทุ่งร้างผืนหนึ่ง ไม้ยืนต้นตาย หิมะขาวผ่อง เนินเขาทุ่งหญ้ารกชัฏล้วนมองเห็นอยู่ลิบๆ มองเผินๆ จะไม่พบเห็นว่ามีอะไรผิดปกติ แต่มุมหนึ่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของทุ่งหญ้ารกร้างกลับดูไม่ค่อยถูกต้อง…
รถม้าคันนี้เดิมกำลังแล่นผ่านที่นี่ไปในชั่วพริบตา จู่ๆ กู้ซีจิ่วก็เอ่ยขึ้นว่า “หยุดก่อน!”
มู่เตี่ยนรั้งบังเหียนสิงโตเวหาตัวนั้นไว้ “มีอะไร?”
กู้ซีจิวกระโจนออกไปนอกรถม้าทันที ชี้ไปทางมุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ “เจ้าเห็นสิ่งผิดปกติอันใดไหม?”
มู่เตี่ยนมองลงไปแวบหนึ่ง เห็นเพียงว่าตรงนั้นขาวโพลนไปหมด คล้ายจะมีหิมะทับถมกันหนายิ่ง เขาเลิกคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยถาม “สิ่งใดผิดปกติหรือ?”
กู้ซีจิ่วจึงกล่าวอธิบาย “เจ้าดูที่อื่นสิ มีไม้ยืนต้นตาย ทุ่งหญ้ารกร้าง โขดหินขรุขระ ประกอบอยู่ในทัศนียภาพ แต่ที่ตรงนั้นหิมะทับถมราบเรียบเสมอกันยิ่งนัก ไม่มีวัชพืชหรือโขดหินเลยสักนิด พื้นที่กว้างใหญ่นัก…”
มู่เตี่ยนมองอยู่หลายครา สะกิดใจขึ้นมานิดๆ ที่ตรงนั้นผิดปกติจริงๆ ด้วย!
มองจากตำแหน่งภูมิประเทศแล้ว ไม่ควรจะราบเรียบถึงเพียงนี้ คล้ายวิธีอำพรางสายตาอย่างหนึ่ง!
เขาติดตามอยู่ข้างกายท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มาเนิ่นนานปี ความสามารถที่แท้จริงเหนือลํ้ากว่าพวกหลงซือเย่เสียอีก ซํ้ายังมีประสบการณ์โชกโชน เขาลอบกระตุ้นพลังสายตาแล้วมองเข้าไป ถึงขั้นมองออกว่าตรงนั้นมีไอมารจางๆ แผ่ออกมาด้วย เมื่อกี้เขาเกือบจะพลาดสถานที่ประหลาดที่ปกคลุมด้วยไอมารแห่งนี้ไปเสียแล้ว